สวัสดีค่ะ วันนี้เรามาเขียนแชร์ประสบการณ์การใช้ชีวิตต่างแดนที่เราโดยคนไทยกันเองตัดสินแบบเราเองหงายหลัง😅 เราจะแปะคลิปที่เราทำไว้เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้รวมกับความรู้สึก และการรับมือกับคำตัดสินพวกนี้ไว้ท้ายโพสต์นะคะ
เราขออกตัวก่อนนะค่ะ ว่าเราเป็นคนไทยบ้านนอกคนหนึงที่มาเรียนต่อที่อังกฤษ และย้านมาอยู่ที่อังกฤษ เราไม่ชอบแต่งตัว แต่งหน้า หรือใส่ใจเรื่องความสวยความงามของตัวเองสักเท่าไหร่ เราอาศัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และเวลาเราออกไปไหน โดยเฉพาะตอนอากาศหนาว เรามักจะใส่โค้ชหนาๆ รองเท้าบูทยาง (คล้ายๆกับที่ไทยเวลาไปทำสวนค่ะ) เพราะที่นี่อากาศแฉะ และเปียกตลอดเวลา การใส่ร้องเท้าบูทแบบนี้ทำให้เท้าเราไม่เปียก แถมใส่ถุงเท้าหนาๆได้เต็มที่ด้วยค่ะ
เอาละค่ะเรื่องถูกเหยียดนี่มันเป็นยังไง?
เราเจอคนผู้หญิงไทยคนหนึงในเมืองที่เราอยู่ เจอกันครั้งแรก และเขาทักเราว่า 'เอ่ น้องเป็นคนไทยหรือเปล่า'
เราตอบ ' ใช่ค่ะ'
ผู้หญิงไทย 'อยู่เมืองนี้หรอ พี่ไม่เคยเห็นเลย'
เรา 'ใช่ค่ะ หนูน่าจะทำงาน ไม่ค่อยจะได้ออกมาในเมืองเท่าไหร่'
ผู้หญิงไทย 'แล้วน้องอยู่แถวไหน'
เรา ' อยู่ตรงถนนเส้นนั้นเส้นนี้.....'
ผู้หญิงไทย 'อ่อ น้องอยู่บ้านรัฐบาลตรงนั้นนะหรอ???????'
ขออนุญาตอธิบายคำว่าบ้านรัฐบาลก่อนนะคะ ที่อังกฤษเขาเรียกว่า council house บ้านที่รัฐบาลอังกฤษเขามีไว้ช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือ เช่น กลุ่มคนที่อาจจะมีรายได้ไม่พอ คนที่อยู่ในกลุ่ม vulnerable จากเหตุการณ์บางอย่าง เช่น ถูกทำร้าย อาจจะพิการระดับหนึงและรายได้ไม่พอ และอีกหลายๆปัจจัยค่ะ ง่ายๆคือกลุ่มคนที่ทางรัฐเขาพิจารณาแล้วว่าเขาต้องได้รับความช่วยเหลือ ถึงจะมาอยู่บ้านรัฐได้ค่ะ ไม่ใช่ว่าใครๆก็อยู่ได้
เราตอบพี่เขาไปว่า 'อ่อ เปล่าค่ะ หนูอยู่บ้านกับสามีค่ะ บ้านเราเอง'
ผู้หญิงไทย 'อ๋อ อยู่บ้านสามีหรอ โชคดีนะสามีมีบ้าน!!!!!!'
เราเริ่มจะสนทนากับเขาต่อแบบไม่ comfortable มากๆ เพราะเรารู้สึกว่าพี่เขาเหมือนจะรู้ทุกอย่างในชีวิตเราตั้งแต่ครั้งแรกของการเจอกัน (โดยความบังเอิญ)
เราตอบพี่เขาไป 'อ๋อ เปล่าค่ะ บ้านนี้เป็นบ้านเราสองคนคะเราซื้อบ้านด้วยกัน โดยการขอกู้ร่วมกันโดยการใช้เงินเดือนของเราสองคน เราถึงได้บ้านมา ถ้าสามีซื้อคนเดียว หรือหนูซื้อคนเดียวคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเราต้องกู้เงินเยอะมากๆ เลยต้องกู้ร่วมกันโดยใช้เงินเดือนของสองคนเป็นฐายกู้'
ผู้หญิงไทย 'อ่อ หรอ ดีนะ แล้วน้องทำงานที่ไหน'
เรา ' โรงแรมค่ะ' (เราตอบสั้นๆแค่นี้)
ผู้หญิงไทย ' โอยย ทำไปได้ไง แม่บ้านโรงแรม งานหนักจะตาย น้องตัวเล็กจะทำไหวหรอ เก่งนะ พี่เคยทำตรงโรงแรมนั้นใช่ไหม ทำได้แค้อาทิตย์เดียวไม่ไหวอ่า งานหนักมาก' (ตัดสินเราอีกรอบ)
เรา 'ใช่ค่ะ รร นั้น (เราขอไม่พูดชื่อ รร นะคะ) หนูทำตรง Front Desk, reservation and reception ค่ะ'
ผู้หญิงไทย ' อ่อ หรอ แล้วเธอพูดภาษาอังกฤษได้หรอ.............?????'
เราอธิบายพี่เขาไปแค่ว่า อ๋อ หนูมาเรียนต่อโทที่นี่ค่ะ แล้วอันนี้น่าจะช่วยให้หนูพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย พูดได้ไม่เยอะหรอกค่ะ พอผ่านๆเอา
เราบอกพี่เขาว่าเราต้องไปก่อน เพราะเราไม่รู้จะสุภาพกับเขาได้ถึงไหน
ตอนหลังๆเราเจอผู้หญิงไทยคนนี้บ่อยขึ้น จนเขาเริ่มบทสนทา หลายๆครั้งจนอาชีพของเราที่อังกฤษเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนเขารู้ว่าเราทำงานที่มหาลัย Oxford ตอนหลังเขากลับคุยดีกับเรามากๆ จนเรามีความรู้สึกว่าบางทีสังคมการใช้ชีวิตที่อังกฤษ เราไม่ต้องใส่ใจกับคนกลุ่มนี้เท่าไหร่ เพราะเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึงที่ทำให้ชีวิตเราพัฒนาขึ้น หรือเรามีค่าสำหรับเขา เราไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องหรือนับถือความเป็นผู้ใหญ่ของเขาเลย เพราะการที่เขาตัดสินเรานั้น เขาเอาพื้นฐานชีวิตของเขาเองมาตัดสินเรา เรามองว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่สอนเราได้เยอะมากๆกับการใช้ชีวิตต่างแดนแบบเรียบๆของเรา การที่เราเจอผู้หญิงคนนี้บ่อยขึ้นโดยบังเอิญทำให้เรารู้ว่าเขาไม่เข้าใจคำว่าการพึ่งตัวเอง และการเอาตัวรอดด้วยตัวเอง เรามีอีกเหตุการณ์หนึงจากหลายๆเหตุการณ์ ที่ผู้หญิงคนนี้พยายามจะให้ความช่วยเหลือและคำปรึกษาในชีวิตเรา เช่น เราต้องการจะไปซื้อผักบุ้ง แล้วเขาเจอเราโดยบังเอิญอีกค่ะ โลกโคตรแคบมากๆสำหรับเรากับ ผญ คนนี้ เขาทักเราว่าซื้ออะไรมา เราบอกเราจะไปซื้อผักบุ้งที่ร้านไทยแต่ไม่มี เลยเอาผักกาดขาวในซุปเปอร์มาแทน เขาตอบจ๊วดดดดดเลยว่า โอยยยย จะขี้เหนียวเงินไปถึงไหน กำลังท้องกำลังไส้อยู่ด้วยกินๆไปเห่อะอะไรที่อยากกิน ไม่มีที่ร้านไทย ก็สั่งออนไลน์เอาสิ่ มีเยอะแยะไป เราบอกพี่เขาว่ามันน่าจะไม่คุ้มคะ เพราะผักบุ้งกำหนึงกับค่าส่งนี้มันแพงมาก (ผักบุ้งกำละ 2.99 ปอนด์ ประมาณ 100 กว่าบาทไทย แต่ค่าส่งของสดอย่างน้อย 9 ปอนด์กว่า ประมาณเกือบ 500 บาทค่ะ) คือเราไม่ได้อยากกินขนาดนั้น แค่คิดว่าถ้ามีก็ซื้อ ไม่มีก็คงไม่ลงแดง เรามองไปถึงความคิดทางการเงินของ ผญ คนนี้ว่าเขาจริงๆแล้วการเงินเป็นยังไง รวยหรือเปล่า บ้านหลังใหญ่แน่ๆ ถึงจ่ายเงินชิวๆ
จนสุดท้ายเรารู้ว่าเขาเลิกกับสามี และมีแฟนใหม่ และเขาเช่าอยู่แฟลตอยู่กับแฟน(เราไม่รู้ว่าใครเช่า) และเขาก็ทำงานที่ที่นี่เรียกว่า minimum wage job (งานที่ได้ค่าแรงขั้นต่ำ) เราไม่ได้จะเอาตรงนี้มาเป็นตัวตัดสินเขานะคะ แต่เราเอามาประเมินตัวเองว่า จริงๆแล้วการที่เราถูกเขาถามคำถามแปลกๆ การที่เขาสนทนากับเราแบบที่เขาทำมันน่าจะมาจากพื้นฐานของเขาเอง ซึ่งเราตัดสินเขาผิดหมด เพราะเราคิดว่า เขาคงจะมีบ้านหลังใหญ่ คงจะมีงานทำเงินเดือนสูงๆ
นี่แหละค่ะส่วนหนึงของการใช้ชีวิตที่อังกฤษเป็นเวลาเกือบห้าปีของเรา และเรายังต้องเจอผู้หญิงคนนี้อยู่บ่อยๆค่ะ🤣
ใครที่อยู่ต่างประเทศแล้วเคยเจอแบบนี้บ้างค่ะ ทุกคนรับมือยังไง?
นี่คือคลิปที่เราทำไว้เกี่ยวกับชีวิตอังกฤษกับการโดยคนไทยตัดสินค่ะ
คลิปนี้ค่ะ
เป็นคลิปที่เราคุยเรื่องนี้ พูดถึงคนไทยสองสามคนที่ตัดสินเราแบบไวมากๆ
ขอบคุณมากเลยนะคะที่ติดตามโพสต์และอ่านประสบการณ์ของเรา 🥰
เราขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในแบบของตัวเองนะคะ อย่าเอาคำตัดสินคนอื่นมาเป็นพวงมา
Thai Lemomgrass
ชีวิตต่างแดนที่โดนคนไทยกันเอง 'เหยียด'
เราขออกตัวก่อนนะค่ะ ว่าเราเป็นคนไทยบ้านนอกคนหนึงที่มาเรียนต่อที่อังกฤษ และย้านมาอยู่ที่อังกฤษ เราไม่ชอบแต่งตัว แต่งหน้า หรือใส่ใจเรื่องความสวยความงามของตัวเองสักเท่าไหร่ เราอาศัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และเวลาเราออกไปไหน โดยเฉพาะตอนอากาศหนาว เรามักจะใส่โค้ชหนาๆ รองเท้าบูทยาง (คล้ายๆกับที่ไทยเวลาไปทำสวนค่ะ) เพราะที่นี่อากาศแฉะ และเปียกตลอดเวลา การใส่ร้องเท้าบูทแบบนี้ทำให้เท้าเราไม่เปียก แถมใส่ถุงเท้าหนาๆได้เต็มที่ด้วยค่ะ
เอาละค่ะเรื่องถูกเหยียดนี่มันเป็นยังไง?
เราเจอคนผู้หญิงไทยคนหนึงในเมืองที่เราอยู่ เจอกันครั้งแรก และเขาทักเราว่า 'เอ่ น้องเป็นคนไทยหรือเปล่า'
เราตอบ ' ใช่ค่ะ'
ผู้หญิงไทย 'อยู่เมืองนี้หรอ พี่ไม่เคยเห็นเลย'
เรา 'ใช่ค่ะ หนูน่าจะทำงาน ไม่ค่อยจะได้ออกมาในเมืองเท่าไหร่'
ผู้หญิงไทย 'แล้วน้องอยู่แถวไหน'
เรา ' อยู่ตรงถนนเส้นนั้นเส้นนี้.....'
ผู้หญิงไทย 'อ่อ น้องอยู่บ้านรัฐบาลตรงนั้นนะหรอ???????'
ขออนุญาตอธิบายคำว่าบ้านรัฐบาลก่อนนะคะ ที่อังกฤษเขาเรียกว่า council house บ้านที่รัฐบาลอังกฤษเขามีไว้ช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือ เช่น กลุ่มคนที่อาจจะมีรายได้ไม่พอ คนที่อยู่ในกลุ่ม vulnerable จากเหตุการณ์บางอย่าง เช่น ถูกทำร้าย อาจจะพิการระดับหนึงและรายได้ไม่พอ และอีกหลายๆปัจจัยค่ะ ง่ายๆคือกลุ่มคนที่ทางรัฐเขาพิจารณาแล้วว่าเขาต้องได้รับความช่วยเหลือ ถึงจะมาอยู่บ้านรัฐได้ค่ะ ไม่ใช่ว่าใครๆก็อยู่ได้
เราตอบพี่เขาไปว่า 'อ่อ เปล่าค่ะ หนูอยู่บ้านกับสามีค่ะ บ้านเราเอง'
ผู้หญิงไทย 'อ๋อ อยู่บ้านสามีหรอ โชคดีนะสามีมีบ้าน!!!!!!'
เราเริ่มจะสนทนากับเขาต่อแบบไม่ comfortable มากๆ เพราะเรารู้สึกว่าพี่เขาเหมือนจะรู้ทุกอย่างในชีวิตเราตั้งแต่ครั้งแรกของการเจอกัน (โดยความบังเอิญ)
เราตอบพี่เขาไป 'อ๋อ เปล่าค่ะ บ้านนี้เป็นบ้านเราสองคนคะเราซื้อบ้านด้วยกัน โดยการขอกู้ร่วมกันโดยการใช้เงินเดือนของเราสองคน เราถึงได้บ้านมา ถ้าสามีซื้อคนเดียว หรือหนูซื้อคนเดียวคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเราต้องกู้เงินเยอะมากๆ เลยต้องกู้ร่วมกันโดยใช้เงินเดือนของสองคนเป็นฐายกู้'
ผู้หญิงไทย 'อ่อ หรอ ดีนะ แล้วน้องทำงานที่ไหน'
เรา ' โรงแรมค่ะ' (เราตอบสั้นๆแค่นี้)
ผู้หญิงไทย ' โอยย ทำไปได้ไง แม่บ้านโรงแรม งานหนักจะตาย น้องตัวเล็กจะทำไหวหรอ เก่งนะ พี่เคยทำตรงโรงแรมนั้นใช่ไหม ทำได้แค้อาทิตย์เดียวไม่ไหวอ่า งานหนักมาก' (ตัดสินเราอีกรอบ)
เรา 'ใช่ค่ะ รร นั้น (เราขอไม่พูดชื่อ รร นะคะ) หนูทำตรง Front Desk, reservation and reception ค่ะ'
ผู้หญิงไทย ' อ่อ หรอ แล้วเธอพูดภาษาอังกฤษได้หรอ.............?????'
เราอธิบายพี่เขาไปแค่ว่า อ๋อ หนูมาเรียนต่อโทที่นี่ค่ะ แล้วอันนี้น่าจะช่วยให้หนูพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย พูดได้ไม่เยอะหรอกค่ะ พอผ่านๆเอา
เราบอกพี่เขาว่าเราต้องไปก่อน เพราะเราไม่รู้จะสุภาพกับเขาได้ถึงไหน
ตอนหลังๆเราเจอผู้หญิงไทยคนนี้บ่อยขึ้น จนเขาเริ่มบทสนทา หลายๆครั้งจนอาชีพของเราที่อังกฤษเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนเขารู้ว่าเราทำงานที่มหาลัย Oxford ตอนหลังเขากลับคุยดีกับเรามากๆ จนเรามีความรู้สึกว่าบางทีสังคมการใช้ชีวิตที่อังกฤษ เราไม่ต้องใส่ใจกับคนกลุ่มนี้เท่าไหร่ เพราะเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึงที่ทำให้ชีวิตเราพัฒนาขึ้น หรือเรามีค่าสำหรับเขา เราไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องหรือนับถือความเป็นผู้ใหญ่ของเขาเลย เพราะการที่เขาตัดสินเรานั้น เขาเอาพื้นฐานชีวิตของเขาเองมาตัดสินเรา เรามองว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่สอนเราได้เยอะมากๆกับการใช้ชีวิตต่างแดนแบบเรียบๆของเรา การที่เราเจอผู้หญิงคนนี้บ่อยขึ้นโดยบังเอิญทำให้เรารู้ว่าเขาไม่เข้าใจคำว่าการพึ่งตัวเอง และการเอาตัวรอดด้วยตัวเอง เรามีอีกเหตุการณ์หนึงจากหลายๆเหตุการณ์ ที่ผู้หญิงคนนี้พยายามจะให้ความช่วยเหลือและคำปรึกษาในชีวิตเรา เช่น เราต้องการจะไปซื้อผักบุ้ง แล้วเขาเจอเราโดยบังเอิญอีกค่ะ โลกโคตรแคบมากๆสำหรับเรากับ ผญ คนนี้ เขาทักเราว่าซื้ออะไรมา เราบอกเราจะไปซื้อผักบุ้งที่ร้านไทยแต่ไม่มี เลยเอาผักกาดขาวในซุปเปอร์มาแทน เขาตอบจ๊วดดดดดเลยว่า โอยยยย จะขี้เหนียวเงินไปถึงไหน กำลังท้องกำลังไส้อยู่ด้วยกินๆไปเห่อะอะไรที่อยากกิน ไม่มีที่ร้านไทย ก็สั่งออนไลน์เอาสิ่ มีเยอะแยะไป เราบอกพี่เขาว่ามันน่าจะไม่คุ้มคะ เพราะผักบุ้งกำหนึงกับค่าส่งนี้มันแพงมาก (ผักบุ้งกำละ 2.99 ปอนด์ ประมาณ 100 กว่าบาทไทย แต่ค่าส่งของสดอย่างน้อย 9 ปอนด์กว่า ประมาณเกือบ 500 บาทค่ะ) คือเราไม่ได้อยากกินขนาดนั้น แค่คิดว่าถ้ามีก็ซื้อ ไม่มีก็คงไม่ลงแดง เรามองไปถึงความคิดทางการเงินของ ผญ คนนี้ว่าเขาจริงๆแล้วการเงินเป็นยังไง รวยหรือเปล่า บ้านหลังใหญ่แน่ๆ ถึงจ่ายเงินชิวๆ
จนสุดท้ายเรารู้ว่าเขาเลิกกับสามี และมีแฟนใหม่ และเขาเช่าอยู่แฟลตอยู่กับแฟน(เราไม่รู้ว่าใครเช่า) และเขาก็ทำงานที่ที่นี่เรียกว่า minimum wage job (งานที่ได้ค่าแรงขั้นต่ำ) เราไม่ได้จะเอาตรงนี้มาเป็นตัวตัดสินเขานะคะ แต่เราเอามาประเมินตัวเองว่า จริงๆแล้วการที่เราถูกเขาถามคำถามแปลกๆ การที่เขาสนทนากับเราแบบที่เขาทำมันน่าจะมาจากพื้นฐานของเขาเอง ซึ่งเราตัดสินเขาผิดหมด เพราะเราคิดว่า เขาคงจะมีบ้านหลังใหญ่ คงจะมีงานทำเงินเดือนสูงๆ
นี่แหละค่ะส่วนหนึงของการใช้ชีวิตที่อังกฤษเป็นเวลาเกือบห้าปีของเรา และเรายังต้องเจอผู้หญิงคนนี้อยู่บ่อยๆค่ะ🤣
ใครที่อยู่ต่างประเทศแล้วเคยเจอแบบนี้บ้างค่ะ ทุกคนรับมือยังไง?
นี่คือคลิปที่เราทำไว้เกี่ยวกับชีวิตอังกฤษกับการโดยคนไทยตัดสินค่ะ คลิปนี้ค่ะ
เป็นคลิปที่เราคุยเรื่องนี้ พูดถึงคนไทยสองสามคนที่ตัดสินเราแบบไวมากๆ
ขอบคุณมากเลยนะคะที่ติดตามโพสต์และอ่านประสบการณ์ของเรา 🥰
เราขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในแบบของตัวเองนะคะ อย่าเอาคำตัดสินคนอื่นมาเป็นพวงมา
Thai Lemomgrass