ตัวผู้โพสเอง เคยอยู่ทั้งในรูปแบบ คอนโด HR สมัยเด็ก และคอนโด LR เมื่อปี 64 แต่มาตอนนี้ผู้โพสได้ตัดสินใจซื้อบ้านเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก่อนที่ผู้โพสจะซื้อบ้าน แน่นอนว่าต้องทำเหมือนทุกคน คือเสิร์ทหาว่า
"เราจะซื้อที่อยู่เองทั้งที เราจะซื้อคอนโด หรือบ้านดี" ก็มีคนมาให้คำแนะนำมากมาย แบ่งเป็น 2 ฝั่ง ซึ่งด้วยตัวผู้โพสเองก็อยู่คอนโดมาตลอด เลยเอียงไปทางคอนโดอยู่แล้ว แต่ก็ได้แฟน + แม่มาเบรคไว้ จนสุดท้ายก็ได้ซื้อบ้านในที่สุด
วันเวลาผ่านไปผมมีความสุขกับบ้านใหม่ดี เปิดสมอง เปิดโลกให้กว้างขึ้นมาก ต่างจากการอยู่คอนโดแบบคนละโลกเลย แต่ก็เข้าใจว่าอยู่ที่ไลฟ์สไตล์ไม่ได้อยากถกเถียงอะไรกัน ไลฟ์สไตล์ผมอยู่บ้านแล้วตอบโจทย์มากกว่าเท่านั้นครับ
แต่แล้ววันหนึ่งก็มีแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาใน Facebook เพราะมีคนมากดไลค์คอมเม้นผมเมื่อ 2 ปีก่อน ที่ผมไปเม้นขอบคุณเรื่องคำแนะนำของการเลือกบ้าน หรือคอนโด ก็เลยได้นั่งย้อนอ่านคำแนะนำไปเพลิน ๆ แล้วก็มาฉุกคิดได้ว่า เอ๊ะ....บางคอมเม้นข้อดี ของคอนโดนี่ มันก็ไม่ขนาดนั้นนี่นา / เอ๊ะ....เวอร์ไปป่าว / นั่นก็ไม่ขนาดนั้น / แบบนี้ดีจริงหรอ / เอ๊ะ ๆ ๆ ๆ เต็มไปหมด 😅
วันนี้ก็เลยจะมาแชร์ประสบการณ์ที่หลายคนมองว่าเป็นข้อดีของคอนโด ที่ผมได้สัมผัสกิจกรรมเหล่านั้นมากับตัว และได้เปลี่ยนถ่ายรูปแบบกิจกรรมมาเป็นอีกแบบแล้ว โดยเริ่มจาก
1.คอนโดจะอยู่ในทำเลที่ดีกว่า -
"อันนี้ผมมองว่าเป็นข้อดีจริง ๆ แบบจริงสุด ๆ เถียงไม่ได้เลย"
เพราะคอนโดใช้พื้นที่แนวระนาบในการสร้างไม่เยอะ เลยสามารถสร้างได้หลายโครงการ ในทำเลดี ๆ สวย ๆ ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ได้เยอะจริง ๆ ทั้งห้าง รถไฟฟ้า และอื่น ๆ อีกเยอะ // *เสริมนิดนึง บ้านที่ผมซื้อ ก็อยู่เกือบ ๆ กลางเมือง ใกล้ BTS เหมือนกัน แต่แลกมาด้วยราคาแพงกว่า 3 เท่าของคอนโด ซึ่งจุดนี้มันเลยเป็นข้อดีของคอนโด และเป็นตัวชูโรงยืนหนึ่งอย่างแน่นอน
2. วิวสวย ผ่อนคลาย - "อันนี้ผมมองว่าเป็นข้อดีจริงครับ"
เพราะบางคนอาจชอบมองไปที่ไกล ๆ พักผ่อนสายตาเวลาทำงาน บลา ๆ อะไรก็ว่าไป ช่วยฮิลใจ ช่วยสร้างบรรยากาศ ฯลฯ (แต่ส่วนตัวผม แรก ๆ ก็ชอบยืนมองนะ ดูสวย หรูหรา แต่หลัง ๆ มา ผมก็เบื่อละ คนเราจะมายืนมองทำไมบ่อย ๆ เป็นกิจวัตร 😅 *ไลฟ์สไตล์ของผมเอง)
จบ....เอาตามจริงผมคิดข้อดีแบบแท้จริงได้แค่ 2 ข้อจริง ๆ ครับ ส่วนที่เหลือควร ใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วย 🙏
3.คอนโดจะรักษาความปลอดภัยได้ดีกว่าบ้าน -
"ข้อนี้มัน คือจะถือเป็นข้อดี ที่ดีกว่าบ้านได้จริง ๆ หรอครับ"
เพราะผมว่ามันก็ขึ้นอยู่กับการจัดการของแต่แบรนด์ แต่ละโครงการอ่ะครับ (ตัวอย่าง เช่นหมู่บ้านผมก็มียามขับจักรยานลาดตระเวนตามสุดเส้นทางเพื่อแสกน QC Code ทุก ๆ 1 ชั่วโมงอ่ะครับ แทบจะดักรอเจอหน้าสวัสดีได้เลย หรือจะโทรตามได้เลยถ้ามีเรื่องน่าสงสัย / แต่คอนโดคือ ต้องรอเกิดเหตุก่อน แล้วค่อยโทรตามถึงจะเจอหน้ายาม โอเคคอนโดบางที่อาจมีคนสแตนบายดูกล้องตลอด แต่ก็อย่างที่บอกแหละครับ ถ้าฝั่งคอนโดคนดูกล้องไม่เห็น หรือมีคนไม่ตั้งใจทำงาน ก็อาจมาระงับเหตุไม่ได้ หรือยามหมู่บ้านไม่มาตระเวน ก็อาจระงับเหตุไม่ได้เหมือนกัน) อย่างที่บอก ทั้งนี้มันอยู่ที่การจัดการของแบรนด์ที่เราเลือกซื้อเลย แบรนด์ดัง ๆ หน่อยก็เข้มงวด แบรนด์ทั่ว ๆ ไป ก็อาจจะไม่เข้มงวด และภายในความเข้มงวดนั้น ก็จะขึ้นอยู่ที่บุลคลด้วยอีกทอดหนึ่งด้วย ไม่มีอะไรมาการันตีว่าดีกว่าแน่นอน
4.คอนโดดูแลความสะอาดได้ทั่วถึงกว่า -
"ข้อนี้ เอาจริง ผมงงมากที่สุดแล้วครับ ว่ามันคือข้อที่ดีกว่า หรือข้อดีที่เราได้รับตรงไหน"
เพราะที่ทำความสะอาดได้ทั่วถึงกว่า ก็เพราะคอนโดพื้นที่มันเล็กกว่าไงครับ คอนโดทั่วไป ส่วนใหญ่ก็อยู่ได้ไม่เกิน 3 - 4 คนก็ต้องทั่วถึงสิครับ แต่บ้าน สามารถอยู่ได้เป็น 5 - 6 คนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่มี ซึ่งสรุปว่าคอนโด อยู่ 2 - 3 คน ก็ทำความสะอาดทั่วถึงแล้ว / แต่บ้านอยู่ 5 - 6 คนก็ทำความสะอาดทั่วถึงแล้วเหมือนกันนะครับ.....
(ก็ดูเจ๊า ๆ หนิครับ แค่ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่กี่คน และพื้นที่ใหญ่ขนาดไหน) แต่ !!!! ต่อให้เทียบระหว่างอยู่บ้าน 2 คน กับอยู่คอนโด 2 คน แล้วมาทำความสะอาด มันก็ค่าเท่ากันอ่ะครับ ผมอยู่บ้าน 2 คน ผมก็ทำความสะอาดทั่วถึงนะ เพราะเราก็ทำความสะอาดเฉพาะพื้นที่ใช้งานอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น A ขับรถ Nissan Cube (คันเล็กมาก) ส่วน B ขับ Toyota Fortuner (คันใหญ่มาก) ซึ่ง 2 คนนี้ ถ้าจะทำความสะอาดรถแบบทั่วไป ก็คง 1.เช็ดพวงมาลัย 2.เช็ดกระจก 3. เช็ดเบาะ 4.สบัดพรม 5.เก็บขยะในรถ คนขับรถ 2 คนนี้ ก็คงทำเหมือน ๆ กันแหละครับ ไม่มีใครบอกว่า จะทำความสะอาดทั้งที ต้องไปฟอกโฟมด้วย ขัดแม็กซ์ เคลือบด้วย แว็กซ์ด้วยทุกครั้งแบบนั้นซะที่ไหนหละครับ ซึ่งบ้านก็เหมือนกันแหละครับ
"เพราะเราก็เน้นทำความสะอาด แค่ในส่วนที่ใช้งานประจำอยู่แล้ว" หรือต่อให้อยาก Big Cleaning จริง ๆ นี่โลกเข้าปี 2024 แล้วนะครับ อุปกรณ์ทำความสะอาดอัตโนมัติเยอะแยะ คนซื้อบ้านหลักล้านได้ อุปกรณ์พวกนี้ราคาหลักพัน หลักหมื่น เขาต้องซื้อติดบ้านไว้อยู่แล้วครับ หรือไม่ก็จ้างแม่บ้านบิ๊กคลีนนิ่งสัก 6 เดือนครั้งก็ได้ ไม่กี่บาท บ้านผมก็มีครอบคลุมตั้งแต่ช่องจอดรถ ยันห้องแมว อัตโนมัติทั้งหมดครับ
ตอนย้ายมาก็ไม่เคยคิดย้อนกลับไปเลยนะครับว่า "คอนโดทำความสะอาดง่ายกว่าอีก" ไรงี้นะครับ
4.คอนโดไม่ต้องดูแลอะไรเลย นิติดูแลให้หมด (ไฟฟ้า ประปา รั้ว สวน พื้นฯลฯ) ช่างก็ดูแลตลอด -
"ข้อนี้ก็เหมือนข้อ 3 อ่ะครับ คิด ๆ ดูว่า มันคือข้อดีที่เราได้รับจริง ๆ หรือ
เพราะที่คนอยู่คอนโดไม่ต้องดูแลสิ่งเหล่านั้น
ก็เพราะว่า คุณไม่ใช่เจ้าของสิ่ง ๆ นั่นไงครับ คุณไม่มีกรรมสิทธิ์ในการครอบครองใด ๆ เลย แต่มันคือส่วนบริการที่นิติอาคารต้องดูแลให้ลูกบ้านใช้ ซึ่งคุณอาจไม่สามารถไปแตะต้องอะไรได้ด้วยตัวเองเลย (ลองไปขอเพิ่มเฟดไฟ หรือขอต่อเครื่องกรองน้ำสำหรับอุปโภคดูสิครับ ผมว่าเขาก็ไม่ให้หรอกครับ) แค่ปิดประตูหันหลังเดินออกจากห้อง ก็ไม่มีตรงไหนเป็นกรรมสิทธิ์ถือครองของเจ้าห้องแล้วครับ แต่ส่วนของบ้าน
เจ้าของบ้านคือเจ้าของระบบทั้งหมด เขาเลยต้องดูแลเองทั้งหมดไงครับ ทั้งระบบประปา ระบบไฟฟ้า ผมอยากต่อท่อเพิ่ม ตัดท่อทิ้ง หรือย้ายเมนไฟ เพิ่มเฟด ติดโซล่าเซลล์ ติด EV Charging ถอดรั้วบ้าน ติดบานสไลด์ ลงเสาเข็ม ทาสีรั้ว ปูกระเบื้องใหม่ ตัดต้นไม้ ลงหญ้า ฯลฯ คือสามารถตัดสินใจทำได้เองหมดเลย เพราะเราคือเจ้าของทั้งหมด ปิดประตูออกจากบ้าน กระเบื้องหน้าบ้านก็ของเราอยู่ เสาเข็มที่ฝังอยู่ใต้พื้นก็ของเรา รั้วก็เป็นของเรา ต้องปิดรั้วบ้าน แล้วออกมาข้างนอกนั้นแหละครับ ถึงจะไม่มีกรรมสิทธิ์ถือครอง แล้วก็เรื่องช่างก็เหมือนกันครับ นี้จะปี 2024 โครงการหมู่บ้านดี ๆ หน่อยก็มีช่างประจำสแตนบายรอเหมือนกันครับ (ยกเว้นว่าไปปลูกบ้านบนที่ดินส่วนตัว หรือซื้อบ้านนอกโครงการไรแบบนั้นนะครับ)
5.คอนโดมีคนรับพัสดุให้ ไม่ต้องรอรับของ -
ข้อดีหรอครับ อันนี้เข้าข่าย "บอกไม่หมด" หนิครับ
เพราะผมผ่านมาแล้ว ใช่ครับมีนิติรับพัสดุให้แต่การที่ผมจะได้พัสดุมาถึงมือ ผมต้อง 1.เปิดประตูออกห้อง 2. เดินตามโถงทางเดิน 3.รอลิฟต์ 4.ลงลิฟต์ 5. เดินไปนิติ 6.เซ็นต์รับของ 7. ได้ของมา 8.เดินกลับลิฟต์ 9. รอลิฟต์ 10.เดินถามโถงทางเดิน 11.เข้าห้อง (นี่คือขั้นตอนที่ทุกคนที่อยู่คอนโด ต้องผ่านมาแล้วแน่นอน รวมถึงการลงมารับอาหารจากไรเดอร์อีก) นี่ยังไม่นับรวมว่าถ้าพัสดุเยอะ หรือน้ำหนักเยอะ หรืออาหารกลิ่นแรงในลิฟต์อีกนะ ต้องทุลักทุเลขนาดไหน ต่อให้มีรถเข็นก็ไม่พ้นเรื่องเดินไกลอยู่ดี
แต่บ้านคือ ไม่เห็นต้องมีคนรับพัสดุอะไรให้เลย พัสดุมาถึงก็วางไว้ที่จุดรับหน้าบ้านได้เลย (กล่องรับพัสดุ ใน Shopee ร้อยกว่าบาทเอง 😆) ถ้ากล่องใหญ่ เขาก็เปิดรั้วพิงไว้ในสวนหน้าบ้าน หรือช่องจอดรถได้เลย (ถ้าขนส่งโทรมา ก็บอกเขาว่าเอาไว้ไหน แต่ถ้าคนมาส่งบ่อย เขาก็รู้งานอยู่แล้ว แล้วช่วงหน้าฝน เขาวางไว้ใน ๆ บ้านให้เลยด้วย) ผมเลยไม่เข้าใจว่า มีคนรับพัสดุให้ มันคือข้อดีตรงไหน
เพราะของผมไม่มีคนรับพัสดุ แต่ของก็อยู่หน้าบ้านเลย แถมถ้าผมจะได้ของมาก็ถึงมือ ผมแค่ 1.จอดรถ (หลังกลับจากข้างนอก) 2.หยิบเข้าบ้าน จบ.... / หรือ 1.เปิดประตูออกบ้าน 2.หยิบเข้าบ้าน จบ....
จริง ๆ มีอีกเยอะที่เปิดโลกอ่ะครับ และมีอีกเยอะที่เห็นคอมเม้นแล้ว ออกจะหมกไว้นิดนึง หรือกำกวมว่ามันคือข้อดีตรงไหน
เพราะความเห็นผมจริง ๆ คือผมเปิดโลกมาก ๆ
คือถ้าไม่นับเรื่องทำเล หรือวิวตึกสูง หรืออาจจะเรื่องราคา ผมก็ไม่เห็นข้อดีข้อไหน ที่คอนโด จะดีกว่าบ้านเลย มากสุดก็แค่ดีเท่ากัน แค่นั้นจริง ๆ (อันนี้คือความเห็นจากผม นอกเหนือจากกระทู้นะครับ 🙏)
แต่ทั้งนี้ ผมรู้ว่าเดี๋ยวก็มีคนมาตอบกลับมา "อยู่ที่ไลฟ์สไตล์" ผมรู้ ผมไม่ได้มาแนะนำให้เลือกบ้าน แต่ผมแค่มาบอกเพิ่มเติมเฉย ๆ ว่า ข้อดีของคอนโดอ่ะ บางที มันมีผลลัพธ์อื่น ๆ และเหตุผลซ่อนอยู่ ที่เจ้าของห้องไม่ได้บอก หรือบอกไม่หมด หรือบอกหมดเลยนั่นแหละ แต่หลายคนยังเข้าใจผิดไปกันเอง เลยมาตั้งกระทู้ตามนี้แหละครับ อย่างน้อยจะได้ทำความเข้าใจข้อดีใหม่ ว่ายังตรงกับไลฟ์สไตล์เราอยู่ไหม
เช่น
-ข้อที่ว่ามีคนรับพัสดุให้ ถ้าคนไม่เข้าใจจริง ๆ แล้วไลฟ์สไตล์เป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบเดินไปไหน ไรงี้ เลยเลือกมาอยู่คอนโด เพราะมีคนแนะนำว่าเราจะมีนิติคอยรับของ รับพัสดุให้ แต่เขาอาจเข้าใจผิดว่า เขาไม่ได้รับมาส่งที่ห้องนะ สุดท้ายก็ต้องเดินออกไปเอาเองอยู่ดี
- หรือเป็นคนชอบทำกิจกรรมอะไรเสียงดัง เช่นฟังเพลงเสียงดัง ดูหนังเสียงดัง เล่นเกมเสียงดัง ฯลฯ แล้วมีคนแนะนำว่า คอนโดเดี๋ยวนี้ทำระบบกันเสียงมาดีแล้ว พร้อมอยู่ได้ทุกไลฟ์สไตล์เลย ทำกิจกรรมเสียงดังได้เลย เสียงไม่ทะลุไปรบกวนข้างห้องแน่นอน ซึ่งเสียงไม่ทะลุไปข้างห้องก็จริงครับ....แต่ก็ทะลุเข้าไปห้องนอนตัวเองนั่นแหละ อยู่ 2 คน นึงนึงจะเล่นเกมเสียงดัง อีกคนจะนอน ก็มีปัญหาแล้วแล้วครับ ไม่พอ เสียงก็ทะลุไปโถงทางเดินด้วย บางทีเปิดดังมาก ๆ ก็ได้ยินไปถึงหน้าลิฟต์ 😅 (ซึ่งทีแรกผมไม่รู้จุดนี้ เลยไม่ทราบว่าไปรบกวนแฟนในห้องนอนด้วย และผมยังเผยแผ่เสียงเพลง และหนัง ไปยังผู้คนที่เดินผ่านหน้าห้องด้วย 🙏 )
ซึ่งถ้าเกิดมีคนเข้าใจคำแนะนำแบบไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วน กระทู้นี้อาจทำให้เขาได้เข้าใจมากขึ้นสัก 1% ก็ยังดีนะผมว่า
ข้อดีจากปากเจ้าของคอนโด...ที่บอกไม่หมด หรือไม่ได้เปรียบเทียบกับความเป็นจริง
วันเวลาผ่านไปผมมีความสุขกับบ้านใหม่ดี เปิดสมอง เปิดโลกให้กว้างขึ้นมาก ต่างจากการอยู่คอนโดแบบคนละโลกเลย แต่ก็เข้าใจว่าอยู่ที่ไลฟ์สไตล์ไม่ได้อยากถกเถียงอะไรกัน ไลฟ์สไตล์ผมอยู่บ้านแล้วตอบโจทย์มากกว่าเท่านั้นครับ
แต่แล้ววันหนึ่งก็มีแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาใน Facebook เพราะมีคนมากดไลค์คอมเม้นผมเมื่อ 2 ปีก่อน ที่ผมไปเม้นขอบคุณเรื่องคำแนะนำของการเลือกบ้าน หรือคอนโด ก็เลยได้นั่งย้อนอ่านคำแนะนำไปเพลิน ๆ แล้วก็มาฉุกคิดได้ว่า เอ๊ะ....บางคอมเม้นข้อดี ของคอนโดนี่ มันก็ไม่ขนาดนั้นนี่นา / เอ๊ะ....เวอร์ไปป่าว / นั่นก็ไม่ขนาดนั้น / แบบนี้ดีจริงหรอ / เอ๊ะ ๆ ๆ ๆ เต็มไปหมด 😅
วันนี้ก็เลยจะมาแชร์ประสบการณ์ที่หลายคนมองว่าเป็นข้อดีของคอนโด ที่ผมได้สัมผัสกิจกรรมเหล่านั้นมากับตัว และได้เปลี่ยนถ่ายรูปแบบกิจกรรมมาเป็นอีกแบบแล้ว โดยเริ่มจาก
1.คอนโดจะอยู่ในทำเลที่ดีกว่า - "อันนี้ผมมองว่าเป็นข้อดีจริง ๆ แบบจริงสุด ๆ เถียงไม่ได้เลย"
เพราะคอนโดใช้พื้นที่แนวระนาบในการสร้างไม่เยอะ เลยสามารถสร้างได้หลายโครงการ ในทำเลดี ๆ สวย ๆ ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ได้เยอะจริง ๆ ทั้งห้าง รถไฟฟ้า และอื่น ๆ อีกเยอะ // *เสริมนิดนึง บ้านที่ผมซื้อ ก็อยู่เกือบ ๆ กลางเมือง ใกล้ BTS เหมือนกัน แต่แลกมาด้วยราคาแพงกว่า 3 เท่าของคอนโด ซึ่งจุดนี้มันเลยเป็นข้อดีของคอนโด และเป็นตัวชูโรงยืนหนึ่งอย่างแน่นอน
2. วิวสวย ผ่อนคลาย - "อันนี้ผมมองว่าเป็นข้อดีจริงครับ"
เพราะบางคนอาจชอบมองไปที่ไกล ๆ พักผ่อนสายตาเวลาทำงาน บลา ๆ อะไรก็ว่าไป ช่วยฮิลใจ ช่วยสร้างบรรยากาศ ฯลฯ (แต่ส่วนตัวผม แรก ๆ ก็ชอบยืนมองนะ ดูสวย หรูหรา แต่หลัง ๆ มา ผมก็เบื่อละ คนเราจะมายืนมองทำไมบ่อย ๆ เป็นกิจวัตร 😅 *ไลฟ์สไตล์ของผมเอง)
จบ....เอาตามจริงผมคิดข้อดีแบบแท้จริงได้แค่ 2 ข้อจริง ๆ ครับ ส่วนที่เหลือควร ใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วย 🙏
3.คอนโดจะรักษาความปลอดภัยได้ดีกว่าบ้าน - "ข้อนี้มัน คือจะถือเป็นข้อดี ที่ดีกว่าบ้านได้จริง ๆ หรอครับ"
เพราะผมว่ามันก็ขึ้นอยู่กับการจัดการของแต่แบรนด์ แต่ละโครงการอ่ะครับ (ตัวอย่าง เช่นหมู่บ้านผมก็มียามขับจักรยานลาดตระเวนตามสุดเส้นทางเพื่อแสกน QC Code ทุก ๆ 1 ชั่วโมงอ่ะครับ แทบจะดักรอเจอหน้าสวัสดีได้เลย หรือจะโทรตามได้เลยถ้ามีเรื่องน่าสงสัย / แต่คอนโดคือ ต้องรอเกิดเหตุก่อน แล้วค่อยโทรตามถึงจะเจอหน้ายาม โอเคคอนโดบางที่อาจมีคนสแตนบายดูกล้องตลอด แต่ก็อย่างที่บอกแหละครับ ถ้าฝั่งคอนโดคนดูกล้องไม่เห็น หรือมีคนไม่ตั้งใจทำงาน ก็อาจมาระงับเหตุไม่ได้ หรือยามหมู่บ้านไม่มาตระเวน ก็อาจระงับเหตุไม่ได้เหมือนกัน) อย่างที่บอก ทั้งนี้มันอยู่ที่การจัดการของแบรนด์ที่เราเลือกซื้อเลย แบรนด์ดัง ๆ หน่อยก็เข้มงวด แบรนด์ทั่ว ๆ ไป ก็อาจจะไม่เข้มงวด และภายในความเข้มงวดนั้น ก็จะขึ้นอยู่ที่บุลคลด้วยอีกทอดหนึ่งด้วย ไม่มีอะไรมาการันตีว่าดีกว่าแน่นอน
4.คอนโดดูแลความสะอาดได้ทั่วถึงกว่า - "ข้อนี้ เอาจริง ผมงงมากที่สุดแล้วครับ ว่ามันคือข้อที่ดีกว่า หรือข้อดีที่เราได้รับตรงไหน"
เพราะที่ทำความสะอาดได้ทั่วถึงกว่า ก็เพราะคอนโดพื้นที่มันเล็กกว่าไงครับ คอนโดทั่วไป ส่วนใหญ่ก็อยู่ได้ไม่เกิน 3 - 4 คนก็ต้องทั่วถึงสิครับ แต่บ้าน สามารถอยู่ได้เป็น 5 - 6 คนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่มี ซึ่งสรุปว่าคอนโด อยู่ 2 - 3 คน ก็ทำความสะอาดทั่วถึงแล้ว / แต่บ้านอยู่ 5 - 6 คนก็ทำความสะอาดทั่วถึงแล้วเหมือนกันนะครับ..... (ก็ดูเจ๊า ๆ หนิครับ แค่ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่กี่คน และพื้นที่ใหญ่ขนาดไหน) แต่ !!!! ต่อให้เทียบระหว่างอยู่บ้าน 2 คน กับอยู่คอนโด 2 คน แล้วมาทำความสะอาด มันก็ค่าเท่ากันอ่ะครับ ผมอยู่บ้าน 2 คน ผมก็ทำความสะอาดทั่วถึงนะ เพราะเราก็ทำความสะอาดเฉพาะพื้นที่ใช้งานอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น A ขับรถ Nissan Cube (คันเล็กมาก) ส่วน B ขับ Toyota Fortuner (คันใหญ่มาก) ซึ่ง 2 คนนี้ ถ้าจะทำความสะอาดรถแบบทั่วไป ก็คง 1.เช็ดพวงมาลัย 2.เช็ดกระจก 3. เช็ดเบาะ 4.สบัดพรม 5.เก็บขยะในรถ คนขับรถ 2 คนนี้ ก็คงทำเหมือน ๆ กันแหละครับ ไม่มีใครบอกว่า จะทำความสะอาดทั้งที ต้องไปฟอกโฟมด้วย ขัดแม็กซ์ เคลือบด้วย แว็กซ์ด้วยทุกครั้งแบบนั้นซะที่ไหนหละครับ ซึ่งบ้านก็เหมือนกันแหละครับ "เพราะเราก็เน้นทำความสะอาด แค่ในส่วนที่ใช้งานประจำอยู่แล้ว" หรือต่อให้อยาก Big Cleaning จริง ๆ นี่โลกเข้าปี 2024 แล้วนะครับ อุปกรณ์ทำความสะอาดอัตโนมัติเยอะแยะ คนซื้อบ้านหลักล้านได้ อุปกรณ์พวกนี้ราคาหลักพัน หลักหมื่น เขาต้องซื้อติดบ้านไว้อยู่แล้วครับ หรือไม่ก็จ้างแม่บ้านบิ๊กคลีนนิ่งสัก 6 เดือนครั้งก็ได้ ไม่กี่บาท บ้านผมก็มีครอบคลุมตั้งแต่ช่องจอดรถ ยันห้องแมว อัตโนมัติทั้งหมดครับ ตอนย้ายมาก็ไม่เคยคิดย้อนกลับไปเลยนะครับว่า "คอนโดทำความสะอาดง่ายกว่าอีก" ไรงี้นะครับ
4.คอนโดไม่ต้องดูแลอะไรเลย นิติดูแลให้หมด (ไฟฟ้า ประปา รั้ว สวน พื้นฯลฯ) ช่างก็ดูแลตลอด - "ข้อนี้ก็เหมือนข้อ 3 อ่ะครับ คิด ๆ ดูว่า มันคือข้อดีที่เราได้รับจริง ๆ หรือ
เพราะที่คนอยู่คอนโดไม่ต้องดูแลสิ่งเหล่านั้น ก็เพราะว่า คุณไม่ใช่เจ้าของสิ่ง ๆ นั่นไงครับ คุณไม่มีกรรมสิทธิ์ในการครอบครองใด ๆ เลย แต่มันคือส่วนบริการที่นิติอาคารต้องดูแลให้ลูกบ้านใช้ ซึ่งคุณอาจไม่สามารถไปแตะต้องอะไรได้ด้วยตัวเองเลย (ลองไปขอเพิ่มเฟดไฟ หรือขอต่อเครื่องกรองน้ำสำหรับอุปโภคดูสิครับ ผมว่าเขาก็ไม่ให้หรอกครับ) แค่ปิดประตูหันหลังเดินออกจากห้อง ก็ไม่มีตรงไหนเป็นกรรมสิทธิ์ถือครองของเจ้าห้องแล้วครับ แต่ส่วนของบ้าน เจ้าของบ้านคือเจ้าของระบบทั้งหมด เขาเลยต้องดูแลเองทั้งหมดไงครับ ทั้งระบบประปา ระบบไฟฟ้า ผมอยากต่อท่อเพิ่ม ตัดท่อทิ้ง หรือย้ายเมนไฟ เพิ่มเฟด ติดโซล่าเซลล์ ติด EV Charging ถอดรั้วบ้าน ติดบานสไลด์ ลงเสาเข็ม ทาสีรั้ว ปูกระเบื้องใหม่ ตัดต้นไม้ ลงหญ้า ฯลฯ คือสามารถตัดสินใจทำได้เองหมดเลย เพราะเราคือเจ้าของทั้งหมด ปิดประตูออกจากบ้าน กระเบื้องหน้าบ้านก็ของเราอยู่ เสาเข็มที่ฝังอยู่ใต้พื้นก็ของเรา รั้วก็เป็นของเรา ต้องปิดรั้วบ้าน แล้วออกมาข้างนอกนั้นแหละครับ ถึงจะไม่มีกรรมสิทธิ์ถือครอง แล้วก็เรื่องช่างก็เหมือนกันครับ นี้จะปี 2024 โครงการหมู่บ้านดี ๆ หน่อยก็มีช่างประจำสแตนบายรอเหมือนกันครับ (ยกเว้นว่าไปปลูกบ้านบนที่ดินส่วนตัว หรือซื้อบ้านนอกโครงการไรแบบนั้นนะครับ)
5.คอนโดมีคนรับพัสดุให้ ไม่ต้องรอรับของ - ข้อดีหรอครับ อันนี้เข้าข่าย "บอกไม่หมด" หนิครับ
เพราะผมผ่านมาแล้ว ใช่ครับมีนิติรับพัสดุให้แต่การที่ผมจะได้พัสดุมาถึงมือ ผมต้อง 1.เปิดประตูออกห้อง 2. เดินตามโถงทางเดิน 3.รอลิฟต์ 4.ลงลิฟต์ 5. เดินไปนิติ 6.เซ็นต์รับของ 7. ได้ของมา 8.เดินกลับลิฟต์ 9. รอลิฟต์ 10.เดินถามโถงทางเดิน 11.เข้าห้อง (นี่คือขั้นตอนที่ทุกคนที่อยู่คอนโด ต้องผ่านมาแล้วแน่นอน รวมถึงการลงมารับอาหารจากไรเดอร์อีก) นี่ยังไม่นับรวมว่าถ้าพัสดุเยอะ หรือน้ำหนักเยอะ หรืออาหารกลิ่นแรงในลิฟต์อีกนะ ต้องทุลักทุเลขนาดไหน ต่อให้มีรถเข็นก็ไม่พ้นเรื่องเดินไกลอยู่ดี แต่บ้านคือ ไม่เห็นต้องมีคนรับพัสดุอะไรให้เลย พัสดุมาถึงก็วางไว้ที่จุดรับหน้าบ้านได้เลย (กล่องรับพัสดุ ใน Shopee ร้อยกว่าบาทเอง 😆) ถ้ากล่องใหญ่ เขาก็เปิดรั้วพิงไว้ในสวนหน้าบ้าน หรือช่องจอดรถได้เลย (ถ้าขนส่งโทรมา ก็บอกเขาว่าเอาไว้ไหน แต่ถ้าคนมาส่งบ่อย เขาก็รู้งานอยู่แล้ว แล้วช่วงหน้าฝน เขาวางไว้ใน ๆ บ้านให้เลยด้วย) ผมเลยไม่เข้าใจว่า มีคนรับพัสดุให้ มันคือข้อดีตรงไหน เพราะของผมไม่มีคนรับพัสดุ แต่ของก็อยู่หน้าบ้านเลย แถมถ้าผมจะได้ของมาก็ถึงมือ ผมแค่ 1.จอดรถ (หลังกลับจากข้างนอก) 2.หยิบเข้าบ้าน จบ.... / หรือ 1.เปิดประตูออกบ้าน 2.หยิบเข้าบ้าน จบ....
จริง ๆ มีอีกเยอะที่เปิดโลกอ่ะครับ และมีอีกเยอะที่เห็นคอมเม้นแล้ว ออกจะหมกไว้นิดนึง หรือกำกวมว่ามันคือข้อดีตรงไหน
เพราะความเห็นผมจริง ๆ คือผมเปิดโลกมาก ๆ คือถ้าไม่นับเรื่องทำเล หรือวิวตึกสูง หรืออาจจะเรื่องราคา ผมก็ไม่เห็นข้อดีข้อไหน ที่คอนโด จะดีกว่าบ้านเลย มากสุดก็แค่ดีเท่ากัน แค่นั้นจริง ๆ (อันนี้คือความเห็นจากผม นอกเหนือจากกระทู้นะครับ 🙏)
แต่ทั้งนี้ ผมรู้ว่าเดี๋ยวก็มีคนมาตอบกลับมา "อยู่ที่ไลฟ์สไตล์" ผมรู้ ผมไม่ได้มาแนะนำให้เลือกบ้าน แต่ผมแค่มาบอกเพิ่มเติมเฉย ๆ ว่า ข้อดีของคอนโดอ่ะ บางที มันมีผลลัพธ์อื่น ๆ และเหตุผลซ่อนอยู่ ที่เจ้าของห้องไม่ได้บอก หรือบอกไม่หมด หรือบอกหมดเลยนั่นแหละ แต่หลายคนยังเข้าใจผิดไปกันเอง เลยมาตั้งกระทู้ตามนี้แหละครับ อย่างน้อยจะได้ทำความเข้าใจข้อดีใหม่ ว่ายังตรงกับไลฟ์สไตล์เราอยู่ไหม
เช่น
-ข้อที่ว่ามีคนรับพัสดุให้ ถ้าคนไม่เข้าใจจริง ๆ แล้วไลฟ์สไตล์เป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบเดินไปไหน ไรงี้ เลยเลือกมาอยู่คอนโด เพราะมีคนแนะนำว่าเราจะมีนิติคอยรับของ รับพัสดุให้ แต่เขาอาจเข้าใจผิดว่า เขาไม่ได้รับมาส่งที่ห้องนะ สุดท้ายก็ต้องเดินออกไปเอาเองอยู่ดี
- หรือเป็นคนชอบทำกิจกรรมอะไรเสียงดัง เช่นฟังเพลงเสียงดัง ดูหนังเสียงดัง เล่นเกมเสียงดัง ฯลฯ แล้วมีคนแนะนำว่า คอนโดเดี๋ยวนี้ทำระบบกันเสียงมาดีแล้ว พร้อมอยู่ได้ทุกไลฟ์สไตล์เลย ทำกิจกรรมเสียงดังได้เลย เสียงไม่ทะลุไปรบกวนข้างห้องแน่นอน ซึ่งเสียงไม่ทะลุไปข้างห้องก็จริงครับ....แต่ก็ทะลุเข้าไปห้องนอนตัวเองนั่นแหละ อยู่ 2 คน นึงนึงจะเล่นเกมเสียงดัง อีกคนจะนอน ก็มีปัญหาแล้วแล้วครับ ไม่พอ เสียงก็ทะลุไปโถงทางเดินด้วย บางทีเปิดดังมาก ๆ ก็ได้ยินไปถึงหน้าลิฟต์ 😅 (ซึ่งทีแรกผมไม่รู้จุดนี้ เลยไม่ทราบว่าไปรบกวนแฟนในห้องนอนด้วย และผมยังเผยแผ่เสียงเพลง และหนัง ไปยังผู้คนที่เดินผ่านหน้าห้องด้วย 🙏 )
ซึ่งถ้าเกิดมีคนเข้าใจคำแนะนำแบบไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วน กระทู้นี้อาจทำให้เขาได้เข้าใจมากขึ้นสัก 1% ก็ยังดีนะผมว่า