ระมัดระวังการซื้อประกัน หมาแมวสัตว์เลี้ยง เจอมากับตัว

เขียนเล่าไว้อย่างนี้นะครับ ผมรับสุนัขตัวนึงมาเลี้ยง เป็นสุนัขของน้องชายที่เขาซื้อไว้แล้วพอดีได้งานที่กรุงเทพฯ โดยภาพรวมสุนัขก็แข็งแรงสมบูรณ์ดีไม่ได้มีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ แต่จากประสบการณ์ที่เคยเลี้ยงสุนัขพบว่าเวลาสุนัขเจ็บไข้ได้ป่วยทีมีค่าใช้จ่ายสูง ปรากฏว่าไปเจอโฆษณาบริษัทประกัน สุนัข และสัตว์เลี้ยง แห่งหนึ่ง ใน Facebook
ผมจึงเข้าไปสอบถามรายละเอียด เรทราคา และ ความครอบคลุมเรื่องของการ เอาประกัน ซึ่งได้รับคำตอบว่า ได้รับการคุ้มครองทั้งกรณีเป็นผู้ป่วยนอกคือมารักษาแล้วกลับบ้าน และกรณีอุบัติเหตุ ซึ่งจากเท่าที่ได้สอบถามเจ้าหน้าที่บริษัทประกันดังกล่าวพบว่าน่าสนใจเพราะเบี้ยในตอนนั้น ที่ผมใช้คำว่าในตอนนั้นเพราะว่าเป็นเวลาประมาณร่วมปีที่แล้ว คือผมทำประกันเมื่อธันวาคมปีที่แล้ว เบี้ยประกันจ่ายไปใน ราคาประมาณพันกว่าบาท ผมจำไม่ได้ว่า 1,300 หรือพัน 6 อยู่ราวๆนี้ เห็นว่าพอไหว จึงตกลงทำประกันโอนเงินและได้รับหมายเลขกรมธรรม์คุ้มครอง

*​*​. ที่นี้ผ่านมาร่วมปีคือเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายนปลายๆเดือน หมามีอาการผิดปกติ ที่ผิวหนังคืออยู่ๆก็เป็นขึ้นมาเป็นปื้นสีดำ มีผื่นแดงแสดงถึงอาการอักเสบ และดูลุกลาม จึง พาสุนัขเข้าพบ แพทย์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสัตว์ มีค่าใช้จ่าย 2,000 กว่าบาท อันนี้เป็นกรณีผู้ป่วยนอกคือ รักษาแล้วรับยากลับมากินที่บ้าน

ภายในวันนั้นนั่นเองผมดำเนินการ ตามรายละเอียดของการเอาประกัน ตามข้อชี้แจงในหน้าเว็บของบริษัทประกันดังกล่าวทุกขั้นตอนอย่างครบถ้วนเริ่มจากการสแกนเอกสาร ส่งรูปถ่ายขณะทำการรักษา ส่งสำเนาบัตรประชาชน ส่งใบยืนยันการรักษาตามแบบฟอร์มของบริษัทซึ่งนำไปให้โรงพยาบาลสัตว์ดังกล่าวกรอกมาอย่างละเอียดครบถ้วน นอกจากนั้นบริษัทยังกำหนดให้ ส่งเอกสารตัวจริงทั้งหมด ตามที่กล่าวไว้ข้างบน ไปทางไปรษณีย์ซึ่งผมส่งไปทาง EMS เพื่อจะได้ถึงสะดวกรวดเร็วแล้วก็ปลอดภัยว่าถึงแน่ สามารถตรวจเช็คได้เพราะมี EMS Tracking

ขอท้าวความอีกหน่อยในเรื่องของเบี้ยประกันที่ต้องจ่าย เนื่องจากว่าใกล้จะหมดสัญญาภายในกลางเดือนธันวาคมนี้จึงได้เข้าไปอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับการต่อประกันของบริษัทดังกล่าวพบว่า ในแผนประกันเดิมที่เคยใช้ในช่วงปีที่ผ่านมาราคาเพิ่มขึ้น เกือบเท่าตัว ในส่วนของความคุ้มครองกับลดลงไปอย่างเทียบไม่ได้ คือเดิมคุ้มครอง 90% ของค่าใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ของใหม่ราคา 2,000 กว่าบาท เกือบ 3,000 บาท แต่คุ้มครองเพียง 50% ของค่าใช้จ่าย ที่อาจเกิดขึ้นจากการเอาประกัน และไม่เกิน 1,500 บาท ซึ่งในความเห็นของผมคงไม่ต่อประกันเพราะดูค่อนข้าง เสียเปรียบบริษัทประกันมาก สำหรับคนที่เลี้ยงหมาจะทราบดีว่า การนำสุนัขไปพบแพทย์ครั้งครั้งหนึ่ง ค่าใช้จ่ายสูง การช่วยเหลือเพียงแค่ 50% และสำคัญว่าไม่เกิน 1,500 นั้นแทบจะ ไม่มีผลอะไรเลย นี่เป็นข้อ 1 ที่เห็นได้ชัดว่าบริษัทประกัน มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของราคาเรื่องของการคุ้มครองไปในทิศทางที่เสียประโยชน์ต่อลูกค้ามากขึ้น ซึ่งลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการใหม่ๆไม่เคยเห็นราคาเก่าและ วงเงิน เอาประกันเก่า คงจะเสียประโยชน์ไม่น้อย

ต่อนะครับในส่วนของการเอาประกันและผล ในส่วนของสุนัขของผม เวลาผ่านไปจากวันที่ 23 เดือนพฤศจิกายนจนถึงวันที่ 4 ธันวาคม ผมเข้าไปเช็คความคืบหน้าในเว็บไซต์ของประกันซึ่งสามารถเช็คดูได้ว่ามีความคืบหน้าอะไรบ้าง แต่เป็นที่น่าตกใจว่าไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยไม่มีแม้แต่กระทั่งว่า การขึ้นสถานะว่าได้รับเอกสารแล้วหรือไม่ ครบถ้วนหรือไม่ ผมจะติดต่อไปที่บริษัทประกันทางโทรศัพท์ทุกเบอร์ที่บริษัทให้ปรากฏว่าบางเบอร์เป็นเบอร์ที่ยกเลิกไปแล้ว แต่อีก 2 เบอร์เป็นเบอร์ที่สามารถโทรติดแต่ไม่มีผู้รับ จึงติดต่อไปทาง Messenger ผ่านเพจของบริษัทประกันดังกล่าว และติดต่อไปทางไลน์ของบริษัทประกันดังกล่าว ซึ่งกว่าจะมีคนเข้ามาตอบ ก็กินเวลาไม่น้อย

ผลของการเช็ค ในเรื่องของ เงินประกันที่จะต้องได้รับปรากฏว่า ทางบริษัทแจ้งว่า กรณีความเจ็บป่วยของสุนัขผมอยู่นอกเหนือกรมธรรม์ คือเป็นเพราะเจ็บป่วยเรื่องผิวหนัง อันนี้เรียงตามตรงว่า ผมไม่ทราบมาก่อน เพราะ ในคำชี้ชวนในเพจของ ประกันบริษัทดังกล่าว ไม่มีรายละเอียดในส่วนนี้ปรากฏอยู่ แต่กลับไปปรากฏอยู่ใน ใบสัญญากรมธรรม์ซึ่งมีจำนวนร่วม 10 หน้า และเป็นภาษาทางกฎหมายล้วนๆ ซึ่ง ยอมรับว่าเกินสติปัญญาที่จะอ่านแล้วเข้าใจได้ ทั้งเรื่องของจำนวนข้อความเป็น 10 แผ่น ทั้งเรื่องของสำนวนที่เป็นภาษากฎหมายที่อ่านแล้วชวนง่วง ข้อนี้ยอมรับได้ว่าผมผิดเองในเรื่องของความรอบคอบ

ประหยัดนำมาแชร์ต่อสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงสัตว์ที่คิดจะทำประกัน ซึ่งท่านสามารถจะหลังไมค์เข้ามาสอบถามได้ว่าบริษัทที่ผมทำเป็นบริษัทชื่ออะไร

ขอเรียนชี้แจงอย่างนี้ว่า จากประสบการณ์การเลี้ยงสุนัขมาตั้งแต่ผมอายุน้อยๆและไม่เคยหยุดเลี้ยงสุนัขเลยตลอดช่วงอายุของผม โรคภัยไข้เจ็บของสุนัขที่พบได้เป็นประจำและบ่อยมากที่สุดคือโรคผิวหนัง เพราะฉะนั้นการที่บริษัทประกันไม่คุ้มครองโรคในลักษณะดังกล่าว อันนี้ผู้ที่จะซื้อประกันต้องพิจารณาว่า ควรจะซื้อหรือไม่คุ้มหรือไม่ สำคัญว่ากรณีเบี้ยประกันจากพันกว่าบาทกลายเป็น 2,000 กว่าเกือบ 3,000 รวมทั้งวงเงินที่คุ้มครองจาก 90% เหลือแค่ 50%

ทั้งหมดจึงอธิบายมา โดยมีภาพประกอบเป็นภาพการพูดคุยของผม กับเจ้าหน้าที่ของบริษัทดังกล่าว ผ่านช่องทาง Messenger และทางช่องทาง Line ก่อนที่จะได้คุยกันทางโทรศัพท์ ซึ่งพอจะ ช่วยให้เกิดความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจอยากจะซื้อประกันได้ ตามรายละเอียดตามภาพข้างล่าง ด้วยความปรารถนาดีในฐานะผู้ที่เลี้ยงและรักสุนัขหรือสัตว์เลี้ยง และปรารถนาในเรื่องของการเยียวยารักษาความปลอดภัยการให้ความคุ้มครอง กับสัตว์เลี้ยงของตัว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่