สวัสดีครับ ทุกๆท่าน นี่คือเรื่องที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน แม้แต่ลูกสาว หรือ อดีตภรรยาที่แยกทางกันไปหลายปีแล้ว เรียกได้ว่า เ)็นความลับที่จะสลายไปจากโลกนี้พร้อมกับสังขารร่างที่จะจากไป เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ แต่ ส่วนหนึ่งของความรับรู้คือ นี่เป็นความผิดพลาดของชีวิตที่กำเนิดมาและได้ก่อไว้กับใครหลายคน จนสุดท้าย ทุกวันนี้ ก็ไม่มีใครสักคนที่เรียกได้ว่าเป็น"คนรัก" เลย หรือนี่คือกรรม หรือนี่คือคำสาปที่ต้องได้รับ
หากคุณอยากค้นหาเรื่องราวที่เปลี่ยนผ่าน กับยุคสมัยของบริบทโลกยุค 90s นี่คือ บันทึกวีรกรรม ของเด็กชาย ที่เติบโตมาจนหนุ่ม จนหัวหงอกในตอนนี้
และความรัก ความสัมพันธ์ในแต่ละครั้ง ของหญิงสาวกว่า 40 ชีวิตที่ผ่านเข้ามา
อาจมีหนึ่งคนที่คุณรู้จัก อยู่ในเรื่องราวนี้ก็เป็นได้
รักแรกในวัยกระเตาะ กับความทรงจำเลือนลาง ช่วงอนุบาล 3 ที่แอบชอบสาวน้อยแก้มยุ้ยตาใสแป๋วเพื่อนร่วมชั้นเรียน ที่ได้เต้นระบำออกรายการทีวียอดนิยมของโรงเรียนอนุบาลด้วยกันบ่อยๆ ไปอัดรายการทีไร ไม่ว่าจะผึ้งน้อย หรืออื่นๆก็ได้เต้นคู่กัน และในวันที่จะเรียนจบอนุบาล แยกย้ายกันไปที่อื่น สิ่งสุดท้ายที่ฝากไว้คือ แอบหอมแก้มสาวน้อยไปหนึ่งฟอด ก่อนจะวิ่งไปหาพ่อและแม่ ปล่อยให้เธอยึนอึ้ง และร้องไห้จ้าเป็นเสียงไล่หลังมา ซึ่งนับจากวันนั้น ก็ไม่มีโอกาสได้พบเจออีกเลย มีเพียงรูปถ่ายเก่าๆที่ยืนคู่กันในสนามเด็กเล่นไว้ดูต่างหน้า เคยพยายามหาตัวเธอ แต่ก็จนใจจะหาครับ
ตัดมาในวัยรุ่น กับหนุ่มมัธยมโรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นโรงเรียนสห และมีกิจกรรมต่างๆในโรงเรียนมากมาย โรงเรียนไม่ได้เน้นวิชาการมากนักจึงสนับสนุนให้มีชมรม มีกิจกรรมให้นักรเียน ซึ่งตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของชมรมดนตรีสากล ที่มีทั้งเครื่องตี สี เป่า วงดนตรีแบบต่างๆ มีรุ่นพี่ รุ่นน้องตั้งแต่ ม.1 ไปจนถึง ม.6 และที่นี่เองที่เป็น"โรงเรียนชีวิต" แห่งแรก
ผมได้"มีแฟน"คนแรก ก็ในกิจกรรมนี้ครับ โดยมีแฟนคนแรกเป็นรุ่นน้อง ม.2 ในชมรม อายุห่างกัน 2 ปี เป็นความรักวัยใส รุ่นพี่ ม.ปลาย กับรุ่นน้อง ม.ต้น ซึ่งก็ผ่านพ้นไปด้วยดี แต่ในวันหนึ่ง เมื่อตอนปิดเทิมที่มาทำกิจกรรมที่โรงเรียน ในตึกเรียนเงียบๆยามบ่าย ณ หนึ่งของอาคารที่ไม่มีคนเดินผ่าน ที่นั่นคือ สถานที่ของ"first kiss" ที่จดจำได้ หลังจากที่เฝ้ารอคอยมานานและจากนั้นอีก 2-3 เดือน ในมุมห้อง ซอกหลืบลับตายามเย็นย่ำค่ำ ก็เป็นสถานที่ ทำให้ผมได้เริ่มสัมผัสถึงความเร้าใจ ตื่นเต้นของสัมผัสจุมพิตนี้ แต่แล้ว ทุกอย่างก็ต้องยุติลง เพราะ เกิดเบื่อความเร้าใจนั้นไปได้ในเวลาไม่นาน อาจเพราะ ไม่มีวี่แววว่าจะได้เดินไปต่อในขั้นต่อไป ตามที่ฮอร์โมน และ สันดาน พยายามจู่โจมมากขึ้นๆ และท้ายที่สุด ก็ตัดสินใจ "เลิกรา" กับสาวน้อยไปในที่สุด สิริรวมเวลาที่คบหา ก็ราวๆปีการศึกษาหนึ่งได้
ที่ตัดสินใจสะบั้นรักใสจากไปจากเธอนั้นก็เพียงเพราะ มีรุ่นน้องอีกหนึ่งคนซึ่งเข้ามาสนิทสนมติดพันกันในช่วงนั้น จากที่คอยโทรหากันทุกวันยามดึก ต้องหลบๆซ่อนๆพ่อของเธอบ้าง แต่ สำหรับรุ่นน้องคนนี้ หลายๆโอกาสที่จะใกล้ชิดมันช่างง่ายกว่า เพราะ เธอ เป็นพี่สาวคนโตของครอบครัวที่มีน้องชายอีกคนหนึ่งเรียนอยู่ต่างจังหวัดกัน เธอจึงใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านคนเดียว โดยมีญาติแท้ๆอยู่บ้านติดกันคอยช่วยดูแล บ่อยครั้งที่สามารถคุยโทรษัพท์กันยันเช้าได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้ปกครองแอบยกหูมาฟังแบบแฟนคนแรก บ่อยครั้งที่สามารถเดินไปขึ้นรถเมล์กลับบ้านด้วยกัน เพราะเธอจะรอผมซ้อมดนตรีเสร็ตและเดินไปขึ้นรถเมล์ป้ายเดียวกัน จนในที่สุดก็ไปส่งบ้านกันเกือบทุกวัน และ แทบจะทันทีที่ผมทำร้ายน้องคนแรก ผมก็ตัดสินใจขอเป็นแฟนกับเธอคนนี้ ในขณะนั้นผมกำลังจะขึ้น ม.5 และเธอกำลังจะขึ้น ม.2 จึงเรียกว่ามีแฟนเป็นรุ่นน้องอายุห่างกันสามปีนั่นเอง
ตลอดเวลาที่คบกัน ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี หนึ่งปีการศึกษาที่แม้จะไม่หวือหวา แต่ก็เรียกได้ว่ากลับบ้าด้ยกันทุกวันแบบนั้น จากเดินจูงมือ นั่งพิงไหล่ ซบอิงกันไปบนรถเมล์ยามฝนโปรย ถือเป็นความทรงจำที่ละมุนฝัน ในอีกด้านหนึ่ง บ่อยครั้งที่ก็ได้เข้าไปนั่งเล่นในบ้านเธอ ในวันที่ไม่มีใครอยู่ และกลายเป็นช่วงเวลาหวานซึ้งตามแบบแบับของวัยรุ่น วัยฮอร์โมน แต่ช้าก่อนครับ ตลอดปีการศึกษานี้ ไม่ได้มีอะไรเกินเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อผมจบ ม.5 ปิดเทอมขึ้นมัธยมศึกษาปีสุดท้าย ชีวิตเริ่มเปลี่ยน เพราะ ผู้ปกครองที่บ้านผมย้ายไปทำงานต่างประเทศ พาเอาน้องชายที่กำลังจะเข้ามัธยมไปเรียนโรงเรียนนานาชาติที่นั่นด้วย และ ผมใช้ชีวิตคนเดียวครับ พล็อตเหมือนจะเ)็นการ์ตูนญี่ปุ่น แต่มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผมเอง โดยทางบ้านจะโทรมาหาบ้างเป็นครั้งคราว ฝากฝังเพื่อนบ้านให้ดูแลยามฉุกเฉิน แต่ผมก็สามารถดำรงชีพได้อย่างไม่ลำบากนัก ปิดเทอมปีนั้นจบลงด้วยการผิดหวังของการสอบ"เอ็นทรานซ์" ที่มีโอกาสได้ลองล่วงหน้าหนึ่งรอบ เพราะวุฒิการศึกษาที่ได้มาจากการสอบเทียบแล้ว ส่วนตัวไม่ได้จริงจังมากหรอกครับกับการสอบหนนี้ แต่ก็พยายามจริงจัง จะได้ไม่ต้องมาเรียนมัธยมอีก ข้ามไปเรียนมหาวิทยาลัยเลย ที่สำคัญ สมัยนั้น ในรุ่นของผม มีคนข้ามชั้นไปเรียนก่อนเป็นจำนวนไม่น้อยเลย เรียกว่า หายกันไปรวมแล้วเป็นห้องๆก็ว่าได้ จึงมีความรู้สึกเฟลบ้างพอให้หง็อยได้
และช่วงปิดเทอมนั้นเอง สาวน้อยมัธยมต้น แฟนที่คบกันมาเกือบปี ก็มาหาที่บ้านเพื่อมานั่งเล่นและหาขนมมานั่งกินด้วยกัน ให้ผมคลายหงอย เพราะผมขี้เกียจไปไหนเลย เอาแต่นอนอยู่บ้านหลายวัน
โอกาสแบบนี้ หลายๆท่านที่มีลูกหลานวัยรุ่นคงกำลังลุ้นกันว่า "อะไรจะเกิดขึ้น" ในบ้านที่ไม่มีผู้ใหญ่ เด็กชายคนหนึ่ง กับเด็กหญิงสาวน้อย ที่ ที่บ้านเธอก็ไม่มีผู้ใหญ่ ขลุกกันตั้งแต่สาย ยันเที่ยง ยันเย็น ไปจนค่ำมืด ก่อนที่ผมจะพาเธอไปส่ง (นั่งรถเมล์ไปส่งแล้วนั่งกลับมาเอง)
ก็ต้องบอกให้ท่านๆผิดหวังนะครับ เพราะในวันนั้น มันยังไม่ได้มีอะไร"ถึงขั้น" ที่อาจจะคิดกันไว้ แต่ก็ต้องบอกว่า จากวันนั้น นี่คือก้าวแรกของความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เพราะแม้จะไม่มีอะไรล่วงล้ำกร้ำกราย เกินจนล้ำล่ึก แต่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้นอนกอดก่ายกับเรือนร่างที่เปล่าเปลือยของอิสตรี อาจต้องจขอบคุณความยับยั้งชั่งใจที่ทั้งสองต่างมีให้กัน ที่ทำให้ไม่ล่วงถลำล้ำไปกว่านั้น
มาถึงมัธยมศึกษาปีสุดท้าย ชีวิตการเรียนของผม เรียกได้ว่า สุดเหวี่ยง เพราะ สมัยนั้นหากจำกันได้ เราไม่ต้องใช้คะแนนเกรดมาช่วยในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และตัวผมเองก็มีผลคะแนนจากการทดสอบครั้งแรก พบว่า จริงๆหากผมจะเลือก"เอ็นท์ติด" ผมสามารถเลือกได้แล้วอย่างไม่ต้องกังวล ผมสามารถเรียนตณะที่ผมต้องการได้ เพียงแต่ต้องไม่เลือกมหาวิทยาลัยมากนัก เอาเป็นว่า ผมไปเรียนต่างจังหวัด ผมก็จะเอ็นท์ติดตั้งแต่ตอนนั้นแหละ และรู้จุดแข็ง จุดอ่อนของตัวเองได้ การเรียนมัธยมปีสุดท้ายจึงเต็มไปด้วย กิจกรรมมากมาย ทั้งดนตรี กีฬา ผมแทบไม่ได้มาโรงเรียนเลยก็ว่าได้ ไปเล่นดนตรีกับเพื่อนต่างโรงเรียน ไปหัด"ทำเพลง" ตามยุคสมัยเพลงอินดี้ที่กำลังมาแรงของช่วงเวลานั้น ตามรอย"พี่ป๊อด" ที่เพิ่งเปรี้ยงปร้างในกระแสวัยรุ่น ผมจะมาเรียนก็ต่อเมื่อ มันเป็นวันที่มีวิชาพละศึกษา หรือ เป็นวันที่มีสอบเก็บคะแนนเท่านั้น แต่ เกือบทุกวัน ผมก็จะมาโรงเรียนเพื่อรอกลับบ้านพร้อมแฟน เรียกได้ว่า บางวันมาเรียนตอนเกือบหกโมงเย็นเลยครับ โผล่มายิ้มๆ ให้เพื่อนงงว่า"มันมาทำไม" ใส่ชุดนักเรียนมาเรียบร้อย เพื่อรอกลับบ้านกับแฟนสาว นั่นแหละครับ
และแล้ว ผมก็จบมัธยมมาได้ด้วยคะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยราด และเข้าทำการสอบเอ็นทรานซ์ของแท้ สิ่งที่เจ๋งกว่านั้นคือ แฟนผม สาวน้อยคนนั้นที่เพิ่งจบมัธยมต้นที่โรงเรียน ก็สอบเอ็นฯพร้อมผมนั่นแหละครับ
ใช่ครับ เธอ สอบเทียบจมมัธยมต้นตั้งแต่ปีแรกที่คบกัน และในระหว่างปีต่อมา เธอก็จบมัธยมปลาย ทำให้เธอสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้พร้อมกัน ซึ่งผมมาเช่าห้องพักอยู่ที่ใกล้ๆกับสนามสอบ พร้อมกับเพื่อนๆอีกหลายคนที่สอบที่เดียวกัน โดยมีแฟนสาวน้อยคนนี้มาร่วมด้วย (นอนคนละห้อง) วาร์ปมาวันประกาศผลนะครับ ที่ริมสนามกีฬาของมหาวิทยาลัยใหญ่กลางกรุง ค่ำคืนของการประกาศ ผม กับแฟน มาดักรอเจ้าหน้าที่ติดผลสอบกันตั้งแต่หัวค่ำ พร้อมไฟฉาย รอแล้ว รอเล่า จนในที่สุด ผลสอบก็มา เราพุ่งไปหาหมายเลขประจำตัวของเรา ไล่ดูผลสอบที่ติดเรียงรายไปตามผนังยาวๆ ซึ่งผมกับแฟน แยกกันส่องหาของตัวเองครับ
"นี่เอ็งนี่หว่า" เพื่อนผมเรียกไปดูกระดาษใกล้ๆที่ผมกำลังไล่หาอยู่ "เฮ้ยยย ข้าก็ติดที่เดียวกันเว้ยย" เพื่อนผมอีกคนตะโกนลั่น ผมและเพื่อนสอบติดที่ๆเลือไว้อันดับหนึ่งได้อย่างที่ต้องการ ในขณะที่กำลังดีใจ แฟนสาวน้อยก็เดินมาใกล้ๆพร้อมกับรอยยิ้ม แสดงความยินดีกับพี่ๆด้วย ก่อนที่จะส่ายหน้าเบาๆเมื่อพวกเราถามว่าแล้วเธอสอบติดมั้ย แต่ก็นั่นแหละครับ ันเหมือนการมาสอบ"ลองสนาม" เธอเองก็ไม่ได้เฟลมากนัก พวกเราก็หลงอยู่ในอารมณ์ลิงดลด เฮฮา เตรียมปาร์ตี้แลองยกใหญ่ ชนิด งานนี้ต้องมีเปิดเหล้า เมาให้หมดขวด (5 คนหนึ่งขวดหมดก็คิดว่าแมนมากแล้วสำหรับวัยนั้น)
ความสัมพันธ์ของผมกับเธอจึงเปลี่ยนเป็น หนุ่มปี 1 กับสาวมัธยมปลาย ไปในเวลาไม่นาน
ซึ่งก็ต้องบอกว่านี่คืออีก step ของการเติบโต แทนที่จะได้มีโอกาสกลับบ้านด้วยกันทุกวัน เธอต้องนั่งรถเมล์มาหาที่คณะผมเพื่อรอกลับบ้าน บางทีก็ต้องไปนั่งรอที่บ้านผมเพราะผมให้กุญแจเธอไปนั่งได้ นัดพบกันตอนเย็น เธอก็ไปนั่งทำการบ้าน ไปเก็บห้องนอน ทำงานบ้านให้ผม บางครั้งผมก็ต้องรีบโดดรับน้องเพื่อไปรอเธอเลิกเรียน แล้วไปดูหนังด้วยกัน
แต่อิสระที่มากับวัยอุดมศึกษา ด้วยเวลาเรียนที่ยืดหยุ่น ทำให้เกิดโอกาสใหม่ของการนัเจอกันครับ ในเื่อเธอมีเวลาว่างหนึ่งวันธรรมดาช่วงบ่าย เพราะผู้ชายไปเรียน รด กันหมด และ บังเอิญว่าวันนั้น ก็เป็นวิชาเรียนรวมที่ไม่ได้สำคัญนัก เพื่อนๆลองนึกดูสิครับว่า ผลจะเป็นยังไง ใช่ครับ จากที่ไปเรียนแล้วออกมาเร็ว ไปเรียนแล้วชิ่งก่อนหมดคาบ สุดท้าย ผมก็โดดเรียนยามบ่ายรีบไปรับแฟน กลับบ้านมาซะเลย เพราะในตอนนี้ ความสัมพันธ์ทางกาย มันไปไกลกว่าเก่ามากแล้วครับ เรีรยกได้ว่า ต่างก็เปิดเข้าสู่โลกของ ความสัมพันธ์ทางเพศกันอย่างเต็มตัว บรรยากาศของบ้านเงียบๆยามบ่าย นั่งเล่น นอนเล่นคุยกันไปมา รู้ตัวอีกทีหนึ่งเมื่อตืนมาจากการงีบหลังกิจกรรมผู้ใหญ่ พร้อมกับเพลง "เปาบุ้นจิ้น" รอบเย็น เป็นคงวามทรงจำเลือนลางของผม ก่อนจะพากันไปอาบน้ำ แต่งตัวและไปส่งเธอที่บ้าน แบบนี้ทุกสัปดาห์
วันเวลาผ่านไปอย่างยืดยาด ชีวิตเฟรชชี่ปีหนึ่งที่ตื่นตาตื่นใจ เริ่มดึงดูดให้ผมห่างจากเธอทีละนิดๆ สิ่งแปลกใหม่ที่ได้สัมผัสรักร้อนชุ่มฉ่ำ ก็จืดจางลงในไม่นาน มันกลายเป็น"ความซ้ำาก" ไปอย่างรวดเร็ว ใช่ครับ เพียงไม่กี่เดือนจากนั้น ผมก็เริ่มห่างจากเธอ ด้วยเหตุผลว่า ผมติดกิจกรรมต่างๆ อยู่กับเพื่อน ไปเตร็ดเตร่ยามค่ำกับเพื่อนแบบชายหนุ่ม กินเหล้ามาเรื้อนกันไปตามความคะนองวัย ปล่อยให้แฟนสาววัยรุ่น ต้องคอยเพจมาบอกว่ากำลังจะนอนแล้ว นับคืนแล้ว คืนเล่า เผลอแป๊บเดียว ผมก็จะจบปีหนึ่งครับ ในขณะที่แฟนก็จะจบ ม.4 แล้ว และเธอก็กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอขอเวลาปลีกวิเวกสักเืดอนหนึ่งเพื่อจริงจังกับการสอบ โดยที่จะยังติดต่อกัน เพจหากันตามปกติ แต่เธอจะไม่คุยโทรษัพท์นานๆแล้ว เธอจะอ่านหนังสือในช่วงเดือนสุดท้าย นี่คือการเอาจริงของเธอแล้วครับ เธอไม่ต้องการเรียนอีกปีแล้วอย่างมุ่งมั่น
ในเดือนนั้นเอง ผมนี่เรียกว่า หมาโซ่ขาด แมวออกจากบ้านกันเลยแหละ
และ นี่เองที่ทำให้ผมสนิทกับเพื่อนสาวเฟรชชี่ด้วยกัน สนิทกันจนเรียกว่า เจอกันทุกวัน ไปเดินเล่นกันทุกวัน มีกิจกรรมมหาลัย ก็ชวนกันไปทำทุกวัน
ผมลืมไปเลยว่ามีแฟนแล้ว และแฟนกำลังสอบเข้ามหาลัย จนกระทั่งวันหนึ่งเธอเพจมาบอกว่า เธอสอบติดแล้วนะ ใช่ครับ จากเดือนนั้น ที่ห่างหายไป จนสอบเสร็จรอฟังผล เธอกลับไปต่างจังหวัด อยู่กับที่บ้านในช่วงปิดเทอมเพื่อพักและกลับมากรุงเทพเพื่อฟังผล พร้อมกับข่าวดีว่าเธอสอบติด เป็นมหาลัยในกรุงเทพด้วย แม้จะเป็นคนละที่กันก็ตาม
แต่มันสายไปเสียแล้วครับ
ผมกลับรู้สึกว่า ทำไมเธอไม่ไปเรียนไกลๆนะ จะได้เลิกกันแบบห่างกันไปเอง เพราะตอนนั้นผมเริ่มมีเป้าหมายใใหม่เป็นเฟรชชี่สาวที่กำลังจะขึ้นปีสอง ซึ่งน่าค้นหา น่าตื่นเต้นกว่าเป็นกอง แต่ผมก็ไม่สามารถหาทางออกได
"คนเจ้าชู้ที่รู้สึกผิด" คำสารภาพจากชายวัยใกล้พ้นหลักสี่
หากคุณอยากค้นหาเรื่องราวที่เปลี่ยนผ่าน กับยุคสมัยของบริบทโลกยุค 90s นี่คือ บันทึกวีรกรรม ของเด็กชาย ที่เติบโตมาจนหนุ่ม จนหัวหงอกในตอนนี้
และความรัก ความสัมพันธ์ในแต่ละครั้ง ของหญิงสาวกว่า 40 ชีวิตที่ผ่านเข้ามา
อาจมีหนึ่งคนที่คุณรู้จัก อยู่ในเรื่องราวนี้ก็เป็นได้
รักแรกในวัยกระเตาะ กับความทรงจำเลือนลาง ช่วงอนุบาล 3 ที่แอบชอบสาวน้อยแก้มยุ้ยตาใสแป๋วเพื่อนร่วมชั้นเรียน ที่ได้เต้นระบำออกรายการทีวียอดนิยมของโรงเรียนอนุบาลด้วยกันบ่อยๆ ไปอัดรายการทีไร ไม่ว่าจะผึ้งน้อย หรืออื่นๆก็ได้เต้นคู่กัน และในวันที่จะเรียนจบอนุบาล แยกย้ายกันไปที่อื่น สิ่งสุดท้ายที่ฝากไว้คือ แอบหอมแก้มสาวน้อยไปหนึ่งฟอด ก่อนจะวิ่งไปหาพ่อและแม่ ปล่อยให้เธอยึนอึ้ง และร้องไห้จ้าเป็นเสียงไล่หลังมา ซึ่งนับจากวันนั้น ก็ไม่มีโอกาสได้พบเจออีกเลย มีเพียงรูปถ่ายเก่าๆที่ยืนคู่กันในสนามเด็กเล่นไว้ดูต่างหน้า เคยพยายามหาตัวเธอ แต่ก็จนใจจะหาครับ
ตัดมาในวัยรุ่น กับหนุ่มมัธยมโรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นโรงเรียนสห และมีกิจกรรมต่างๆในโรงเรียนมากมาย โรงเรียนไม่ได้เน้นวิชาการมากนักจึงสนับสนุนให้มีชมรม มีกิจกรรมให้นักรเียน ซึ่งตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของชมรมดนตรีสากล ที่มีทั้งเครื่องตี สี เป่า วงดนตรีแบบต่างๆ มีรุ่นพี่ รุ่นน้องตั้งแต่ ม.1 ไปจนถึง ม.6 และที่นี่เองที่เป็น"โรงเรียนชีวิต" แห่งแรก
ผมได้"มีแฟน"คนแรก ก็ในกิจกรรมนี้ครับ โดยมีแฟนคนแรกเป็นรุ่นน้อง ม.2 ในชมรม อายุห่างกัน 2 ปี เป็นความรักวัยใส รุ่นพี่ ม.ปลาย กับรุ่นน้อง ม.ต้น ซึ่งก็ผ่านพ้นไปด้วยดี แต่ในวันหนึ่ง เมื่อตอนปิดเทิมที่มาทำกิจกรรมที่โรงเรียน ในตึกเรียนเงียบๆยามบ่าย ณ หนึ่งของอาคารที่ไม่มีคนเดินผ่าน ที่นั่นคือ สถานที่ของ"first kiss" ที่จดจำได้ หลังจากที่เฝ้ารอคอยมานานและจากนั้นอีก 2-3 เดือน ในมุมห้อง ซอกหลืบลับตายามเย็นย่ำค่ำ ก็เป็นสถานที่ ทำให้ผมได้เริ่มสัมผัสถึงความเร้าใจ ตื่นเต้นของสัมผัสจุมพิตนี้ แต่แล้ว ทุกอย่างก็ต้องยุติลง เพราะ เกิดเบื่อความเร้าใจนั้นไปได้ในเวลาไม่นาน อาจเพราะ ไม่มีวี่แววว่าจะได้เดินไปต่อในขั้นต่อไป ตามที่ฮอร์โมน และ สันดาน พยายามจู่โจมมากขึ้นๆ และท้ายที่สุด ก็ตัดสินใจ "เลิกรา" กับสาวน้อยไปในที่สุด สิริรวมเวลาที่คบหา ก็ราวๆปีการศึกษาหนึ่งได้
ที่ตัดสินใจสะบั้นรักใสจากไปจากเธอนั้นก็เพียงเพราะ มีรุ่นน้องอีกหนึ่งคนซึ่งเข้ามาสนิทสนมติดพันกันในช่วงนั้น จากที่คอยโทรหากันทุกวันยามดึก ต้องหลบๆซ่อนๆพ่อของเธอบ้าง แต่ สำหรับรุ่นน้องคนนี้ หลายๆโอกาสที่จะใกล้ชิดมันช่างง่ายกว่า เพราะ เธอ เป็นพี่สาวคนโตของครอบครัวที่มีน้องชายอีกคนหนึ่งเรียนอยู่ต่างจังหวัดกัน เธอจึงใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านคนเดียว โดยมีญาติแท้ๆอยู่บ้านติดกันคอยช่วยดูแล บ่อยครั้งที่สามารถคุยโทรษัพท์กันยันเช้าได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้ปกครองแอบยกหูมาฟังแบบแฟนคนแรก บ่อยครั้งที่สามารถเดินไปขึ้นรถเมล์กลับบ้านด้วยกัน เพราะเธอจะรอผมซ้อมดนตรีเสร็ตและเดินไปขึ้นรถเมล์ป้ายเดียวกัน จนในที่สุดก็ไปส่งบ้านกันเกือบทุกวัน และ แทบจะทันทีที่ผมทำร้ายน้องคนแรก ผมก็ตัดสินใจขอเป็นแฟนกับเธอคนนี้ ในขณะนั้นผมกำลังจะขึ้น ม.5 และเธอกำลังจะขึ้น ม.2 จึงเรียกว่ามีแฟนเป็นรุ่นน้องอายุห่างกันสามปีนั่นเอง
ตลอดเวลาที่คบกัน ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี หนึ่งปีการศึกษาที่แม้จะไม่หวือหวา แต่ก็เรียกได้ว่ากลับบ้าด้ยกันทุกวันแบบนั้น จากเดินจูงมือ นั่งพิงไหล่ ซบอิงกันไปบนรถเมล์ยามฝนโปรย ถือเป็นความทรงจำที่ละมุนฝัน ในอีกด้านหนึ่ง บ่อยครั้งที่ก็ได้เข้าไปนั่งเล่นในบ้านเธอ ในวันที่ไม่มีใครอยู่ และกลายเป็นช่วงเวลาหวานซึ้งตามแบบแบับของวัยรุ่น วัยฮอร์โมน แต่ช้าก่อนครับ ตลอดปีการศึกษานี้ ไม่ได้มีอะไรเกินเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อผมจบ ม.5 ปิดเทอมขึ้นมัธยมศึกษาปีสุดท้าย ชีวิตเริ่มเปลี่ยน เพราะ ผู้ปกครองที่บ้านผมย้ายไปทำงานต่างประเทศ พาเอาน้องชายที่กำลังจะเข้ามัธยมไปเรียนโรงเรียนนานาชาติที่นั่นด้วย และ ผมใช้ชีวิตคนเดียวครับ พล็อตเหมือนจะเ)็นการ์ตูนญี่ปุ่น แต่มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผมเอง โดยทางบ้านจะโทรมาหาบ้างเป็นครั้งคราว ฝากฝังเพื่อนบ้านให้ดูแลยามฉุกเฉิน แต่ผมก็สามารถดำรงชีพได้อย่างไม่ลำบากนัก ปิดเทอมปีนั้นจบลงด้วยการผิดหวังของการสอบ"เอ็นทรานซ์" ที่มีโอกาสได้ลองล่วงหน้าหนึ่งรอบ เพราะวุฒิการศึกษาที่ได้มาจากการสอบเทียบแล้ว ส่วนตัวไม่ได้จริงจังมากหรอกครับกับการสอบหนนี้ แต่ก็พยายามจริงจัง จะได้ไม่ต้องมาเรียนมัธยมอีก ข้ามไปเรียนมหาวิทยาลัยเลย ที่สำคัญ สมัยนั้น ในรุ่นของผม มีคนข้ามชั้นไปเรียนก่อนเป็นจำนวนไม่น้อยเลย เรียกว่า หายกันไปรวมแล้วเป็นห้องๆก็ว่าได้ จึงมีความรู้สึกเฟลบ้างพอให้หง็อยได้
และช่วงปิดเทอมนั้นเอง สาวน้อยมัธยมต้น แฟนที่คบกันมาเกือบปี ก็มาหาที่บ้านเพื่อมานั่งเล่นและหาขนมมานั่งกินด้วยกัน ให้ผมคลายหงอย เพราะผมขี้เกียจไปไหนเลย เอาแต่นอนอยู่บ้านหลายวัน
โอกาสแบบนี้ หลายๆท่านที่มีลูกหลานวัยรุ่นคงกำลังลุ้นกันว่า "อะไรจะเกิดขึ้น" ในบ้านที่ไม่มีผู้ใหญ่ เด็กชายคนหนึ่ง กับเด็กหญิงสาวน้อย ที่ ที่บ้านเธอก็ไม่มีผู้ใหญ่ ขลุกกันตั้งแต่สาย ยันเที่ยง ยันเย็น ไปจนค่ำมืด ก่อนที่ผมจะพาเธอไปส่ง (นั่งรถเมล์ไปส่งแล้วนั่งกลับมาเอง)
ก็ต้องบอกให้ท่านๆผิดหวังนะครับ เพราะในวันนั้น มันยังไม่ได้มีอะไร"ถึงขั้น" ที่อาจจะคิดกันไว้ แต่ก็ต้องบอกว่า จากวันนั้น นี่คือก้าวแรกของความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เพราะแม้จะไม่มีอะไรล่วงล้ำกร้ำกราย เกินจนล้ำล่ึก แต่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้นอนกอดก่ายกับเรือนร่างที่เปล่าเปลือยของอิสตรี อาจต้องจขอบคุณความยับยั้งชั่งใจที่ทั้งสองต่างมีให้กัน ที่ทำให้ไม่ล่วงถลำล้ำไปกว่านั้น
มาถึงมัธยมศึกษาปีสุดท้าย ชีวิตการเรียนของผม เรียกได้ว่า สุดเหวี่ยง เพราะ สมัยนั้นหากจำกันได้ เราไม่ต้องใช้คะแนนเกรดมาช่วยในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และตัวผมเองก็มีผลคะแนนจากการทดสอบครั้งแรก พบว่า จริงๆหากผมจะเลือก"เอ็นท์ติด" ผมสามารถเลือกได้แล้วอย่างไม่ต้องกังวล ผมสามารถเรียนตณะที่ผมต้องการได้ เพียงแต่ต้องไม่เลือกมหาวิทยาลัยมากนัก เอาเป็นว่า ผมไปเรียนต่างจังหวัด ผมก็จะเอ็นท์ติดตั้งแต่ตอนนั้นแหละ และรู้จุดแข็ง จุดอ่อนของตัวเองได้ การเรียนมัธยมปีสุดท้ายจึงเต็มไปด้วย กิจกรรมมากมาย ทั้งดนตรี กีฬา ผมแทบไม่ได้มาโรงเรียนเลยก็ว่าได้ ไปเล่นดนตรีกับเพื่อนต่างโรงเรียน ไปหัด"ทำเพลง" ตามยุคสมัยเพลงอินดี้ที่กำลังมาแรงของช่วงเวลานั้น ตามรอย"พี่ป๊อด" ที่เพิ่งเปรี้ยงปร้างในกระแสวัยรุ่น ผมจะมาเรียนก็ต่อเมื่อ มันเป็นวันที่มีวิชาพละศึกษา หรือ เป็นวันที่มีสอบเก็บคะแนนเท่านั้น แต่ เกือบทุกวัน ผมก็จะมาโรงเรียนเพื่อรอกลับบ้านพร้อมแฟน เรียกได้ว่า บางวันมาเรียนตอนเกือบหกโมงเย็นเลยครับ โผล่มายิ้มๆ ให้เพื่อนงงว่า"มันมาทำไม" ใส่ชุดนักเรียนมาเรียบร้อย เพื่อรอกลับบ้านกับแฟนสาว นั่นแหละครับ
และแล้ว ผมก็จบมัธยมมาได้ด้วยคะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยราด และเข้าทำการสอบเอ็นทรานซ์ของแท้ สิ่งที่เจ๋งกว่านั้นคือ แฟนผม สาวน้อยคนนั้นที่เพิ่งจบมัธยมต้นที่โรงเรียน ก็สอบเอ็นฯพร้อมผมนั่นแหละครับ
ใช่ครับ เธอ สอบเทียบจมมัธยมต้นตั้งแต่ปีแรกที่คบกัน และในระหว่างปีต่อมา เธอก็จบมัธยมปลาย ทำให้เธอสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้พร้อมกัน ซึ่งผมมาเช่าห้องพักอยู่ที่ใกล้ๆกับสนามสอบ พร้อมกับเพื่อนๆอีกหลายคนที่สอบที่เดียวกัน โดยมีแฟนสาวน้อยคนนี้มาร่วมด้วย (นอนคนละห้อง) วาร์ปมาวันประกาศผลนะครับ ที่ริมสนามกีฬาของมหาวิทยาลัยใหญ่กลางกรุง ค่ำคืนของการประกาศ ผม กับแฟน มาดักรอเจ้าหน้าที่ติดผลสอบกันตั้งแต่หัวค่ำ พร้อมไฟฉาย รอแล้ว รอเล่า จนในที่สุด ผลสอบก็มา เราพุ่งไปหาหมายเลขประจำตัวของเรา ไล่ดูผลสอบที่ติดเรียงรายไปตามผนังยาวๆ ซึ่งผมกับแฟน แยกกันส่องหาของตัวเองครับ
"นี่เอ็งนี่หว่า" เพื่อนผมเรียกไปดูกระดาษใกล้ๆที่ผมกำลังไล่หาอยู่ "เฮ้ยยย ข้าก็ติดที่เดียวกันเว้ยย" เพื่อนผมอีกคนตะโกนลั่น ผมและเพื่อนสอบติดที่ๆเลือไว้อันดับหนึ่งได้อย่างที่ต้องการ ในขณะที่กำลังดีใจ แฟนสาวน้อยก็เดินมาใกล้ๆพร้อมกับรอยยิ้ม แสดงความยินดีกับพี่ๆด้วย ก่อนที่จะส่ายหน้าเบาๆเมื่อพวกเราถามว่าแล้วเธอสอบติดมั้ย แต่ก็นั่นแหละครับ ันเหมือนการมาสอบ"ลองสนาม" เธอเองก็ไม่ได้เฟลมากนัก พวกเราก็หลงอยู่ในอารมณ์ลิงดลด เฮฮา เตรียมปาร์ตี้แลองยกใหญ่ ชนิด งานนี้ต้องมีเปิดเหล้า เมาให้หมดขวด (5 คนหนึ่งขวดหมดก็คิดว่าแมนมากแล้วสำหรับวัยนั้น)
ความสัมพันธ์ของผมกับเธอจึงเปลี่ยนเป็น หนุ่มปี 1 กับสาวมัธยมปลาย ไปในเวลาไม่นาน
ซึ่งก็ต้องบอกว่านี่คืออีก step ของการเติบโต แทนที่จะได้มีโอกาสกลับบ้านด้วยกันทุกวัน เธอต้องนั่งรถเมล์มาหาที่คณะผมเพื่อรอกลับบ้าน บางทีก็ต้องไปนั่งรอที่บ้านผมเพราะผมให้กุญแจเธอไปนั่งได้ นัดพบกันตอนเย็น เธอก็ไปนั่งทำการบ้าน ไปเก็บห้องนอน ทำงานบ้านให้ผม บางครั้งผมก็ต้องรีบโดดรับน้องเพื่อไปรอเธอเลิกเรียน แล้วไปดูหนังด้วยกัน
แต่อิสระที่มากับวัยอุดมศึกษา ด้วยเวลาเรียนที่ยืดหยุ่น ทำให้เกิดโอกาสใหม่ของการนัเจอกันครับ ในเื่อเธอมีเวลาว่างหนึ่งวันธรรมดาช่วงบ่าย เพราะผู้ชายไปเรียน รด กันหมด และ บังเอิญว่าวันนั้น ก็เป็นวิชาเรียนรวมที่ไม่ได้สำคัญนัก เพื่อนๆลองนึกดูสิครับว่า ผลจะเป็นยังไง ใช่ครับ จากที่ไปเรียนแล้วออกมาเร็ว ไปเรียนแล้วชิ่งก่อนหมดคาบ สุดท้าย ผมก็โดดเรียนยามบ่ายรีบไปรับแฟน กลับบ้านมาซะเลย เพราะในตอนนี้ ความสัมพันธ์ทางกาย มันไปไกลกว่าเก่ามากแล้วครับ เรีรยกได้ว่า ต่างก็เปิดเข้าสู่โลกของ ความสัมพันธ์ทางเพศกันอย่างเต็มตัว บรรยากาศของบ้านเงียบๆยามบ่าย นั่งเล่น นอนเล่นคุยกันไปมา รู้ตัวอีกทีหนึ่งเมื่อตืนมาจากการงีบหลังกิจกรรมผู้ใหญ่ พร้อมกับเพลง "เปาบุ้นจิ้น" รอบเย็น เป็นคงวามทรงจำเลือนลางของผม ก่อนจะพากันไปอาบน้ำ แต่งตัวและไปส่งเธอที่บ้าน แบบนี้ทุกสัปดาห์
วันเวลาผ่านไปอย่างยืดยาด ชีวิตเฟรชชี่ปีหนึ่งที่ตื่นตาตื่นใจ เริ่มดึงดูดให้ผมห่างจากเธอทีละนิดๆ สิ่งแปลกใหม่ที่ได้สัมผัสรักร้อนชุ่มฉ่ำ ก็จืดจางลงในไม่นาน มันกลายเป็น"ความซ้ำาก" ไปอย่างรวดเร็ว ใช่ครับ เพียงไม่กี่เดือนจากนั้น ผมก็เริ่มห่างจากเธอ ด้วยเหตุผลว่า ผมติดกิจกรรมต่างๆ อยู่กับเพื่อน ไปเตร็ดเตร่ยามค่ำกับเพื่อนแบบชายหนุ่ม กินเหล้ามาเรื้อนกันไปตามความคะนองวัย ปล่อยให้แฟนสาววัยรุ่น ต้องคอยเพจมาบอกว่ากำลังจะนอนแล้ว นับคืนแล้ว คืนเล่า เผลอแป๊บเดียว ผมก็จะจบปีหนึ่งครับ ในขณะที่แฟนก็จะจบ ม.4 แล้ว และเธอก็กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอขอเวลาปลีกวิเวกสักเืดอนหนึ่งเพื่อจริงจังกับการสอบ โดยที่จะยังติดต่อกัน เพจหากันตามปกติ แต่เธอจะไม่คุยโทรษัพท์นานๆแล้ว เธอจะอ่านหนังสือในช่วงเดือนสุดท้าย นี่คือการเอาจริงของเธอแล้วครับ เธอไม่ต้องการเรียนอีกปีแล้วอย่างมุ่งมั่น
ในเดือนนั้นเอง ผมนี่เรียกว่า หมาโซ่ขาด แมวออกจากบ้านกันเลยแหละ
และ นี่เองที่ทำให้ผมสนิทกับเพื่อนสาวเฟรชชี่ด้วยกัน สนิทกันจนเรียกว่า เจอกันทุกวัน ไปเดินเล่นกันทุกวัน มีกิจกรรมมหาลัย ก็ชวนกันไปทำทุกวัน
ผมลืมไปเลยว่ามีแฟนแล้ว และแฟนกำลังสอบเข้ามหาลัย จนกระทั่งวันหนึ่งเธอเพจมาบอกว่า เธอสอบติดแล้วนะ ใช่ครับ จากเดือนนั้น ที่ห่างหายไป จนสอบเสร็จรอฟังผล เธอกลับไปต่างจังหวัด อยู่กับที่บ้านในช่วงปิดเทอมเพื่อพักและกลับมากรุงเทพเพื่อฟังผล พร้อมกับข่าวดีว่าเธอสอบติด เป็นมหาลัยในกรุงเทพด้วย แม้จะเป็นคนละที่กันก็ตาม
แต่มันสายไปเสียแล้วครับ
ผมกลับรู้สึกว่า ทำไมเธอไม่ไปเรียนไกลๆนะ จะได้เลิกกันแบบห่างกันไปเอง เพราะตอนนั้นผมเริ่มมีเป้าหมายใใหม่เป็นเฟรชชี่สาวที่กำลังจะขึ้นปีสอง ซึ่งน่าค้นหา น่าตื่นเต้นกว่าเป็นกอง แต่ผมก็ไม่สามารถหาทางออกได