ส่วนตัวอยู่ในวงการเกษตร เราเข้าใจว่าปุ๋ยเคมี จริงๆแล้วก็คืออาหารพืช ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม (NPK ที่เราเรียนกันมา) แค่อยู่ในรูปแบบความเข้มข้นสูง อาจเป็น เม็ด หรือ ผง ก็เพื่อให้ใช้งานง่าย ขนส่งเคลื่อนย้ายสะดวก แล้วแหล่งที่มาของปุ๋ยเหล่านี้ ส่วนมากก็มาจากธรรมชาติ คือขุดมาจากใต้ดินบ้าง หรือ ผลิตมาจากน้ำทะเลบ้าง แล้วนำมาผ่านกระบวนการสกัด เพื่อให้ได้เฉพาะแร่ธาตุที่เป็นอาหารของพืช และ พืชต้องการ อยู่ในความเข้มข้นสูงๆ เพื่อให้เวลาเคลื่อนย้ายจะได้มีน้ำหนักรวมน้อยที่สุด
ถ้าเทียบกับอาหารของคน ก็คงคล้ายๆกัน เวย์โปรตีน ที่เป็นโปรตีนรูปแบบผงความเข้มข้นสูง หรือ วิตามินเม็ด ก็เป็นวิตามินความเข้มข้นสูงในรูปแบบเม็ด แล้วทั้ง เวย์โปรตีน ทั้ง วิตามินเม็ด ก็ล้วนแล้วแต่ต้องผ่านกระบวนการทางเคมีถึงจะสกัดออกมาในรูปแบบนั้นได้ แล้วหลายๆคนก็กินวิตามิน"เคมี" หรือ โปรตีน"เคมี" กลุ่มนี้กันทุกๆวัน โดยที่ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร
เลยแปลกใจว่าพอเป็นพืช ซึ่งมีพื้นที่การเพาะปลูกมหาศาล ประเทศไทยที่เดียวก็ 153,184,527 ไร่ (150 ล้านไร่) ก็ย่อมต้องการธาตุอาหารปริมาณมากอย่างต่อเนื่องทุกๆปี ซึ่งปุ๋ยเคมี ที่สกัดมาให้มีความเข้มข้นสูง ใช้งานสะดวก ก็เป็นวิธีที่ตอบโจทย์ แต่กลับกลายเป็นว่ามีการต่อต้านเยอะมากๆในเรื่องนี้ สนับสนุนแต่จะให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ (ซึ่งมีความเข้มข้นของธาตุอาหาร NPK น้อยมากๆๆ) ซึ่งถ้าจะใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี 100% จริงๆ ทุกๆปี คงจำเป็นจะต้องใช้สัก ร้อยล้านตัน เท่ากับ แสนล้านกิโลกรัม (100,000,000,000 กก./ปี - ทุกๆปี) ซึ่งมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะไปหาปุ๋ยอินทรีย์มากมายมหาศาลขนาดนั้นมา แล้ว ถึงหามาได้ การขนส่ง ขึ้นเหนือ ลงใต้ ไปอีสาน ขึ้นเขา ลงห้วย มันจะทำได้อย่างไร ถ้าทำได้จริง ต้นทุนการเกษตรจะเพิ่มเท่าไหร่ แล้ว ราคาอาหาร ค่าครองชีพ จะเพิ่มขึ้นไปเท่าไหร่ เป็นผลพวงต่อมาอีก
สุดท้ายส่วนตัวมองว่าปุ๋ยทั้งอินทรีย์ และ เคมี คือสิ่งที่ต้องใช้ควบคู่กัน ปุ๋ยเคมี มีธาตุอาหารหลักของพืช NPK แต่ไม่มีอินทรีย์วัตถุ ที่ช่วยปรับปรุง และ เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ในขณะที่ปุ๋ยอินทรีย์ มีอินทรีย์วัตถุ แต่ ไม่มีอาหารหลักพืช NPK (หรือมีน้อยมากๆๆ) ขึ้นชื่อว่าปุ๋ยเหมือนกัน แต่อาหาร และ ประโยชน์ที่มีต่อพืชมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สุดท้ายมันก็ทดแทนกันไม่ได้อยู่แล้ว แต่มันคือการใช้ควบคู่ด้วยกันจึงจะได้ประสิทธิภาพ
อยากให้ผู้ที่เกียวข้องในเรื่องนี้ ช่วยรณรงค์ให้เกิดความเข้าใจให้แตกฉาน สอนให้ใช้งานอย่างถูกต้อง ถูกวิธี เหมาะสม ตามช่วงเวลา ปริมาณการใช้ และ ชนิดพืช แต่ถ้ารณรงค์อินทรีย์ 100% อย่างเดียวอย่างทุกวันนี้ เกษตรกรไทยก็คง งงๆหลงทางไปเรื่อยๆ ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ของไทย ก็คงล้าหลัง ตามมาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม แน่นอน
"ปุ๋ยเคมี" ไม่ดียังไง ทำไมรัฐบาล หรือ หลายๆคน ต้องออกมาต่อต้านกัน
ถ้าเทียบกับอาหารของคน ก็คงคล้ายๆกัน เวย์โปรตีน ที่เป็นโปรตีนรูปแบบผงความเข้มข้นสูง หรือ วิตามินเม็ด ก็เป็นวิตามินความเข้มข้นสูงในรูปแบบเม็ด แล้วทั้ง เวย์โปรตีน ทั้ง วิตามินเม็ด ก็ล้วนแล้วแต่ต้องผ่านกระบวนการทางเคมีถึงจะสกัดออกมาในรูปแบบนั้นได้ แล้วหลายๆคนก็กินวิตามิน"เคมี" หรือ โปรตีน"เคมี" กลุ่มนี้กันทุกๆวัน โดยที่ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร
เลยแปลกใจว่าพอเป็นพืช ซึ่งมีพื้นที่การเพาะปลูกมหาศาล ประเทศไทยที่เดียวก็ 153,184,527 ไร่ (150 ล้านไร่) ก็ย่อมต้องการธาตุอาหารปริมาณมากอย่างต่อเนื่องทุกๆปี ซึ่งปุ๋ยเคมี ที่สกัดมาให้มีความเข้มข้นสูง ใช้งานสะดวก ก็เป็นวิธีที่ตอบโจทย์ แต่กลับกลายเป็นว่ามีการต่อต้านเยอะมากๆในเรื่องนี้ สนับสนุนแต่จะให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ (ซึ่งมีความเข้มข้นของธาตุอาหาร NPK น้อยมากๆๆ) ซึ่งถ้าจะใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี 100% จริงๆ ทุกๆปี คงจำเป็นจะต้องใช้สัก ร้อยล้านตัน เท่ากับ แสนล้านกิโลกรัม (100,000,000,000 กก./ปี - ทุกๆปี) ซึ่งมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะไปหาปุ๋ยอินทรีย์มากมายมหาศาลขนาดนั้นมา แล้ว ถึงหามาได้ การขนส่ง ขึ้นเหนือ ลงใต้ ไปอีสาน ขึ้นเขา ลงห้วย มันจะทำได้อย่างไร ถ้าทำได้จริง ต้นทุนการเกษตรจะเพิ่มเท่าไหร่ แล้ว ราคาอาหาร ค่าครองชีพ จะเพิ่มขึ้นไปเท่าไหร่ เป็นผลพวงต่อมาอีก
สุดท้ายส่วนตัวมองว่าปุ๋ยทั้งอินทรีย์ และ เคมี คือสิ่งที่ต้องใช้ควบคู่กัน ปุ๋ยเคมี มีธาตุอาหารหลักของพืช NPK แต่ไม่มีอินทรีย์วัตถุ ที่ช่วยปรับปรุง และ เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ในขณะที่ปุ๋ยอินทรีย์ มีอินทรีย์วัตถุ แต่ ไม่มีอาหารหลักพืช NPK (หรือมีน้อยมากๆๆ) ขึ้นชื่อว่าปุ๋ยเหมือนกัน แต่อาหาร และ ประโยชน์ที่มีต่อพืชมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สุดท้ายมันก็ทดแทนกันไม่ได้อยู่แล้ว แต่มันคือการใช้ควบคู่ด้วยกันจึงจะได้ประสิทธิภาพ
อยากให้ผู้ที่เกียวข้องในเรื่องนี้ ช่วยรณรงค์ให้เกิดความเข้าใจให้แตกฉาน สอนให้ใช้งานอย่างถูกต้อง ถูกวิธี เหมาะสม ตามช่วงเวลา ปริมาณการใช้ และ ชนิดพืช แต่ถ้ารณรงค์อินทรีย์ 100% อย่างเดียวอย่างทุกวันนี้ เกษตรกรไทยก็คง งงๆหลงทางไปเรื่อยๆ ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ของไทย ก็คงล้าหลัง ตามมาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม แน่นอน