JJNY : ฮามาสเล็งปล่อยตัวประกัน 70คน│อินโดฯ ร้องสหรัฐ “จริงจังกว่านี้”│นายกฯ รับเมืองกรุงมีส่วย│จ่อไฟเขียวขึ้นราคาน้ำตาล

ฮามาสเล็งปล่อยตัวประกัน 70 คน อิสราเอลชี้ ตัวประกันถูกซ่อนไว้ใต้โรงพยาบาล
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/210258
 
 
ฮามาสเผย บอกอิสราเอลผ่านกาตาร์ไปแล้วว่า พร้อมปล่อยตัวประกัน 70 คน ขอเพียงหยุดยิง 5 วัน ด้านอิสราเอลชี้ ตัวประกันถูกซ่อนไว้ใต้โรงพยาบาล
 
เมื่อวาน (13 พ.ย.) กองกำลังอัล-กอสซัม ฝ่ายติดอาวุธของฮามาส เปิดเผยว่า ได้บอกกับกาตาร์ที่เป็นคนกลางในการเจรจาปล่อยตัวประกันว่า พวกเขาพร้อมที่จะปล่อยตัวประกันที่เป็นผู้หญิงและเด็กมากถึง 70 คนที่ถูกควบคุมตัวในฉนวนกาซา เพื่อแลกกับการที่อิสราเอลต้องหยุดยิง 5 วัน
 
อาบู อูไบดา โฆษกกองกำลังอัล-กอสซัม บอกว่า “สัปดาห์ที่แล้ว มีความพยายามจากพี่น้องชาวกาตาร์ในการปล่อยตัวประกันที่เป็นผู้หญิงและเด็ก เพื่อเป็นการตอบแทนสำหรับการปล่อยตัวเด็กชาวปาเลสไตน์ 200 คน และผู้หญิง 75 คนที่ศัตรูควบคุมตัวไว้

เขาเสริมว่า “การหยุดยิงควรรวมถึงการหยุดยิงโดยสมบูรณ์ และอนุญาตให้มีการให้ความช่วยเหลือและการบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรมทุกที่ในฉนวนกาซา” และยังกล่าวหาอิสราเอลว่า “ผัดวันประกันพรุ่งและเมินเฉยต่อข้อเสนอของกลุ่ม”
 
ช่วงเย็นวานนี้ ยังมีคลิปวิดีโอหนึ่งปรากฏบนช่องโซเชียลมีเดียของกองกำลังอัล-กอสซัม โดยเป็นคลิปความยาวไม่ถึง 1 นาทีของหญิงชาวอิสราเอลที่ถูกจับเป็นตัวประกันในฉนวนกาซา แต่ถูกสังหารจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล
 
โดยช่วงแรกของวิดีโอแสดงให้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งพูดหน้ากล้องเพื่ออ่านข้อความสั้น ๆ เธอให้รายละเอียดเกี่ยวกับพ่อแม่ บ้านเกิด และบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งบอกว่าเธอมีอายุ 19 ปี
 
หลังจากคำพูดดังกล่าว วิดีโอก็แสดงให้เห็นภาพของสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นศพของผู้หญิงรายนี้ ตามมาด้วยวิดีโอที่อ้างว่าเป็นการเสียชีวิตของเธอเกิดจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน
 
กองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ออกมาชี้แจงโดยกล่าวว่า ครอบครัวของผู้หญิงคนดังกล่าวทราบถึงการมีอยู่ของวิดีโอนี้แล้ว ซึ่งตัวแทนกองทัพได้ไปเยี่ยมบ้านของครอบครัวเพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับวิดีโอ

“กลุ่มฮามาสยังคงใช้ความหวาดกลัวทางจิตใจและกระทำการที่ไร้มนุษยธรรมผ่านวิดีโอและภาพถ่ายของตัวประกัน เหมือนเช่นที่เคยทำในอดีต” ถ้อยแถลงของ IDF ระบุ
 
IDF ยังยืนยันตัวตนของผู้หญิงคนดังกล่าวว่าเป็นหนึ่งในทหารอิสราเอลที่ถูกจับไป โดยบอกว่า “เราขอส่งกำลังใจให้กับครอบครัวมาร์เซียโน ซึ่งลูกสาวของพวกเขา ‘โนอา’ ถูกลักพาตัวอย่างโหดร้ายโดยองค์กรก่อการร้ายฮามาส เราจะใช้ทุกวิถีทาง ทั้งด้านข่าวกรองและปฏิบัติการ เพื่อนำตัวประกันกลับบ้าน

นี่เป็นครั้งแรกที่กองทัพอิสราเอลยืนยันตัวตนของตัวประกันอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่นักรบของกลุ่มฮามาสลักพาตัวผู้คนประมาณ 240 คนไปยังฉนวนกาซาเมื่อพวกเขาเปิดฉากโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม
 
ต่อมา IDF ยังรายงานอ้างข้อมูลข่าวกรองว่า ศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มฮามาส ซ่อนอยู่ข้างใต้โรงพยาบาลเด็กแรนติซี (Rantisi) ในเมืองกาซาซิตี และมีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ตัวประกันที่ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมถูกควบคุมตัวอยู่ที่นั่น
 
IDF กล่าวว่า สิ่งที่พบภายในโรงพยาบาลเช่นกัน คือรถจักรยานยนต์ที่เชื่อว่ากลุ่มฮามาสใช้ระหว่างการโจมตี และมีอุโมงค์จากโรงพยาบาลที่เชื่อมต่อกับที่พักของผู้นำกลุ่มฮามาส
 
พ.ท.ปีเตอร์ เลิร์นเนอร์ จาก IDF กล่าวว่า “โรงพยาบาลถูกใช้เพื่อกิจกรรมการก่อการร้ายอย่างแน่นอนที่สุด นี่คือโรงพยาบาลที่เราขอให้มีการอพยพออกไปในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีทั้งพลเรือนและผู้ก่อการร้ายหลบหนีออกจากโรงพยาบาล … และนำตัวประกันพร้อมกับผู้ก่อการร้ายออกจากบริเวณโรงพยาบาล
 
เขาเสริมว่า “เราเจอมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งในโรงพยาบาล มอเตอร์ไซค์คันนี้มีรูกระสุนอยู่ในถังน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งดูเหมือนหนึ่งในมอเตอร์ไซค์ที่เราเคยเห็นในวิดีโอที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม
 
เลิร์นเนอร์บอกอีกว่า “นอกจากนี้เรายังพบอุโมงค์ที่ดูเหมือนเชื่อมบ้านของผู้ก่อการร้ายระดับผู้บัญชาการกับโรงพยาบาล ดังนั้นนี่คือเครือข่ายที่ไร้ความปราณีที่ทำให้ชาวกาซาตกอยู่ในความเสี่ยง นี่คือสิ่งที่เราพูดตลอด 38 วันที่ผ่านมา
 
เขาเสริมว่า ผ้าคาดผม ผ้าอ้อม และขวดนมที่พบในโรงพยาบาล บ่งชี้ว่า เด็กและทารกซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มตัวประกัน อาจถูกจับอยู่ที่นั่นเช่นกัน
 
คำกล่าวอ้างดังกล่าวดูเหมือนจะสอดคล้องกับรายงานข่าวกรองของสหรัฐฯ ที่ระบุว่า กลุ่มฮามาสมีหน่วยบัญชาการอยู่ใต้โรงพยาบาลอัล-ชิฟา โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซา โดยใช้เชื้อเพลิงที่มีไว้สำหรับโรงพยาบาลดังกล่าว และนักรบของกลุ่มฮามาสก็รวมกลุ่มกันในและรอบ ๆ โรงพยาบาลเป็นประจำ
ข้อมูลดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมีความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวเมื่อวันอาทิตย์ (12 พ.ย.) ที่ว่า กลุ่มฮามาสใช้โรงพยาบาลและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนในการซ่อนตัว
 
เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่า “คุณจะเห็นได้จากการรายงานแบบโอเพนซอร์สว่า กลุ่มฮามาสใช้โรงพยาบาล ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนอื่น ๆ จำนวนมาก ในการสั่งการและควบคุม จัดเก็บอาวุธ และเป็นที่อยู่อาศัยของนักรบ
 
อิสราเอลยืนกรานว่า มีความชอบธรรมในการปฏิบัติการทางทหารรอบ ๆ โรงพยาบาลแห่งนี้ แม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสหประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ ก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลประกาศว่าได้สร้างทางเดินอพยพและเรียกร้องให้มีการเคลื่อนย้ายพลเรือนแล้ว แต่คนไข้และบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลเลือกที่จะไม่อพยพออกมาเอง
 
นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวว่า “ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่สามารถพาผู้ป่วยออกจากที่นั่นได้ แทนที่จะปล่อยให้กลุ่มฮามาสใช้เป็นศูนย์บัญชาการก่อการร้าย ใช้เป็นที่ยิงจรวดใส่อิสราเอล ใชเป็นอุโมงค์ก่อการร้ายเพื่อสังหารพลเรือนชาวอิสราเอล
 
เนทันยาฮูกล่าวเสริมว่า “อิสราเอลกำลังดำเนินการอย่างระมัดระวังเมื่อพูดถึงเรื่องโรงพยาบาล แต่เราจะไม่ให้ผู้ก่อการร้ายมีโล่คุ้มกัน
 
ด้านกลุ่มฮามาสและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการ
 
ดร. มูนีร์ อัล-เบิร์ช อธิบดีกระทรวงสาธารณสุขฉนวนกาซา กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่อัล-ชิฟาปฏิเสธคำสั่งอพยพของ IDF เพราะพวกเขากลัวว่าผู้ป่วยประมาณ 700 รายจะเสียชีวิตหากพวกเขาถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
 
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่หมอ แต่อยู่ที่คนไข้ และหากพวกเขาถูกทิ้งไว้ข้างหลัง พวกเขาจะตาย และหากพวกเขาถูกย้าย พวกเขาจะตายระหว่างทาง นี่คือปัญหา เรากำลังพูดถึงผู้ป่วยประมาณ 700 ราย” อัล-เบิร์ชกล่าว
 
เรียบเรียงจาก CNN / Reuters / The Guardian



ผู้นำอินโดนีเซียเรียกร้องสหรัฐ “จริงจังกว่านี้” ในการยุติสงครามกาซา
https://www.dailynews.co.th/news/2897227/

ประธานาธิบดีอินโดนีเซียเรียกร้องผู้นำสหรัฐ หาทางยุติสงครามในฉนวนกาซา "ด้วยความจริงจังกว่านี้"

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ต้อนรับและพบหารือกับประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ผู้นำอินโดนีเซีย ที่ทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ โดยวิโดโดเดินทางมายังสหรัฐ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ 21 ประเทศสมาชิกความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปค ที่เมืองซานฟรานซิสโก ในสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ ผู้นำอินโดนีเซียกล่าวอย่างตรงไปตรงมากับไบเดน เรียกร้องสหรัฐแสดงบทบาทอย่างจริงจังกว่านี้ “โดยขอให้คำนึงถึงอนาคตของมนุษยชาติ” เพื่อให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซา ซึ่งเป็นสมรภูมิที่อิสราเอลและกลุ่มฮามาส ทำสงครามกันอย่างดุเดือด ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน มีรายงานด้วยว่า วิโดโด ถ่ายทอดข้อความ” ของประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาส ผู้นำปาเลสไตน์ เกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ ให้ไบเดนรับทราบด้วย โดยผู้นำอินโดนีเซียและผู้นำปาเลสไตน์พบกัน ระหว่างการประชุมระหว่างกลุ่มประเทศอาหรับและอิสลาม ที่กรุงริยาด เมืองหลวงของซาอุดีอาระเบีย เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ผู้นำสหรัฐกลับกล่าวเน้นไปที่ ความมุ่งมั่นเชิงนโยบายของรัฐบาลวอชิงตัน ในการขยายขอบเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการลงทุนกับอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อนึ่ง อินโดนีเซียทำการส่งมอบสิ่งของช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจำนวน 51.5 ตัน ให้แก่ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ผ่านทางอียิปต์ เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ โดยอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศมุสลิมขนาดใหญ่ที่สุดของโลก มีนโยบายสนับสนุนปาเลสไตน์ และไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล จุดยืนดังกล่าวของอินโดนีเซีย เป็นแบบเดียวกับมาเลเซีย และบรูไน ซึ่งอยู่ร่วมภูมิภาค.



นายกฯ ยอมรับเมืองกรุงมี ‘ส่วยรถบรรทุก’ เล็งเพิ่มโทษยึดรถ-ปรับสูงหากน้ำหนักเกิน
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7961757

นายกฯเศรษฐา ยอมรับยังมีส่วยเมืองกรุง ย้ำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ-กรมขนส่งทางบก ต้องจับมือแก้ปัญหา เล็งเพิ่มมาตรการลงโทษหากบรรทุกเกิน
 
วันที่ 14 พ.ย.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 13 พ.ย. (เวลาท้องถิ่นซานฟรานซิสโก ช้ากว่ากรุงเทพฯ 15 ชั่วโมง) ที่โรงแรมเดอะริทซ์ คาร์ลตัน นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกต เรื่องส่วยรถบรรทุกกลับมาอีกครั้งว่า เรื่องส่วยและส่วยทางหลวง ที่ดำเนินการไปแล้ว ได้คุยกับพล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ทราบว่าที่จริงหายไปแล้วประมาณ 80% แต่ยังมีบางส่วนที่เหลืออยู่บ้าง
 
ในกรุงเทพฯ ยอมรับว่ายังมีอยู่บ้าง แต่ด่านชั่งน้ำหนักในกรุงเทพฯ มีน้อย ต้องก็จัดการกันไป ต้องมีการชั่งน้ำหนัก ซึ่งได้กำชับไปแล้ว
 
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีกรอบระยะเวลาดำเนินการและการคาดโทษเรื่องนี้อย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า จะมีการพูดคุยกันโดยจะต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่าง สายด่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และกรมขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม จะต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลและจัดการกันไป ยืนยันเรื่องนี้ต้องดีขึ้นแน่นอน
 
นอกจากนั้นต้องปรับเรื่องกฎกติกาหลายอย่างทั้งอัตราการปรับให้สูงขึ้นจากปกติที่มีขีดจำกัดว่าจะจำกัดได้เท่าไร ต้องไปพิจารณากฎหมายให้ปรับได้เยอะขึ้น ถ้ามีการบรรทุกน้ำหนักเกิน หรืออาจไปถึงขนาดต้องยึดรถไว้ก่อนถ้าบรรทุกน้ำหนักเกิน ต้องเพิ่มมาตรการคาดโทษตรงนี้ ก็เชื่อว่ารถที่บรรทุกน้ำหนักเกินก็จะค่อยๆดีขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่