เสียใจ หมดกำลังใจ จนถึงขั้นสมเพชและรังเกียจแม่ตัวเอง

คริสมาตส์ปีใหม่กำลังจะมาถึง เวลาที่ทุกคนในครอบครัวกำลังจะรวมตัวกัน ควรเป็นเวลาที่ทุกคนต้องมีความสุข แต่เรากลับไม่มีความสุขและรู้สึกว่าการที่ต้องข้องเกี่ยวกับแม่กัดกินความรู้สึกเรามากๆๆ พยายามทำดีทุกอย่าง เติมน้ำปริ่มแก้ว แต่สิ่งที่เขามองเห็นคือ “ทำไมน้ำมันยังไม่เต็มแก้ว น้ำแร่รึเปล่า” แทนที่จะมองว่าชีวิตเขามีอะไรดีสุดๆแค่ไหน ไปมองว่าอะไรที่ขาด จนใจเราคืออยากปัดแก้วให้แจกไปเลย ไม่ต้องดื่มน้ำแล้ว ไปกินกรวดซะ เพราะคนแบบนี้ไม่สมควรได้รับ เสียใจจนเกิดความรังเกียจคนที่ entitle ตัวเอง

จุดแตกหักคือแม่เราจะมาอเมริกา เราซื้อ business class มาให้ 2 ใบกับพ่อ เราจ่ายไปสามแสนกว่าบาทแค่ค่าตั๋วเครื่องบิน แม่เราบอกเราเขาไม่อยู่บ้านนะ เพราะพ่อเราลางานมายาก มารอบนี้จะมาเที่ยว 1 เดือน เพราะบินไกลและลางานยาก โอเค เราก็จัด 1 roadtrip ใหญ่ (10 วัน) 1 ทริปย่อย บินไป west coast (4 วัน) รวมเป็น 14 วัน ค่าใช้จ่ายส่วนของพ่อแม่ ตลอด 14 วันรวมเครื่องบิน ประมาณ 5.5 แสน ค่าใช้จ่ายเรากับสามีในทริป 2.5 แสน รวมแล้วในทริปนี้เราจ่าย 8 แสน ทุกค่าใช้จ่ายเราใช้บัตรเครดิตสามี เพราะเป็นบัตรแบบ membership มันได้ cashback กลับมาเยอะ และเราโอนค่าเครื่องและค่าทริปส่วนพ่อแม่เราคืน ซึ่งคือก้อน 5.5 แสน ส่วของเรา สามีเราออก

ทีนี่ สามีเราก็ถามขึ้นว่าใครออกค่าเที่ยวพ่อแม่เรา เทอออกหรอ? เราก็บอกว่าใช่ เทอไม่ต้องออก ชั้นพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง สามีเราก็เงียบ ก็บอกว่าไม่ได้ว่าอะไรถามเฉยๆ เงินเทอก็คือเงินเรา ใครจะออกก็เหมือนกัน แค่อยากรู้ว่าใครออก เราก็เริ่มสะอึกนิดๆละ เราก็ไปบอกแม่ว่าเตรียมเงินดอลมาให้เราบ้าง ให้ต่อหน้าสามีเราให้เห็นว่าพ่อแม่เราก็ช่วย ไม่ได้มาแบบ 10 นิ้ว ให้เขาดูถูกเอาได้ และพ่อแม่เราก็ฐานะดี สามีเราก็รับรู้อยู่ แม่เราก็ตกลงโอเค ถามเราว่าให้ประมาณเท่าไหร่ดีเราบอกว่าสัก 2 แสน ก็น่าจะโอเค โดยเราไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายตามจริง เราคิดคร่าวๆ ว่าปกติ พ่อแม่เราไปทัวร์ยุโรป 10 วัน มันแสนกว่าบาทต่อคน เราว่าช่วยมาคนละ 1 แสน น่าจะโอเค เพราะนี่คือเมกา 14 วัน มันแพงกว่าอยู่แล้ว เราไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เขาเที่ยวรัฐใกล้เคียงและอยู่บ้านเราอีก 15 วัน ซึ่งถ้าคิดจุดนี้ด้วย มันเกิน 6 แสน แน่นอน ในมุมเราคือ จากก้อน 6 แสน เราให้ช่วยแค่ 2 แสน ก็โอเค และนี่ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่มาจากความจำเป็น เช่น ผ่าตัด หรืออะไร มันคือค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยว ซึ่ง luxury ก็โอเค จบไป เราเสียดายเงินนะ เพราะเราก็คือมนุษย์เงินเดือนปกตินี่แหละ แต่คิดว่าไม่เป็นไร เก็บใหม่ได้ อายุเรายังไม่มาก ก็เป็นอะไรที่เรารับผิดชอบได้

จู่ๆวันนี้ไลน์มาหาถามว่า 2 แสนที่จะให้ออกคือค่าอะไร ถ้าจะให้นอนอยู่บ้านเฉยๆ ไม่พาไปไหน แล้วต้องจ่าย 2 แสน จะได้เลื่อนตัวกลับ เพราะเขาลงทองไปสิบล้าน ละดอยทองอยู่ เงินสดเขาไม่มีแล้ว จะมาให้จ่ายอะไรเพิ่มไม่ได้นะ เราก็เริ่มอารมณ์เสียละ นี่คิดว่าเราไถ่เงิน 2 แสน เป็นค่าเช่าบ้านหรือไง เอาสมองหรืออะไรคิด แต่อันนี้เราก็มีส่วนผิดที่ไม่ได้แจ้งเขาว่าจริงๆแล้ว ค่าใช้จ่ายในส่วนเขาคือ 6 แสนนะ แต่เราก็คิดว่าเขาจะมีวิจารณญาณพอเพราะเวลาเขาไปยุโรปแต่ละรอบ มัน 10 กว่าวัน มันก็แสนอัพ  เราก็ไม่ว่าอะไร ก็แจงราคาไปให้ดูว่าแค่ทริป 14 วัน มันก็ประมาณ 5.5 แสนแล้วนะ ถ้าเรากินข้าว 3 มื้อ นอนโรฃแรมกลางๆคืนละ $250 ขึ้นเครื่อง เช่ารถ งั้นเราตัดทริปเล็กมั้ย 4 วัน ก็ประหยัดได้ ประมาณ 30% 4 คน ก็ประหยัดได้หลายแสนนะ แม่เราก็เริ่มดราม่าว่า เพื่อนเขาถามว่าไปไหนบ้าง เขาก็บอกว่าจะไปนู่นไปนี่ ละเรามาตัดทริปเขา  เราก็บอก อ้าว! ไม่อยากจ้างเงิน ก็ต้องลดเที่ยว เวลาพ่อแม่ไปยุโรปแต่ละทีจ่ายไม่ต่ำกว่า 2 แสนอยู่แล้ว ทำไมมาเมกา เที่ยวมากกว่ายุโรป 3 เท่า จ่ายน้อยกว่า ถึงมีปัญหา นี่คือนอนโรงแรมนะ ส่วนที่อยู่บ้าน 15 วัน ไม่ได้เอามาคิดอยู่แล้ว ถึงมันจะมีค่าใช้จ่ายจากการกิน การเที่ยว เพราะคิดว่าอย่างน้อยบ้านฟรี รถฟรี ค่ากินค่าเที่ยวไม่ติด แถมส่วนที่ไปทริป 14 วัน คิดแค่บางส่วนเองนะ ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ เขาบอกว่าไม่เหมือนกัน ไปทัวร์เขาอยู่เยี่ยงราชามีไกส์บริการ สบาย (เลยยอมจ่าย) เรานี่ปี๊ดเลย โคดชัดเจนว่าใครมองครอบครัวเป็นธุรกิจกันแน่ this is the quality and price I am willing to pay

แม่เราก็เริ่มดราม่าว่าทำไมต้องมาคิดเล็กคิดน้อยกับพ่อแม่ เราก็สวนกลับไปว่าใครที่คิดเล็กคิดน้อยกันแน่ และเราก็เริ่มลามเริ่มหยาบคายขึ้นเรื่อยๆ เพราะเรารู้สึกเสียใจว่าทำไมเขาตระหนี่และเห็นแก่ตัวขนาดนี้ คือเขาไม่ได้มองเลยว่าเราหมดกับทริปนี้ไป 8 แสนนะ ในส่วนเขาเองก็ 5-6แสนแล้ว บิสซิเนสคลาส ไทย-US  เที่ยว 14 วัน เขากลับไปมองว่าทำไมเขาต้องจ่าย 2 แสน หลังๆก็ victimze ตัวเอง เราเป็นคนจน ไปเที่ยวเมืองศิวิไลก็ลำบากแบบนี้แหละ สงสารตัวเอง ลูกก็มาคิดเป็นธุรกิจ เราฟังแล้วหลุดกรี๊ดเลย บอกไปตรงๆว่า อย่าพูดแบบนี้เลย มันทุเรศมาก เพราะมันไม่จริง และตอนนี้รู้สึกสมเวชเวทนามาก กับคนอายุขนาดนี้ มีทรัพย์สมบัติแบบนี้ แต่มีทัศนคติเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ขนาดนี้ บอกตรงๆว่าไม่อยากให้มาและไม่อยากเจอหน้า หมดกำลังใจทำสิ่งดีๆให้ แม่เราก็ไม่สามารถรับฟังความเจ็บปวดของเรา ให้อารมณ์ร้องไห้ บล็อกหนี บอกว่าร้องไห้จนจะเป็นลม ตาเป็นต้อมองไม่เห็น หัวใจกำเริบ ใช้การ์ดแม่ไม่ได้ผลตอนนี้มาการ์ดคนแก่ คนพิการ อีก เราสุดจะทนจริงๆ ปากบอกว่าพิการ แก่ จน แต่ demand คือ CEO ปากบอกพอเพียง ตามฐานะ แต่การกระทำไม่ได้ หลักๆเลยคือน่าจะมีปัญหาเรื่องทอง เครียดและลาม

แต่ที่เราเจ็บปวดที่สุด คือการที่ดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ที่เป็น pattern ซ้ำๆ ตั้งแต่เด็ก คือถ้าเราสอบได้ที่ 2 จะถามทันทีใครได้ที่ 1 ทุกๆอย่างจะเป็นรูปแบบนี้ เปลี่ยน context ไป เด็กๆคือความเสียใจ พอโตมา บางครั้งก็ปล่อยวางได้ บางครั้งเราก็ปล่อยวางไม่ได้ จากความเสียใจ เปลี่ยนเป็นความสังเพชและเกลียดชัง ซึ่งเราไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพยายามทำดี มันจะเกิดเป็นสิ่งที่เรียกว่าดีไม่พอ เราถึงรู้ว่าการไม่ทำอะไรให้เขาเลยคือดีที่สุด

ใครที่กำลังเป็นแม่ อยากให้รู้ว่า คุณไม่ใช่ holy spirit ที่ลูกจะต้องมาเทิดทูน คุณก็เป็นมนุษย์คนนึง ที่เกิดมาและตายไป มีดีมีชั่ว อย่าให้คำว่าแม่ entitle ตัวเองว่าสูงส่ง และทุกคนต้องหมุนรอบตัวคุณ คุณไม่ได้สูงส่งและลูกคุณก็ไม่ได้เทวดาตัวน้อย ที่จะเฟอเฟคได้อย่างใจคุณ ทั้งๆที่คุณยังไม่ได้อย่างใจตัวเองเลย ช่วยเมตตามนุษย์ลูก อย่างในฐานะมนุษย์คนนึงที่พึงจะมีให้กัน มนุษย์ที่มีความผิดพลาดและไม่ได้อย่างใจคุณ มนุษย์ที่ดิ้นรนในแต่ละวันเพื่อที่จะพยายามมีความสุข
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่