[แชร์ประสบการณ์] ชีวิตหลังจากผ่านจุดต่ำสุดในชีวิต

สวัสดีครับ ตอนนี้ผมอายุ23ปี สาเหตุที่อยากมาเล่าเพราะอยากเป็นกำลังใจให้กับคนที่ตอนนี้กำลังรู้สึกว่าชีวิตกำลังแย่ สุดท้ายเราจะผ่านมันมาได้ 

  ตั้งแต่จำความได้ ผมเกิดมาในครอบครัวฐานะยากจน(อยู่บ้านเช่า ไม่มีรถ ไม่มีทรัพย์สินอื่นๆ)ที่ชอบทำบุญมากๆ ครอบครัวผมมองว่าการทำบุญเป็นการออมเงิน และไม่ค่อยเก็บเงิน ตอนพ่ออายุประมาณ52ปี(ปี2556) ผมจำได้ว่าตอนนั้นบ้านเรามีเงินเก็บทั้งหมดประมาณ200k พ่อเอาไปซื้อทองแบบleverageกับโรงรับจำนำ สุดท้ายหมดตัวเพราะราคาทองลงแรง แต่โชคดีที่บ้านเราไม่มีหนี้สินเลย หลังจากนั้นพ่อก็เปลี่ยนไป เหมือนหมดPassionกับการใช้ชีวิต พ่อจะชอบพูดตลอดว่า "ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆดีกว่า ทำบุญไว้เยอะ เดี๋ยวชาติหน้าก็สบายแล้ว" พ่อมีความเชื่อว่าเดี๋ยวก็เกิดภัยพิบัติล้างโลกแล้ว ตายกันหมด ลูกจะเรียนอะไรก็เรียนเถอะ เพราะสุดท้ายคงเรียนไม่จบ เพราะเกิดภัยพิบัติก็ตายกันหมด เป้าหมายในการเก็บเงินของพ่อหลังจากนี้ก็ไม่มีแล้ว 
  11/59 แม่ผมตรวจเจอโรคมะเร็ง แต่ไม่มีปัญหาเพราะรักษาตามสิทธิประกันสังคมได้ แม่ผ่าตัดเสร็จ3เดือน กินยาก็กลับมาทำงานได้เหมือนเดิม ส่วนพ่อได้เงินจากประกันสังคมเกือบ200k ผมอยู่ม.6 กำลังจะเข้ามหาลัย ผมจำได้ว่าตอนนั้นพ่อเอาเงินเกือบทั้งหมดไปลงทุนกับพวกแชร์ลูกโซ่ หลังจากนั้นโดนโกงทั้งหมด ครอบครัวเราก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม 
   ปี2562 ผมเข้ามหาลัยปีหนึ่ง
   ปี2563 ผมตัดสินใจซิ่วไปสอบหมอ ปีนั้นผมสอบไม่ติด ระหว่างนั้นแม่ได้เงินประกันสังคมเกือบ200k แม่เอาเงินไปใช้หนี้แชร์ลูกโซ่ที่แม่เคยโดนโกง(คนละตัวกับพ่อ) +เอาไปซื้อรถมอไซค์ +เก็บไว้ใช้จ่าย เหลือเป็นเงินเก็บประมาณ100k 
    ด้วยความที่ครอบครัวเราโดนโกงกับแชร์ลูกโซ่มาหลายตัว ผมเลยกลัวว่าเดี๋ยวแม่จะโดนหลอกเหมือนพ่อ เพราะญาติทำแชร์ลูกโซ่อยู่ ผมเลยตัดสินใจขอเงินเก็บแม่ไปซื้อหุ้น เพราะช่วงนั้นเกิดโควิดพอดี ผมคิดว่าหุ้นมันถูกแล้วเลยไปซื้อหุ้นปันผลสูง ผมลงทุนช่วงSETอยู่1500 แต่ผิดคาดราคามันถูกลงเรื่อยๆ หลังจากนั้นเจอCircuit Breaker2วันติด ผมคัททิ้งจนเหลือเงิน10k+กับปันผล20kไปคืนแม่ ความรู้สึกตอนนั้นคือมันไม่ใช่แค่หมดตัว แต่ผมมีหนี้80kในวัย19ปี หลังจากนั้นผมกลับไปเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย 
    20/5/63 โรคมะเร็งของแม่เริ่มดื้อยา หมอสั่งprogressive disease แม่เปลี่ยนไปใช้ธรรมชาติบำบัด100% และในเดือนกันยายน อาการแม่เริ่มหนักขึ้นจนทำงานไม่ได้ สุดท้ายต้องลาออก และช่วงนั้นผมไปเรียนพิเศษ ไปพักอยู่กับลุง สภาพตอนที่กลับมาเห็นแม่คือใจเราไม่อยู่กับตัวแล้ว แม่ซูบลงเยอะมาก ตัวเหลือง อ่อนเพลีย ผมกลัวจะเสียแม่ไป ตอนนั้นผมจึงตัดสินใจเลิกเตรียมตัวสอบ เปลี่ยนไปหาวิธีช่วยแม่แทน ผมใช้เวลาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่แม่เป็นรวมถึงกระบวนการรักษา และวางแผนขั้นตอนการรับความช่วยเหลือเกือบ3เดือน ตอนนั้นสำหรับผม ช่วงเวลานี้คือจุดต่ำสุดในชีวิตผมเลย 
    พึ่งสร้างหนี้เสร็จ กำลังเตรียมตัวสอบ แม่ดันมาป่วยอีก จำได้ว่าตอนนั้นร้องไห้เกือบทุกวัน เพราะไม่มีใครช่วยแม่เลย เงินค่ารักษาก็ไม่มี หมอก็ไม่รักษาต่อ
พ่อกับพี่ก็ทำใจละ คิดว่าแม่คงไม่รอด มีแต่ผมที่ดื้อคิดว่าแม่ต้องรอด เลยไปค้นข้อมูลการรักษาของแม่ทั้งหมดมาอ่าน ก็ไปเจอว่ามันยังมีวิธีรักษาแบบsecondaryได้ เพราะแม่พึ่งรักษาแค่primary lineเอง สรุปปัญหาของแม่ตอนนั้นคือมีทางรักษา แต่ไม่มีเงิน ผมเลยพยายามหามูลนิธิ/กองทุนต่างๆที่น่าจะช่วยเราได้ สุดท้ายผมนึกถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมเขียนฎีกาขอเป็นคนไข้ในพระอนุเคราะห์ให้แม่ส่งไปอาทิตย์ละ1ฉบับ ผมส่งไป4ฉบับ สุดท้ายมีการติดต่อกลับมา แต่ยังไม่ยืนยันว่าจะได้เป็นคนไข้ในพระอนุเคราะห์ ระหว่างนั้นอาการแม่แย่ลงเรื่อยๆ ก้อนเนื้อเริ่มใหญ่ออกมาจนเห็นได้ชัด ท้องก็บวม เริ่มกินข้าวไม่ได้ กินนมก็อ้วกออกมา ผมต้องเอานมไปทำเป็นน้ำแข็ง ให้แม่อมทีละก้อน 
     ผมคิดว่าถ้ารอผลการพิจารณาจากกองงานเสร็จ แม่น่าจะไม่ไหวแน่ ผมเลยศึกษาวิธีการรักษาแบบอื่นอีก จนกระทั่งไปเจอการฉายแสงแบบประคับประคอง ผมคิดว่าอย่างน้อยวิธีนี้ก็น่าจะยื้อเวลารอผลพิจารณาได้ ให้แม่กลับมากินข้าวได้ก็ยังดี ผมเข้าไปคุยกับคุณหมอรพ.เอกชนแห่งหนึ่งที่ชลบุรี คุณหมอบอกแม่เป็นหนัก มีโอกาสรักษาดีขึ้น30% และคุณหมอแนะนำว่าใช้สิทธิ30บาทได้ ผมจึงเริ่มหาทางขอใบส่งตัวข้ามเขตสุขภาพ มารพ.เอกชนขนาดเล็กแห่งนี้  ซึ่งมันยากสำหรับเด็กอายุ19แบบผมมาก รพ.ต้นสังกัดที่แม่ผมรักษาเป็นรพ.ศูนย์ขนาดใหญ่จะให้ส่งมารพ.เล็กแถมเป็นเอกชนในตอนนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะต้นสังกัดต้องมาตามจ่ายเงิน ค่ารักษาเอกชนเรทก็สูงกว่า แถมตอนนั้นผมพึ่งขอส่งตัวแม่ไปรพ.ศิริราชไม่ถึง1เดือน จะขออีกคนเซ็นรับรองสิทธิ์อาจจะเดือดร้อน แต่โชคดีที่เจ้าหน้าที่เซ็นคือชุดที่ลงมาเก็บข้อมูลตอนที่ยื่นฎีกา ผมบอกเขาว่าถ้าไม่ส่งตัวข้ามเขต ผมก็ย้ายสิทธิ์ไปเขตชลบุรีอยู่ดี เขาเลยเห็นใจผม ปรึกษาเป็นกรณีพิเศษกับสปสช. และเซ็นส่งตัวให้ หลังจากแม่ผมฉายเเสงไปแค่5แสง ประมาณ1อาทิตย์ (12/63)ฉายเสร็จสิ้นปีพอดี แม่ผมเดินออกมากินก๋วยเตี๋ยวหน้ารพ.ได้2ชามเหมือนคนปกติเลย ความรู้สึกตอนนั้นคือใจมันฟูมาก ไม่ได้เห็นแม่กินข้าวได้มาหลายเดือนแล้ว รู้สึกว่าเรามาถูกทางแล้ว มันเป็นของขวัญปีใหม่ที่ดีที่สุดสำหรับผมในปีนั้นเลย
      03/64 แม่ได้รับการตอบรับเป็นคนไข้ในพระอนุเคราะห์ และกลับไปรักษาแบบSecondary Line สุดท้ายแม่ผมก็กลับมาใช้ชีวิตได้เกือบปกติ ไม่ต้องเจาะหน้าท้องให้อาหารทางสายยาง ผมอาจจะเสียแม่ไปแล้ว ถ้าในวันนั้นผมเลือกที่จะยอมแพ้ และผมได้บทเรียนจากการไม่มีเงิน หากผมมีเงินมากพอ ปัญหาเรื่องนี้คงเป็นเรื่องเล็กน้อย หลังจากนี้ผมเลยคิดจะหาเงินช่วยที่บ้าน เพราะแม่ทำงานไม่ไหวแล้ว เงินเก็บที่บ้านก็หมด
ช่วงปลายปี64-66 ผมตัดสินใจทำงาน แล้วกลับมาตลาดหุ้นอีกครั้ง และใช้หนี้แม่80k +มีเงินเก็บอีกก้อน150k 
       ปี66 ผมตั้งใจจะสอบเข้ามหาลัยอีกครั้งในวัย23ปี สุดท้ายนี้ผมอยากเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเจอเรื่องแย่ๆอยู่นะครับ ผมเชื่อว่าทุกคนจะผ่านมันไปได้เหมือนที่ผมผ่านจุดต่ำสุดในชีวิตครั้งนี้มาแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่