[รีวิว]ทริปเชียงคาน 3 วัน 2 คืน ฉบับเที่ยว 3 วันประสบการณ์ 3 ปี

สวัสดีจ้าเพื่อนๆพี่ๆน้องๆสมาชิกชาวพันทิป วันนี้เราก็จะมาบอกเล่าเรื่องราวแสนวิเศษของทริปเชียงคาน จ.เลยตลอด 3 วัน 2 คืนของมือใหม่เชียงคานทั้ง 4 คน 

Let’s goooooooooooooooooo!!!
เม่าเริงร่า
วางPLAN
               ก่อนจะเที่ยวเราก็ต้องมีการวางแผนกันก่อนโดยเริ่มจากหาวันว่างที่ตรงกันของชาวมือใหม่ซึ่งผลที่ได้ก็คือวันที่ 28 ต.ค – 30 ต.ค 2566 และก็ได้วางแผนกันว่าแต่ละวันเราจะไปไหนกันบ้าง 1 2 3 4 ตามสเต้ปโดยแต่ ทำการจองตั๋วรถไปกลับซึ่งพวกเราเลือกใช้บริการของบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) โดยมีปลายทางคือหน้าตลาดสดเชียงคานโดยตรงและเลือกราคาที่ถูกที่สุตามแบบฉบับคนจนจำต้องทนปั่นรถถีบ โดยตกคนละ 1,150 บาทรวมไป-กลับ จองโรงแรมและที่พักผ่านแอปและส่วนลดโปรโมชั่น 10.10 ตามฉบับคนประหยัดอดออมไปอีกที และเมื่อเราชาวมือใหม่มีที่ให้เดินทางไปและให้ซุกหัวนอนแล้วพวกเราก็นับวันรอที่จะเดินทางไป
 
-----------------------------------------------------------------------27 ต.ค 2566 เวลา 19.00 น.-----------------------------------------------------------------------
                พวกเรา 4 คนนัดกันไปที่หมอชิต 2 เพื่อรับตั๋วและรอขึ้นรถโดยนัดเวลากัน 18.30 น.(มากันซะตรงเวลาเชียว 5555 T_T) หลังจากพบปะหน้ากันครบ 4 คนที่หน้าที่นั่งพระภิกษุ(สาธุนะคะหลวงพ่อ) เราก็แยกย้ายกันไปซื้อของกินของใช้เพื่อเตรียมตัวสำหรับเดินทาง 10 กว่าชั่วโมงเพื่อไปเชียงคานซึ่งรถของเราจะออกเดินทางเวลา 19.30 น.
                  หลังจากขึ้นรถไป ไฟมืดๆ+แอร์เย็นๆ จะเกิดอะไรขึ้นหล่ะครับชาวพันทิป ก็ต้องหลับสิครับหลับกันยาวๆ โดนตลอดทั้งคืนก็จะเป็นการหลับแล้วก็ตื่นมากินแล้วก็หลับตลอดการเดินทาง อาจจะมีจังหวะตื่นเต้นบ้างตอนที่ลงเขาแต่ใช่ครับเรา 4 คนก็ไม่หวั่นหลับยาวๆ
เม่าออกรถ
-----------------------------------------------------------------------28 ต.ค 2566 เวลา 06.00 น.-----------------------------------------------------------------------
                   และแล้วพวกเราก็มาถึงเชียงคานโดยรถบัสส่งเราลงตรงหน้าตลาดสดเชียงคาน ชาวมือใหม่ที่สะลึมสะลือก็แบกกระเป๋าและข้าวของขึ้นสกายแลปเพื่อเข้าที่พักเพื่อเก็บของต่อไป โดยที่พักในคืนแรกของเราจะไม่ได้อยู่บนถนนคนเดินแต่จะต้องนั่งรถมาอีกหน่อยเพื่อประหยัดงบในทริปนี้ชื่อว่า “โรงแรมเจเจ @เชียงคาน”

เก็บของเสร็จก็ทำการเช่ามอเตอร์ไซค์เพื่อไปบุกตะลุยเชียงคานแต่ก็ต้องเบรกหน้าทิ้มด้วยอาการหิว พวกเราก็เลยรีบทำการออกรถ ไปเติมน้ำมันและขับเข้าถนนคนเดินไปที่ “ร้านจำเลยรัก” ซึ่งเป็นร้านอาหารเช้าที่ตั้งอยู่บนถนนคนเดินเชียงคาน โดยในร้านก็จะมี ไข่กระทะ เฝอ ชุดขนมปัง แล้วก็น้ำชงต่างๆ โดยมื้อนี้จะตกคนละประมาณหนึ่งร้อยนิดๆ 
              หลังจากเติมพลังอิ่มท้องก็พร้อมไปจุดหมายถัดไปนั่นก็คือ “หมู่บ้านไทดำ” ซึ่งใช้เวลาขับมอเตอร์ไซค์ไปประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อถึงก็จะมีเด็กๆชาวไทดำมาต้อนรับและชักชวนเราไปแต่งตัวแบบไทดำ น้องๆน่ารักและเป็นกันเองมาก พอเราเล่นและพูดคุยกับน้องๆได้สักพักก็มีผู้ใหญ่มาตามให้น้องๆไปทำการแสดงแบบไทดำให้พวกเราดู(พวกเรา 2 ใน 4 คนได้ไปออกสเตปกับน้องๆ พูดได้คำเดียวว่าสะโพกเกือบเคล็ดเลยหล่ะค่าT_T) เมื่อรับชมและร่วมสนุกกันจบ พวกเราก็ได้เข้าไปคุยกับผู้สูงอายุของชาวไทดำ แกเล่าประวัติและวัฒนธรรมของชาวไทดำให้เราได้ฟัง จากนั้นก็พาเราเยี่ยมชมบ้านของคนไทดำ ทุกคนเชื่อไหมว่าชาวไทดำแต่ก่อนสูงเกือบสองเมตรเลยนะ ซึ่งชาวไทดำได้อพยพมาจากเวียดนามและกระจัดกระจายกันออกไป ส่วนหนึ่งมาตั้งรกรากที่จังหวัดเลยแห่งนี้ มีลักษณะที่พักอาศัยเป็นแบบเรือนเครื่องผูก หลังคาจะมุงด้วยหญ้าคาหรือแฝก ใต้ถุนสูง ซึ่งภายในบ้านจะแบ่งออกเป็นห้อง ๆ ไล่มาตั้งแต่บันไดบ้านด้านหน้า ที่จะขึ้นได้แต่เฉพาะผู้ชายเท่านั้น เนื่องจากมีห้องผีบรรพบุรุษอยู่หน้าบ้านซึ่งจะเป็นห้องแรกของตัวบ้าน ถัดมาเป็นห้องโล่งและมีพื้นที่กว้างสุดในบ้าน ใช้สำหรับเป็นห้องนอน ส่วนสุดท้ายของตัวบ้าน จะเป็นที่ประกอบอาหาร โดยมีบันไดที่ใช้เป็นทางขึ้นลงสำหรับผู้หญิงชาวไทดำ โดยตามหลักแล้วแต่ละบ้านก็จะมีผังที่แตกต่างกันไปซึ่งจะขึ้นอยู่กับบทบาทของครอบครัวนั้นในชุมชนเช่นถ้าเป็นเกษตรกรก็จะมีการออกแบบให้เป็นพื้นที่กว้างๆสำหรับเก็บอุปกรณ์หรือถ้าเป็นหมอผีปังบ้านก็จะออกแบบเป็นห้องๆโดยแต่ละห้องก็จะมีหน้าที่ต่างกันคือมีห้องผู้ชาย ห้องผู้หญิงและห้องพ่อหมอที่จะใช้สำหรับการรักษา เป็นต้น
               ใครมีโอกาสแวะไปหมู่บ้านไทดำนะคะ เข้าชมฟรีส่วนถ้าอยากเจอน้องๆให้มาวันเสาร์อาทิตย์ อยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัสความสนุกและความอบอุ่นแบบนี้กันเยอะๆ แต่เมื่อมีพบก็ต้องจากลา พวกเราทำการบอกลาชาวไทดำเพราะถึงเวลาต้องไปจุดหมายถัดไปตามแพลนแล้ว จุดหมายถัดไปคือ “จานกาบหมาก” ของดีบ้านท่าดีหมีซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที 
หลังจากผ่านความสาหัสและความเศร้ากับการนั่งรถมอเตอร์ไซน์ข้ามเขามา 3 ลูก  พวกเราก็พบกับความเศร้าอีกต่อคือ เราพึ่งได้ทราบว่าศูนย์การเรียนรู้นี้ได้ถูกปิดไปตั้งแต่ช่วงโควิดเนื่องจากจำนวนการสั่งที่ลดลงถ้าจะมาต้องมีการแจ้งล่วงหน้า แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่เมื่อชาวบ้านแถวนั้นโทรตามพี่เจ้าหน้าที่มาให้ และด้วยความกรุณาของพี่เจ้าหน้าที่เราจึงได้รับชมผลิตภัณฑ์และได้เห็นเครื่องมือของกระบวนการผลิตคร่าวๆ(เกือบได้ร้องไห้ใต้ต้นยางแล้วชาวมือใหม่) โดยกระบวนการผลิตจะเริ่มจากนำใบกาบหมากมาตากแห้งเก็บไว้ ก่อนจะขึ้นรูปก็ให้นำไปแช่น้ำผึ่งให้หมาดๆ และนำเข้าเครื่องขึ้นรูปที่ใช้ความร้อนจนได้จานชามที่สวยงามออกมา และด้วยความใจดีX2 ของพี่เจ้าหน้าที่พวกเราก็ได้รับจานกาบหมากแบบต่างๆมาเป็นที่ระลึกด้วย ซึ่งสำหรับใครที่สนใจจะไปรับชม พี่เจ้าหน้าที่ฝากบอกว่าให้ติดต่อมาก่อนเพื่อจะได้เตรียมคนไว้ให้ ก่อนจะจากลาจากบ้านจานกาบหมากพวกเราก็อยากเชิญชวนให้ทุกคนที่ผ่านมาเห็นกระทู้นี้ได้ลองไปที่นี่ดูซักครั้งเพราะของสิ่งนี้เราแทบจะไม่เคยเห็นที่ไหนเลย ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะที่นี่เลยก็ว่าได้แถมมีรูปแบบการทำที่ไม่ซับซ้อน สามารถทำได้ง่ายทำให้สะดวกต่อกาเรียนรู้อีกด้วย
                เมื่อเสร็จจากการรับชมผลิตภัณฑ์พื้นบ้านแล้วเราก็แง้นกันไปต่อที่ “สกายวอล์คเชียงคาน” จุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สมารถชมวิวได้เกือบ 360 องศา รวมถึงเป็นที่ประดิษฐานของพระใหญ่ภูคกงิ้ว พระเลื่องชื่อของเชียงคาน โดยการขึ้นไปที่นี่เราจะต้องนำรถไปจอดที่ตีนเขาและขึ้นสองแถวต่อขึ้นไปที่สกายวอร์คโดยค่ารถจะตกคนละ 60 บาท 
                หลังจากลงมาเราก็ซิ่งกลับไปที่ถนนคนเดินเชียงคานโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อไปตามหา “ป้าก้อยแห่งเชียงคาน” ที่เป็นต้นตำหรับของการนวดโดยใช้เท้า โชคดีของเราเมื่อมาถึงร้านมีคิวว่างพอดีและโชคดีขั้นกว่าคือเราได้ป้าก้อยในตำนานนั้นมานวดให้เราเอง ซึ่งพวกเราได้มีการพูดคุยกับป้าเกี่ยวกับเรื่องราวของกิจการและความเป็นมาเป็นไปของเชียงคานมากมายเพราะป้าก้อยอยู่มาตั้งแต่สมัยที่เชียงคานยังไม่ได้เป็นเมืองท่องเที่ยวเหมือนปัจจุบัน ระหว่างเม้ามอยและซุบซิบแซ่บๆกับเซเลปเชียงคาน 2 คนใน 4 คนของชาวมือใหม่ก็ต้องฟังเรื่องราวเหล่านี้พร้อมกับต่อสู้อำนาจฝ่าเท้าของพี่นวดและป้าก้อยไปด้วย ด้วยความกรุณาและเอ็นดูของป้า(บางทีก็ไม่ต้องเอ็นดูหนูมมากก็ได้แม่T_T) ป้าก็ได้จัดท่าในตำนานให้ดูหลายท่าทั้งเหยียบเรือสองแคม ผลักเรือออกฝั่งและอีกมากมายชุดใหญ่ทำให้ 1 ใน 2 คนที่ขอไปลองของนั้นแทบนอนจมกองน้ำตา แต่เมื่อผ่านมรสุมท่าในตำนวนเหล่านั้นไป ความคลายและสบายตัวก็เริ่มเข้ามา เอ้ะหรือบางทีการใช้เท้านวดมันก็ไม่แย่นะ
                  17.30 น. ในวันเดียวกันเราก็ออกจากที่พักเพื่อไปหาของกินที่ถนนคนเดินเชียงคาน วันนี้มีฝนปรอยๆทำให้บรรยากาศความเป็นเชียงคานดีขึ้นหลายเท่าเหมือนที่ใครๆเขาบอกว่าหน้าฝนต้องไปเชียงคาน 
อาหารมีให้กินหลากหลายมากทั้งอาหารพื้นเมือง สตรีทฟู้ด อาหารตามสั่ง ที่พลาดไม่ได้คือกุ้งเสียบไม้ หอยเสียบไม้ ของเด็ดเมืองเชียงคาน หลังจากกินอิ่มอร่อยกันถ้วนหน้าเราก็เดินทางกลับที่พักไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเที่ยววันถัดไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่