คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
สวัสดีค่ะ คุณ สมาชิกหมายเลข 7065380
อาการปวดท้องประจำเดือนหลักๆ แบ่งเป็น 2 สาเหตุ คือ
1.อาการปวดที่ไม่มีพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกราน เป็นอาการปวดประจำเดือน ซึ่งตรวจแล้วไม่พบโรคในอุ้งเชิงกรานโดยอาการปวดมักเกิดขึ้นในช่วงกลางรอบเดือน ซึ่งเป็นช่วงของไข่ตก หรือปวดช่วงรอบเดือน โดยมักเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุน้อยหรืออายุที่เริ่มมีรอบเดือน กรณีการทานยาแก้ปวดอาจจะช่วยบรรเทาได้
2. อาการปวดที่มีพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกราน อาการปวดอาจจะมีอาการรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจากเคยปวดเพียงวันเดียวต่อมาจำนวน วันอาจมากขึ้น หรือจากเคยปวดระดับที่ทนได้ไม่ต้องใช้ยาแก้ปวดแต่กลับต้องใช้มากขึ้นและถี่ ขึ้น หรือในบางรายมากจนต้องหยุดเรียนหรือหยุดงาน โรคที่พบบ่อย เช่น โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ อธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น คือ โดยปกติแล้วเยื่อบุโพรงมดลูกจะต้องอยู่ในโพรงมดลูก แต่หากเยื่อบุโพรงมดลูกฝังตัวที่อวัยวะอื่นๆ เช่น ในอุ้งเชิงกราน ที่มดลูก หรือที่รังไข่จะทำให้มีอาการปวดโดยมักมีอาการเป็นรอบตามช่วงของรอบเดือนค่ะ
HOW TO ดูแลตัวเอง…เมื่อปวดท้องประจำเดือน
🔹ประคบร้อน เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึง มีการผ่อนคลาย ลองประคบกระเป๋าน้ำร้อนครั้งละ 3-5 นาที แล้วจะรู้สึกว่าอาการปวดท้องดีขึ้น วิธีนี้ มีการวิจัยว่า สามารถลดอาการปวดได้ดีพอๆกับการกินยาแก้ปวด หากไม่มีกระเป๋าน้ำร้อน จะใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนแทนก็ได้
🔹การเล่นกีฬา เช่น วิ่งจ็อกกิ่ง ว่ายน้ำ เดิน ช่วยให้ผ่อนคลาย คลายเครียด การออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 3ครั้งต่อสัปดาห์ หรือการทำโยคะ จะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้
🔹การดื่มน้ำอุ่นๆ 6-8 แก้ว/วัน ลดอาการท้องอืด ทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น หรือจะผสมใบมินท์ หรือมะนาวซักเล็กน้อย จะยิ่งช่วยได้มาก
🔹น้ำขิง ช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ ขิงมีส่วนช่วยลดการหลั่งสาร Prostaglandins ซึ่งเป็นสารที่ทำให้มดลูกบีบตัวทำให้เกิดการปวดประจำเดือน ทานน้ำขิงเพียง 1-2 แก้วต่อวันจะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้
🔹เลี่ยงบุหรี่ และแอลกอฮอล์ เพิ่มความเสี่ยงในการปวดประจำเดือนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยง
🔹พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความตึงเครียดของร่างกายและสมอง หาเวลานอนหลับให้ได้อย่างน้อย วันละ 6 ชั่วโมง
🔹การแต่งตัว ควรใส่เสื้อผ้าที่หลวมๆ ไม่ควรใส่แบบรัดรูป เพราะจะทำให้รู้สึกอึดอัด ยิ่งปวดแน่นท้องมากขึ้น
🔹การใช้วิตามินเสริมบางอย่าง สามารถลดอาการปวดประจำเดือนได้ เช่น วิตามิน B1, B12, วิตามิน E, fish oil หรือ Magnesium อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาเพียงพอในการใช้วิตามินเสริมเหล่านี้ จึงแนะนำให้การกินอาหารที่มีประโยชน์ ได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่ครบถ้วน
🔹รับประทานอาหาร low fat เพิ่มการทานผัก Anti-Inflammatory food หรืออาหารที่ช่วยต่อต้านการอักเสบ เช่น เชอรี่ บลูเบอรี่ มะเขือเทศ พริกหยวก ก็ช่วยลดการปวดได้ แถมยังมีวิตามินสูงด้วยนะคะ ️
ถ้าหากลองใช้วิธีต่างๆเหล่านี้ ร่วมกับการกินยาแก้ปวดแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น, ปวดประจำเดือนมากขึ้นทุกเดือน หรือมีประจำเดือนมากร่วมด้วย นั่นเป็นสัญญาณเตือนแล้ว ให้ไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิฉัยหาสาเหตุที่แน่ชัดจะดีที่สุดค่ะ
อาการปวดท้องประจำเดือนหลักๆ แบ่งเป็น 2 สาเหตุ คือ
1.อาการปวดที่ไม่มีพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกราน เป็นอาการปวดประจำเดือน ซึ่งตรวจแล้วไม่พบโรคในอุ้งเชิงกรานโดยอาการปวดมักเกิดขึ้นในช่วงกลางรอบเดือน ซึ่งเป็นช่วงของไข่ตก หรือปวดช่วงรอบเดือน โดยมักเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุน้อยหรืออายุที่เริ่มมีรอบเดือน กรณีการทานยาแก้ปวดอาจจะช่วยบรรเทาได้
2. อาการปวดที่มีพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกราน อาการปวดอาจจะมีอาการรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจากเคยปวดเพียงวันเดียวต่อมาจำนวน วันอาจมากขึ้น หรือจากเคยปวดระดับที่ทนได้ไม่ต้องใช้ยาแก้ปวดแต่กลับต้องใช้มากขึ้นและถี่ ขึ้น หรือในบางรายมากจนต้องหยุดเรียนหรือหยุดงาน โรคที่พบบ่อย เช่น โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ อธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น คือ โดยปกติแล้วเยื่อบุโพรงมดลูกจะต้องอยู่ในโพรงมดลูก แต่หากเยื่อบุโพรงมดลูกฝังตัวที่อวัยวะอื่นๆ เช่น ในอุ้งเชิงกราน ที่มดลูก หรือที่รังไข่จะทำให้มีอาการปวดโดยมักมีอาการเป็นรอบตามช่วงของรอบเดือนค่ะ
HOW TO ดูแลตัวเอง…เมื่อปวดท้องประจำเดือน
🔹ประคบร้อน เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึง มีการผ่อนคลาย ลองประคบกระเป๋าน้ำร้อนครั้งละ 3-5 นาที แล้วจะรู้สึกว่าอาการปวดท้องดีขึ้น วิธีนี้ มีการวิจัยว่า สามารถลดอาการปวดได้ดีพอๆกับการกินยาแก้ปวด หากไม่มีกระเป๋าน้ำร้อน จะใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนแทนก็ได้
🔹การเล่นกีฬา เช่น วิ่งจ็อกกิ่ง ว่ายน้ำ เดิน ช่วยให้ผ่อนคลาย คลายเครียด การออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 3ครั้งต่อสัปดาห์ หรือการทำโยคะ จะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้
🔹การดื่มน้ำอุ่นๆ 6-8 แก้ว/วัน ลดอาการท้องอืด ทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น หรือจะผสมใบมินท์ หรือมะนาวซักเล็กน้อย จะยิ่งช่วยได้มาก
🔹น้ำขิง ช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ ขิงมีส่วนช่วยลดการหลั่งสาร Prostaglandins ซึ่งเป็นสารที่ทำให้มดลูกบีบตัวทำให้เกิดการปวดประจำเดือน ทานน้ำขิงเพียง 1-2 แก้วต่อวันจะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้
🔹เลี่ยงบุหรี่ และแอลกอฮอล์ เพิ่มความเสี่ยงในการปวดประจำเดือนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยง
🔹พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความตึงเครียดของร่างกายและสมอง หาเวลานอนหลับให้ได้อย่างน้อย วันละ 6 ชั่วโมง
🔹การแต่งตัว ควรใส่เสื้อผ้าที่หลวมๆ ไม่ควรใส่แบบรัดรูป เพราะจะทำให้รู้สึกอึดอัด ยิ่งปวดแน่นท้องมากขึ้น
🔹การใช้วิตามินเสริมบางอย่าง สามารถลดอาการปวดประจำเดือนได้ เช่น วิตามิน B1, B12, วิตามิน E, fish oil หรือ Magnesium อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาเพียงพอในการใช้วิตามินเสริมเหล่านี้ จึงแนะนำให้การกินอาหารที่มีประโยชน์ ได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่ครบถ้วน
🔹รับประทานอาหาร low fat เพิ่มการทานผัก Anti-Inflammatory food หรืออาหารที่ช่วยต่อต้านการอักเสบ เช่น เชอรี่ บลูเบอรี่ มะเขือเทศ พริกหยวก ก็ช่วยลดการปวดได้ แถมยังมีวิตามินสูงด้วยนะคะ ️
ถ้าหากลองใช้วิธีต่างๆเหล่านี้ ร่วมกับการกินยาแก้ปวดแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น, ปวดประจำเดือนมากขึ้นทุกเดือน หรือมีประจำเดือนมากร่วมด้วย นั่นเป็นสัญญาณเตือนแล้ว ให้ไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิฉัยหาสาเหตุที่แน่ชัดจะดีที่สุดค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ปวดท้องรอบเดือน