เราเลิกกับสามีแล้ว (แต่ยังไม่ได้ทำเรื่องหย่าขาด) เรื่องลูก ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับลูก เราเป็นคนออกเองทั้งหมด ขอไม่พูดถึงสามีแล้วกันค่ะ
ตอนนี้เราฝากป้า (พี่สาวแม่ ในส่วนนี้เราขอเรียกว่ายาย) ช่วยเลี้ยงให้ที่ต่างจังหวัด ส่วนเราทำงานที่กทม. ลูกเราอายุสามขวบกว่าแล้ว
เราให้เงินยายเดือนละ 8,000 บาทค่าเลี้ยงลูก ส่วนค่าแพมเพิส นม ของใช้ เราแยกต่างหากค่ะ
ลูกเราเข้าโรงเรียนแล้ว เรียน 8.00-15.30 เรียนพิเศษต่อถึง 16.00 ในส่วนนี้ยายเป็นคนขับรถไปรับ-ส่ง ค่าเทอมเราออกเอง เราให้ลูกเข้าโรงเรียนตอน 2.6 เพราะไม่อยากให้ยายเหนื่อยมาก เพราะก่อนที่เราออกมาทำงาน เราเลี้ยงลูกเอง เรารู้ว่ามันเหนื่อยมาก เราจึงให้ลูกเข้าโรงเรียน จะได้มีเพื่อน ๆ ด้วย เพราะแถวบ้านไม่ค่อยมีเพื่อนเล่น
ทุกวันเราจะวีดีโอคอลกับลูก ประมาณช่วงทุ่มครึ่ง หลัง ๆ มานี้เราสังเกต ลูกจะพูดแปลก ใช้คำแปลกไป เช่น ชั้นไม่ให้เธอเล่นหรอกนะ อย่ามามองฉัน เอามานี่นะ ไม่เล่นด้วยหรอก ซึ่งคำพวกนี้ถึงแม้จะไม่มีคำหยาบ แต่เรารู้ได้เลยว่าไม่ใช่คำที่ยายพูดแน่ ๆ และลูกเราจะมีอาการโมโหร้าย โยนของ ไม่ได้ดั่งใจก็ร้องให้ ซึ่งเราก็ย้อนดูกล้องวงจร และคิดว่าสาเหตุมาจากโทรศัพท์ คำเหล่านี้ลูกพูดตามยูทูปที่เขาดู
และช่วงนี้ วีดีโอคอลกับลูกได้สัก 5 นาที ลูกจะบอกว่าหนูจะนอนแล้ว บ๊ายบาย แล้วลูกก็วางสาย (ลูกรับสายโทรศัพท์ทางไลน์ กดรับ กดวางเองเป็นค่ะ และเข้ายูทูปเองได้) เราดูกล้องวงจร ที่ลูกบอกว่าจะนอนแล้ว จริง ๆ ไม่ใช่ ลูกอยากจะดูยูทูป เลยบอกเราว่าจะนอนแล้ว หลังจากวางสาย ลูกก็เปิดยูทูปดู ยายก็ไม่ห้ามอะไร ยายก็เดินไปเก็บครัว อาบน้ำ และมานั่งดูทีวีต่อ โดยที่ลูกเราก็นอนดูยูปอยู่อย่างนั้น
เราเลยโทรไลน์ไป ลูกก็ไม่รับสายค่ะ แต่ดูยูทูบต่อ
ลูกเราเริ่มที่จะโกหก เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ โกหกแม่ว่าจะนอน จริง ๆ คือจะได้ดูยูทูป
เราบอกยายว่าไม่ให้ยื่นโทรศัพท์ให้หลาน ให้ดูแค่สิบนาทีก็พอ แล้วให้เก็บโทรศัพท์ แต่บอกไปก็เท่านั้น ยายไม่ได้ทำตาม ให้หลานดูคือดูเป็นชั่วโมง ชั่วโมงครึ่ง แล้วตัวเองนั่งดูทีวี
จากแต่ก่อนจะต้องอ่านนิทานก่อนนอน ขอเกริ่นก่อนว่า
เราเคยรับลูกมาเลี้ยงเองที่ กทม. ตอนนั้นลูกอายุ 2 ขวบ 4 เดือน แต่ตอนนั้นมีสามีช่วย ก่อนนอนเราจะอ่านนิทานให้ลูกฟัง อ่านเล่มนั้น เล่มนี้ คืออ่านจบลูกเราก็จะหยิบเล่มใหม่มาให้อ่านให้ฟัง จนหลับ แต่ด้วยบริษัทที่ทำงานอยู่ในช่วงขาลง ไม่จ่ายเงินเดือน เป็นบริษัทเล็ก ๆ เลยจำต้องพาลูกกลับบ้าน เพื่อตัวเองจะหางานใหม่ ตั้งหลักใหม่ และช่วงนั้นก็มีปัญหากับสามีด้วย
เข้าเรื่องคือ แต่ก่อนเราพาลูกอ่านนิทานก่อนนอน ไม่ให้ดูโทรศัพท์เลย ดูเฉพาะตอนแปรงฟันเท่านั้น เพราะเขาจะนิ่ง และให้แปรงฟันให้ ไม่งั้นไม่ยอม กัดแปรงบ้าง ม้วนตัวหนีบ้าง เราเคยดูวิธีแปรงฟันคือเราต้องใช้ขาล็อกตัว และปล่อยให้แหกปากร้องไปถ้าลูกไม่ยอม เราคิดว่าวิธีนี้จะกลายเป็นให้ลูกกลัวการแปรงฟันมากขึ้นไปอีก เราเลยให้ลูกดูโทรศัพท์ตอนแปรงฟัน หลังจากแปรงเสร็จ ก็บอกลูกว่า จบคลิปนี้ เรามาอ่านนิทานกันนะ (คลิปเพลงประมาณ 3 นาที) และเราก็อยู่กับลูกลูกด้วย พอจบเพลงเราก็เอาโทรศัพท์ไปชาร์จแบต ไม่ให้ลูกเห็นโทรศัพท์ พาอ่านนิทาน นอน
แต่หลังจากไปฝากยายเลี้ยง ตอนนี้กลายเป็นว่า ลูกจะต้องดูโทรศัพท์ก่อนนอน ไม่อ่านนิทาน ร้องจะดูโทรศัพท์อย่างเดียว ไม่ให้คือโยนของเล่น ปาข้าวของ เราดูจากกล้องวงจรปิดคือยายจะให้ลูกเราดูโทรศัพท์ตอนแปรงฟัน แปรงเสร็จยายก็เดินไปเก็บกับข้าว เดินมาดูทีวี ไปอาบน้ำ อาบเสร็จมาดูทีวีต่อ โดยที่ให้ลูกเราดูโทรศัพท์อยู่คนเดียวอย่างนั้น เป็นชม. ถึง สองชม. ไม่ได้เข้ามาดูด้วย พอถึงเวลานอนก็บอกลูกเราเข้านอน ลูกก็ถือโทรศัพท์เข้าห้องไปด้วย โดยที่ตาก็ดูโทรศัพท์และเดินเข้าห้องไปด้วย ไม่ละสายตาจากโทรศัพท์เลย
เราเลยบอกยายให้จำกัดเวลาการดู แค่สิบนาทีก็พอ ยายก็บอก โอ้ย เขาไม่ได้ดูอะไรนานสักหน่อย ให้ดูแปปเดียว บอกให้เขาเลิกเขาก็เลิก เนี่ยเก่งจะตาย ไม่ติดโทรศัพท์หรอก (แต่เราไม่ได้ไปต่อความยาวอะไรกับยาย เพราะเราก็เห็นชัด ๆ จากกล้องวงจรปิด)
ช่วงหลัง ลูกร้องจะเอาโทรศัพท์ ยายก็บอกดูแปปเดียวพอนะ ลูกเราก็บอกโอเค (แต่คือเด็กจะไปรู้อะไร แปปเดียวคืออะไร เขาก็ดูจนจบคลิป ต่อด้วยคลิปนั้น นี่ สรุปยาวจนกว่ายายจะมาบอกให้เลิก) แล้วยายคือให้ลูกเข้าห้องนอนไปก่อน (ในห้องนอนไม่มีกลองวงจร) ยายคงคิดว่าเราไม่รู้ว่าเขาให้ลูกดูโทรศัพท์ แล้วยายก็เก็บครัว ดูทีวี จนสามทุ่มเข้าห้อง ปิดไฟ แต่เราก็รู้ว่ายายยังให้ลูกเราดูโทรศัพท์ต่อ ยังไม่นอน เพราะกล้องวงจรปิดมันมีเสียงเพลง เสียงจากยูทูปที่ลูกเราดู คือเสียงมันอยู่ในห้อง แต่ก็ดังพอที่จะเข้ากล้องวงจร
เราเลยโทรไลน์เข้าไปโทรศัพท์ยาย ยายเห็น ยายบอกให้คุยกับแม่ก่อน ลูกเราไม่ยอม ร้องให้ บอกจะดูยูทูป ร้องแหกปาก ตามด้วยเสียงปาของลงจากเตียง (ไม่เห็นภาพ แต่เราฟังจากเสียงในกล้องวงจร) ยายก็ตามใจ ให้ดูต่อ จนเสียงเงียบ คือหลับ
เราทำอะไรไม่ได้เลย บอกยายไปก็เหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น เราให้ลูกได้เข้าโรงเรียน ลดเวลาในการที่ยายจะต้องมาดูแลลูก แต่พอเลิกเรียน กลับบ้านก็ยื่นโทรศัพท์ให้ แต่เราจะไปพูดว่าอะไรก็ไม่ได้ เราฝากเขาเลี้ยง ได้แต่โมโหตัวเอง ตอนนี้ก็เลิกกับสามี รายได้หลักมาจากการทำงานประจำของเราเอง เงินเราเองทั้งหมด เราอยากรับลูกมาเลี้ยงเอง แต่ตอนนี้เพิ่งเปลี่ยนงานใหม่ ยังไม่มั่นคง แต่หากปล่อยอย่างนี้ต่อไป ลูกคงได้เป็นออทิสติกเทียม หรือไม่ก็มีปัญหาด้านอารมณ์มากขึ้น หรือปัญหาด้านสายตา ต่าง ๆ นา ๆ เราเครียดจริง ๆ
เงินที่ให้ยายเดือนละ 8,000.- ยังมีค่าแพมเพิส ค่านม และยายจะขอเพิ่มต่างหากอีกประมาณ 1,000 บาทต่อเดือน และเรามีน้องแท้ ๆ ที่ยังเรียนอยู่เราก็จะช่วยน้องประมาณเดือนละ 2,000.- และค่าหอเราที่กทม. ค่าน้ำ ไฟ ค่าเดินทางไปทำงาน ค่าข้าว ค่าโทรศัพท์ ค่าเทอมลูก และตอนนี้เลิกกับสามี รายได้แต่ก่อนที่ให้ยายเป็นค่าเลี้ยงดู จะเป็นสามีออก แต่ตอนนี้ เราต้องรับผิดชอบเอง แต่โอเค เราไหว กัดฟัน ถึงแม้ตอนนี้เงินจะเดือนชนเดือนก็ตาม
ตอนนี้งานใหม่เรายังไม่คงที่ ยังอยู่ในช่วงทดลองงาน เนื้องานค่อนข้างใหม่และซับซ้อนสำหรับเรามาก เป็นงานออฟฟิศ (บริษัทใหญ่) หยุดเสาร์ อาทิตย์ 8.30-17.30 แต่หากจะให้กลับไปหาลูกเสาร์อาทิตย์แบบนี้ไม่ไหว เพราะบ้านห่างจากตัวเมือง ต้องมีญาติขับรถมารับที่บขส เป็นว่าลำบากคนอื่นอีก
___________________________________
เราอยากสอบถามเพื่อน ๆ ในพันทิปว่า มีใครที่อยู่กับลูกสองคนบ้างไหมคะ ในอนาคตเราวางแผนว่าหากงานมั่นคง เราจะพาลูกมาอยู่ด้วย เลี้ยงเอง ซื้อมอเตอร์ไซต์สักคันไว้ไปรับส่งลูก ไปทำงาน เช่าบ้านเล็ก ๆ เราไม่อยากอยู่หอ เพราะมันเป็นแค่ห้องสี่เหลี่ยม เราไม่อยากให้ลูกอึดอัด มีใครที่อยู่กับลูกเองจริง ๆ ไม่มีญาติมาอยู่ด้วยไหมคะ ทำงานไปด้วย เลี้ยงลูกไปด้วย เองจริง ๆ มีไหมคะ
ช่วยแนะนำแนวทางให้เราหน่อยได้ไหม เราอยากฟังความเห็นเพื่อน ๆ
เรากลัวว่าหากอยู่บ้านกับลูกสองคนจะเป็นอันตรายเพราะเป็นผู้หญิง และไม่มีญาติหรือคนรู้จักเลย และกลัวลูกจะเหงา เพราะมีแต่แม่ ไม่มียาย (ตอนนี้ลูกติดยาย จะต้องนอนกับยาย) จากแต่ก่อนลูกมียาย ญาติ ๆ ข้างบ้าน แต่หากมาอยู่กับแม่ ก็จะมีแค่แม่ ไม่มีญาติ หรือคนร็จักที่ไหน กลัวเขาจะซึม รับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลง
หากลูกป่วยคงต้องลางาน แต่เด็ก ๆ ป่วยทีก็สามสี่วัน จะให้ลางานกลัวจะได้ใบลาออกแทน จะให้ป่วยแล้วยังดึงดันไปโรงเรียน กลายเป็นไปแพร่เชื้อให้ลูกคนอื่นอีก ลูกป่วยเป็นอะไรที่ทรมาณใจแม่มาก ๆ เราเข้าใจ
เราไม่อยากให้ลูกติดโทรศัพท์เลย แต่บอกยายไปก็เท่านั้น ทุกวันนี้ลูกเราอารมณ์โมโหง่าย ปาข้าวของ บทจะดีก็เชื่อฟัง แต่ถ้าไม่ได้โทรศัพท์คือร้องจ๊าก ปาข้าวของทันที
เราโกรธที่ตัวเองเลี้ยงดูลูกเองไม่ได้ งานก็ไม่มั่นคง (แต่เราไม่มีหนี้สิน ไม่เคยขอยืมเงินใคร) เราอยากให้ลูกเรากลับมาน่ารักเหมือนเดิม ไม่ฉุนเฉียวอารมณ์ร้อนแบบนี้ ทุกวันนี้ได้แต่โทษตัวเอง เหนื่อยจากการทำงาน ดูกล้องวงจรปิดก็เหนื่อยกับยายที่ให้ลูกดูโทรศัพท์ ตามใจลูกเรามากเกินไปอีก เราเครียดจริง ๆ ค่ะ
ระบายปัญหาลูกสามขวบติดโทรศัพท์ มีแม่ท่านไหนเลี้ยงลูกเอง ทำงานไปด้วยไหมคะ (แบบอยู่กับลูกสองคนจริงๆ)
ตอนนี้เราฝากป้า (พี่สาวแม่ ในส่วนนี้เราขอเรียกว่ายาย) ช่วยเลี้ยงให้ที่ต่างจังหวัด ส่วนเราทำงานที่กทม. ลูกเราอายุสามขวบกว่าแล้ว
เราให้เงินยายเดือนละ 8,000 บาทค่าเลี้ยงลูก ส่วนค่าแพมเพิส นม ของใช้ เราแยกต่างหากค่ะ
ลูกเราเข้าโรงเรียนแล้ว เรียน 8.00-15.30 เรียนพิเศษต่อถึง 16.00 ในส่วนนี้ยายเป็นคนขับรถไปรับ-ส่ง ค่าเทอมเราออกเอง เราให้ลูกเข้าโรงเรียนตอน 2.6 เพราะไม่อยากให้ยายเหนื่อยมาก เพราะก่อนที่เราออกมาทำงาน เราเลี้ยงลูกเอง เรารู้ว่ามันเหนื่อยมาก เราจึงให้ลูกเข้าโรงเรียน จะได้มีเพื่อน ๆ ด้วย เพราะแถวบ้านไม่ค่อยมีเพื่อนเล่น
ทุกวันเราจะวีดีโอคอลกับลูก ประมาณช่วงทุ่มครึ่ง หลัง ๆ มานี้เราสังเกต ลูกจะพูดแปลก ใช้คำแปลกไป เช่น ชั้นไม่ให้เธอเล่นหรอกนะ อย่ามามองฉัน เอามานี่นะ ไม่เล่นด้วยหรอก ซึ่งคำพวกนี้ถึงแม้จะไม่มีคำหยาบ แต่เรารู้ได้เลยว่าไม่ใช่คำที่ยายพูดแน่ ๆ และลูกเราจะมีอาการโมโหร้าย โยนของ ไม่ได้ดั่งใจก็ร้องให้ ซึ่งเราก็ย้อนดูกล้องวงจร และคิดว่าสาเหตุมาจากโทรศัพท์ คำเหล่านี้ลูกพูดตามยูทูปที่เขาดู
และช่วงนี้ วีดีโอคอลกับลูกได้สัก 5 นาที ลูกจะบอกว่าหนูจะนอนแล้ว บ๊ายบาย แล้วลูกก็วางสาย (ลูกรับสายโทรศัพท์ทางไลน์ กดรับ กดวางเองเป็นค่ะ และเข้ายูทูปเองได้) เราดูกล้องวงจร ที่ลูกบอกว่าจะนอนแล้ว จริง ๆ ไม่ใช่ ลูกอยากจะดูยูทูป เลยบอกเราว่าจะนอนแล้ว หลังจากวางสาย ลูกก็เปิดยูทูปดู ยายก็ไม่ห้ามอะไร ยายก็เดินไปเก็บครัว อาบน้ำ และมานั่งดูทีวีต่อ โดยที่ลูกเราก็นอนดูยูปอยู่อย่างนั้น
เราเลยโทรไลน์ไป ลูกก็ไม่รับสายค่ะ แต่ดูยูทูบต่อ
ลูกเราเริ่มที่จะโกหก เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ โกหกแม่ว่าจะนอน จริง ๆ คือจะได้ดูยูทูป
เราบอกยายว่าไม่ให้ยื่นโทรศัพท์ให้หลาน ให้ดูแค่สิบนาทีก็พอ แล้วให้เก็บโทรศัพท์ แต่บอกไปก็เท่านั้น ยายไม่ได้ทำตาม ให้หลานดูคือดูเป็นชั่วโมง ชั่วโมงครึ่ง แล้วตัวเองนั่งดูทีวี
จากแต่ก่อนจะต้องอ่านนิทานก่อนนอน ขอเกริ่นก่อนว่า
เราเคยรับลูกมาเลี้ยงเองที่ กทม. ตอนนั้นลูกอายุ 2 ขวบ 4 เดือน แต่ตอนนั้นมีสามีช่วย ก่อนนอนเราจะอ่านนิทานให้ลูกฟัง อ่านเล่มนั้น เล่มนี้ คืออ่านจบลูกเราก็จะหยิบเล่มใหม่มาให้อ่านให้ฟัง จนหลับ แต่ด้วยบริษัทที่ทำงานอยู่ในช่วงขาลง ไม่จ่ายเงินเดือน เป็นบริษัทเล็ก ๆ เลยจำต้องพาลูกกลับบ้าน เพื่อตัวเองจะหางานใหม่ ตั้งหลักใหม่ และช่วงนั้นก็มีปัญหากับสามีด้วย
เข้าเรื่องคือ แต่ก่อนเราพาลูกอ่านนิทานก่อนนอน ไม่ให้ดูโทรศัพท์เลย ดูเฉพาะตอนแปรงฟันเท่านั้น เพราะเขาจะนิ่ง และให้แปรงฟันให้ ไม่งั้นไม่ยอม กัดแปรงบ้าง ม้วนตัวหนีบ้าง เราเคยดูวิธีแปรงฟันคือเราต้องใช้ขาล็อกตัว และปล่อยให้แหกปากร้องไปถ้าลูกไม่ยอม เราคิดว่าวิธีนี้จะกลายเป็นให้ลูกกลัวการแปรงฟันมากขึ้นไปอีก เราเลยให้ลูกดูโทรศัพท์ตอนแปรงฟัน หลังจากแปรงเสร็จ ก็บอกลูกว่า จบคลิปนี้ เรามาอ่านนิทานกันนะ (คลิปเพลงประมาณ 3 นาที) และเราก็อยู่กับลูกลูกด้วย พอจบเพลงเราก็เอาโทรศัพท์ไปชาร์จแบต ไม่ให้ลูกเห็นโทรศัพท์ พาอ่านนิทาน นอน
แต่หลังจากไปฝากยายเลี้ยง ตอนนี้กลายเป็นว่า ลูกจะต้องดูโทรศัพท์ก่อนนอน ไม่อ่านนิทาน ร้องจะดูโทรศัพท์อย่างเดียว ไม่ให้คือโยนของเล่น ปาข้าวของ เราดูจากกล้องวงจรปิดคือยายจะให้ลูกเราดูโทรศัพท์ตอนแปรงฟัน แปรงเสร็จยายก็เดินไปเก็บกับข้าว เดินมาดูทีวี ไปอาบน้ำ อาบเสร็จมาดูทีวีต่อ โดยที่ให้ลูกเราดูโทรศัพท์อยู่คนเดียวอย่างนั้น เป็นชม. ถึง สองชม. ไม่ได้เข้ามาดูด้วย พอถึงเวลานอนก็บอกลูกเราเข้านอน ลูกก็ถือโทรศัพท์เข้าห้องไปด้วย โดยที่ตาก็ดูโทรศัพท์และเดินเข้าห้องไปด้วย ไม่ละสายตาจากโทรศัพท์เลย
เราเลยบอกยายให้จำกัดเวลาการดู แค่สิบนาทีก็พอ ยายก็บอก โอ้ย เขาไม่ได้ดูอะไรนานสักหน่อย ให้ดูแปปเดียว บอกให้เขาเลิกเขาก็เลิก เนี่ยเก่งจะตาย ไม่ติดโทรศัพท์หรอก (แต่เราไม่ได้ไปต่อความยาวอะไรกับยาย เพราะเราก็เห็นชัด ๆ จากกล้องวงจรปิด)
ช่วงหลัง ลูกร้องจะเอาโทรศัพท์ ยายก็บอกดูแปปเดียวพอนะ ลูกเราก็บอกโอเค (แต่คือเด็กจะไปรู้อะไร แปปเดียวคืออะไร เขาก็ดูจนจบคลิป ต่อด้วยคลิปนั้น นี่ สรุปยาวจนกว่ายายจะมาบอกให้เลิก) แล้วยายคือให้ลูกเข้าห้องนอนไปก่อน (ในห้องนอนไม่มีกลองวงจร) ยายคงคิดว่าเราไม่รู้ว่าเขาให้ลูกดูโทรศัพท์ แล้วยายก็เก็บครัว ดูทีวี จนสามทุ่มเข้าห้อง ปิดไฟ แต่เราก็รู้ว่ายายยังให้ลูกเราดูโทรศัพท์ต่อ ยังไม่นอน เพราะกล้องวงจรปิดมันมีเสียงเพลง เสียงจากยูทูปที่ลูกเราดู คือเสียงมันอยู่ในห้อง แต่ก็ดังพอที่จะเข้ากล้องวงจร
เราเลยโทรไลน์เข้าไปโทรศัพท์ยาย ยายเห็น ยายบอกให้คุยกับแม่ก่อน ลูกเราไม่ยอม ร้องให้ บอกจะดูยูทูป ร้องแหกปาก ตามด้วยเสียงปาของลงจากเตียง (ไม่เห็นภาพ แต่เราฟังจากเสียงในกล้องวงจร) ยายก็ตามใจ ให้ดูต่อ จนเสียงเงียบ คือหลับ
เราทำอะไรไม่ได้เลย บอกยายไปก็เหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น เราให้ลูกได้เข้าโรงเรียน ลดเวลาในการที่ยายจะต้องมาดูแลลูก แต่พอเลิกเรียน กลับบ้านก็ยื่นโทรศัพท์ให้ แต่เราจะไปพูดว่าอะไรก็ไม่ได้ เราฝากเขาเลี้ยง ได้แต่โมโหตัวเอง ตอนนี้ก็เลิกกับสามี รายได้หลักมาจากการทำงานประจำของเราเอง เงินเราเองทั้งหมด เราอยากรับลูกมาเลี้ยงเอง แต่ตอนนี้เพิ่งเปลี่ยนงานใหม่ ยังไม่มั่นคง แต่หากปล่อยอย่างนี้ต่อไป ลูกคงได้เป็นออทิสติกเทียม หรือไม่ก็มีปัญหาด้านอารมณ์มากขึ้น หรือปัญหาด้านสายตา ต่าง ๆ นา ๆ เราเครียดจริง ๆ
เงินที่ให้ยายเดือนละ 8,000.- ยังมีค่าแพมเพิส ค่านม และยายจะขอเพิ่มต่างหากอีกประมาณ 1,000 บาทต่อเดือน และเรามีน้องแท้ ๆ ที่ยังเรียนอยู่เราก็จะช่วยน้องประมาณเดือนละ 2,000.- และค่าหอเราที่กทม. ค่าน้ำ ไฟ ค่าเดินทางไปทำงาน ค่าข้าว ค่าโทรศัพท์ ค่าเทอมลูก และตอนนี้เลิกกับสามี รายได้แต่ก่อนที่ให้ยายเป็นค่าเลี้ยงดู จะเป็นสามีออก แต่ตอนนี้ เราต้องรับผิดชอบเอง แต่โอเค เราไหว กัดฟัน ถึงแม้ตอนนี้เงินจะเดือนชนเดือนก็ตาม
ตอนนี้งานใหม่เรายังไม่คงที่ ยังอยู่ในช่วงทดลองงาน เนื้องานค่อนข้างใหม่และซับซ้อนสำหรับเรามาก เป็นงานออฟฟิศ (บริษัทใหญ่) หยุดเสาร์ อาทิตย์ 8.30-17.30 แต่หากจะให้กลับไปหาลูกเสาร์อาทิตย์แบบนี้ไม่ไหว เพราะบ้านห่างจากตัวเมือง ต้องมีญาติขับรถมารับที่บขส เป็นว่าลำบากคนอื่นอีก
___________________________________
เราอยากสอบถามเพื่อน ๆ ในพันทิปว่า มีใครที่อยู่กับลูกสองคนบ้างไหมคะ ในอนาคตเราวางแผนว่าหากงานมั่นคง เราจะพาลูกมาอยู่ด้วย เลี้ยงเอง ซื้อมอเตอร์ไซต์สักคันไว้ไปรับส่งลูก ไปทำงาน เช่าบ้านเล็ก ๆ เราไม่อยากอยู่หอ เพราะมันเป็นแค่ห้องสี่เหลี่ยม เราไม่อยากให้ลูกอึดอัด มีใครที่อยู่กับลูกเองจริง ๆ ไม่มีญาติมาอยู่ด้วยไหมคะ ทำงานไปด้วย เลี้ยงลูกไปด้วย เองจริง ๆ มีไหมคะ
ช่วยแนะนำแนวทางให้เราหน่อยได้ไหม เราอยากฟังความเห็นเพื่อน ๆ
เรากลัวว่าหากอยู่บ้านกับลูกสองคนจะเป็นอันตรายเพราะเป็นผู้หญิง และไม่มีญาติหรือคนรู้จักเลย และกลัวลูกจะเหงา เพราะมีแต่แม่ ไม่มียาย (ตอนนี้ลูกติดยาย จะต้องนอนกับยาย) จากแต่ก่อนลูกมียาย ญาติ ๆ ข้างบ้าน แต่หากมาอยู่กับแม่ ก็จะมีแค่แม่ ไม่มีญาติ หรือคนร็จักที่ไหน กลัวเขาจะซึม รับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลง
หากลูกป่วยคงต้องลางาน แต่เด็ก ๆ ป่วยทีก็สามสี่วัน จะให้ลางานกลัวจะได้ใบลาออกแทน จะให้ป่วยแล้วยังดึงดันไปโรงเรียน กลายเป็นไปแพร่เชื้อให้ลูกคนอื่นอีก ลูกป่วยเป็นอะไรที่ทรมาณใจแม่มาก ๆ เราเข้าใจ
เราไม่อยากให้ลูกติดโทรศัพท์เลย แต่บอกยายไปก็เท่านั้น ทุกวันนี้ลูกเราอารมณ์โมโหง่าย ปาข้าวของ บทจะดีก็เชื่อฟัง แต่ถ้าไม่ได้โทรศัพท์คือร้องจ๊าก ปาข้าวของทันที
เราโกรธที่ตัวเองเลี้ยงดูลูกเองไม่ได้ งานก็ไม่มั่นคง (แต่เราไม่มีหนี้สิน ไม่เคยขอยืมเงินใคร) เราอยากให้ลูกเรากลับมาน่ารักเหมือนเดิม ไม่ฉุนเฉียวอารมณ์ร้อนแบบนี้ ทุกวันนี้ได้แต่โทษตัวเอง เหนื่อยจากการทำงาน ดูกล้องวงจรปิดก็เหนื่อยกับยายที่ให้ลูกดูโทรศัพท์ ตามใจลูกเรามากเกินไปอีก เราเครียดจริง ๆ ค่ะ