JJNY : นักข่าวอิสระโดนสื่อฯ ดังไล่ออก│ฟิลิปปินส์-จีนปะทะครั้งใหม่│จี้เรียกเสี่ยเจ้าของรถบรรทุกสอบ│ปั๊มแจงเหตุน้ำมันหมด

นักข่าวอิสระโดนสื่อฯ ดังไล่ออก อ้างพัวพันกลุ่มฮามาสระหว่างลงพื้นที่ในกาซา
https://www.dailynews.co.th/news/2886074/

สำนักข่าวระดับนานาชาติหลายแห่ง รวมทั้งซีเอ็นเอ็น ตัดสินใจยุติการร่วมงานกับนักข่าวอิสระในพื้นที่เขตฉนวนกาซา หลังจากพบว่าเขาอาจฝังตัวอยู่กับกองกำลังฮามาสมาก่อนแล้ว
 
 
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นประกาศยุติการร่วมทำงานกับ ฮัสซัน เอสไลอาห์ นักข่าวอิสระซึ่งทำหน้าที่อยู่ในเขตฉนวนกาซา โดยออกแถลงการณ์วานนี้ (9 พ.ย.) มีเนื้อความระบุว่า สำนักข่าวได้ร่วมงานกับ เอสไลอาห์ ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2566 เมื่อมีเหตุการณ์กองกำลังฮามาสบุกโจมตีพลเรือนในเขตประเทศอิสราเอล ซึ่งสำนักข่าวย้ำว่า เป็นการโจมตีที่สำนักข่าว “ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุว่า “เราไม่รู้มาก่อนว่าจะมีการโจมตีในวันที่ 7 ต.ค. ซึ่ง ฮัสซัน เอลไลอาห์ นักข่าวอิสระผู้เคยร่วมงานกับสำนักข่าวนานาชาติและสำนักข่าวของอิสราเอลหลายแห่ง ไม่ได้ทำงานให้เราในวันที่ 7 ต.ค. และในวันนี้ ทางสำนักข่าวได้ยุติการร่วมงานทุกช่องทางกับเขาแล้ว” 
 
การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานจากกลุ่มเฝ้าระวังที่สนับสนุนฝ่ายอิสราเอล “ออนเนสต์ รีพอร์ตทิง” ระบุชื่อของ เอสไลอาห์ ซึ่งทำงานอยู่ในเขตฉนวนกาซาให้สำนักข่าวหลายแห่ง เช่น ซีเอ็นเอ็น, นิวยอร์กไทมส์, เอพีและรอยเตอรส์ ว่ามีความเกี่ยวพันกับกลุ่มฮามาสและเป็นไปได้ว่าอาจรู้แผนการโจมตีล่วงหน้า นำมาซึ่งคำถามถึงจรรยาบรรณในการทำข่าวของนักข่าวผู้นี้

รายงานของกลุ่มออนเนสต์ รีพอร์ตทิง ระบุว่า เอสไลอาห์ ข้ามพรมแดนเข้ามายังอิสราเอล ถ่ายภาพรถถังอิสราเอลที่กำลังลุกไหม้และภาพของผู้บุกรุกที่กำลังเข้าไปในชุมชนคิบบุตซ์ที่ชื่อว่า คฟาร์ อัซซา 
 
ทางกลุ่มยังสามารถรวบรวมภาพถ่ายหน้าจอจากคลิปวิดีโอที่ เอสไลอาห์ เคยโพสต์ไว้บนบัญชีเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) ของเขา และลบทิ้งไปแล้ว โดยเป็นภาพของตัวเขาเองยืนอยู่หน้ารถถังอิสราเอลโดยไม่ได้สวมทั้งเสื้อกั๊กที่ระบุว่าเป็นสื่อมวลชนและหมวกนิรภัยตามระเบียบ ขณะที่ข้อความภาษาอารบิกที่เขาเขียนกำกับไว้นั้น แปลได้ว่า “ถ่ายทอดสดจากกองกำลังในเขตฉนวนกาซา”

นอกจากนี้ ยังมีภาพที่ไม่ระบุวันที่ของ เอสไลอาห์ ที่โพสท่าถ่ายภาพอย่างชื่นมื่นร่วมกับ ยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำกลุ่มฮามาส เผยแพร่ออกมาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ยิ่งตอกย้ำว่านักข่าวและช่างภาพรายนี้อาจมีความสัมพันธ์กับกลุ่มฮามาสจริง

สำนักข่าวเอพีซึ่งมีการร่วมงานกับ เอสไลอาห์ เช่นกัน ก็ตัดสินยุติความร่วมมือกับเขา หลังจากที่มีรายงานดังกล่าวออกมา โดยออกแถลงการณ์ตัดสัมพันธ์อย่างชัดเจน
 
ด้าน มาร์ค ทอมป์สัน ซีอีโอของซีเอ็นเอ็นที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ไม่นานก็ระบุว่า ทางเครือข่ายสำนักข่าวได้ยกเลิกความร่วมมือกับนักข่าวรายนี้ โดยให้เหตุผลว่าเพิ่งจะรู้ว่า เอสไลอาห์ อาจจะอยู่ในพื้นที่ที่กลุ่มบุกโจมตีพลเรือนอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 ก่อนเกิดเหตุแล้ว พร้อมกับย้ำว่าทางซีเอ็นเอ็นไม่ทราบมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์บุกโจมตีดังกล่าว
 
ที่มา : thewrap.com
 
https://twitter.com/Laurieluvsmolly/status/1722771268921909386



ฟิลิปปินส์-จีนปะทะครั้งใหม่ในน่านน้ำพิพาท
https://tna.mcot.net/world-1270330

มะนิลา 10 พ.ย.- ฟิลิปปินส์และจีนปะทะกันครั้งใหม่ในน่านน้ำพิพาทในทะเลจีนใต้ เมื่อฟิลิปปินส์กล่าวหาหน่วยยามฝั่งจีนว่า คุกคามเรือฟิลิปปินส์ ขณะที่จีนกล่าวหาเรือฟิลิปปินส์ว่า ล่วงล้ำน่านน้ำจีน
 
เหตุปะทะครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในวันนี้ใกล้แนวสันดอนเซกคันด์โทมัส (Second Thomas Shoal) ในหมู่เกาะสแปรตลีย์ โดยเกิดขึ้นเกือบ 3 สัปดาห์หลังจากเรือฟิลิปปินส์และจีนปะทะกันในระหว่างที่เรือฟิลิปปินส์นำเสบียงไปส่งให้กำลังพลที่ประจำการบนแนวสันดอนดังกล่าว คณะทำงานเฉพาะกิจแห่งชาติด้านทะเลฟิลิปปินส์ตะวันตกแถลงวันนี้ว่า เรือหน่วยยามฝั่งจีนได้คุกคามอย่างไร้ความยั้งคิด ขัดขวางและดำเนินการอย่างเป็นอันตราย เพื่อพยายามขัดขวางอย่างผิดกฎหมายต่อการส่งเสบียงของฟิลิปปินส์ที่เกิดขึ้นตามปกติ นอกจากนี้เรือหน่วยยามฝั่งจีนยังได้ฉีดน้ำแรงดันสูงใส่เรือฟิลิปปินส์ด้วย สถานทูตฟิลิปปินส์ในกรุงปักกิ่งของจีนได้ยื่นหนังสือประท้วงต่อกระทรวงต่างประเทศจีนแล้ว
 
ด้านโฆษกหน่วยยามฝั่งจีนแถลงว่า จีนได้ใช้มาตรการควบคุมกับเรือขนส่ง 2 ลำ และเรือหน่วยยามฝั่ง 3 ลำของฟิลิปปินส์ที่ล่วงล้ำน่านน้ำจีน การกระทำของฟิลิปปินส์เป็นการรุกล้ำอธิปไตยทางดินแดนของจีน ขอให้ฟิลิปปินส์ยุติการกระทำดังกล่าวโดยทันที.-สำนักข่าวไทย


 
งานเข้าแล้ว! รรท.รอง ผบช.น. จี้เรียกเสี่ยเจ้าของรถบรรทุกสอบปากคำ สางปมฉาวส่วยสติกเกอร์
https://www.dailynews.co.th/news/2886083/

รรท.รอง ผบช.น. จี้สอบปากคำเจ้าของรถบรรทุก สางปมส่วยสติกเกอร์ รถบรรทุกหนักเกินกำหนด บุกทำถนนกรุงเทพฯ พัง หลังอ้างตกใจไม่พร้อมให้ข้อมูล ส่วนคนขับโดย 2 ข้อหา

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 พ.ย. ที่ สน.พระโขนง พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รรท.รอง ผบช.น. และ พ.ต.อ.วิทวัฒน์ ชินคำ รรท.รอง ผบก.น.5 ประชุมร่วมกับ พ.ต.อ.โอภาส หาญณรงค์ ผกก.สน.พระโขนง และคณะทำงาน ติดตามความคืบหน้าทางคดี รถบรรทุกตกบ่อร้อยสายไฟ บริเวณปากซอย  สุขุมวิท 64/1 

พล.ต.ต.พัลลภ กล่าวว่า หลังชั่งน้ำหนักรถพบว่าบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ได้แจ้งข้อหากับคนขับรถ 2 ข้อหา คือขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินเสียหาย และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ สำหรับเจ้าของรถ ตำรวจติดต่อมาสอบปากคำในวันนี้ ส่วนสาเหตุที่เชิญมาล่าช้า เนื่องจากเจ้าของรถอ้างว่าตกใจ และยังไม่พร้อมให้ข้อมูล

ส่วนกรณีที่มีการเปิดเผยภาพคลิปวิดีโอว่า ในช่วงกลางดึกของคืนวันเกิดเหตุ มีคนงานนำถังแกลลอนมาถ่ายน้ำมันออกจากรถบรรทุกคันเกิดเหตุที่จอดไว้ตรงข้าม สน.พระโขนง นั้น ฝ่ายสืบสวนได้ติดตามตัวบุคคลในคลิปมาสอบปากคำแล้ว ได้ให้การว่า ได้รับคำสั่งมาให้ถ่ายน้ำมันออกจากถัง เนื่องจากตัวถังได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ จึงเกรงว่าน้ำมันอาจรั่วจนเกิดอันตราย และได้นำน้ำมันของกลางมาส่งคืนให้กับพนักงานสอบสวนแล้ว พร้อมยืนยันว่าไม่มีเจตนาจะอำพรางทำให้น้ำหนักรถลดลง แต่ก็ยังต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หากพบว่าพยายามถ่ายน้ำหนักรถเพื่อเลี่ยงการถูกตรวจสอบก็จะดำเนินคดี

หลังจากนี้จะตรวจสอบประเด็นความผิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อแจ้งข้อหาเพิ่มเติม โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ทั้งเรื่อง การดัดแปลงต่อเติมอุปกรณ์เสริมพ่วงส่วนอื่น ๆ ที่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ และในส่วนของบ่อพัก ที่อยู่ในความรับผิดชอบของการไฟฟ้านครหลวง การก่อสร้างมีความถูกต้องตามหลักวิศวกรรมหรือไม่ โดยหลังจากนี้จะต้องให้ทางสภาวิศวกรรมเข้ามาตรวจสอบ

ส่วนเรื่องส่วยสติกเกอร์ ทาง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบก.น. ได้กำชับ และมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบในเรื่องนี้แล้ว รวมถึง ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งมอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติตรวจสอบเรื่องนี้ ควบคู่กันไปด้วย แต่การสอบสวนเบื้องต้นทางคนขับรถให้การว่า ทางผู้ประกอบการเจ้าของรถบรรทุกได้ติดสติกเกอร์ทำสัญลักษณ์ให้รู้ว่าเป็นรถของตัวเอง ที่จะเข้ามาตักดินภายในไซต์งาน เนื่องจากมีรถจำนวนหลายคัน หากพบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตรับผลประโยชน์ (ส่วยสติกเกอร์) จะดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยไม่ละเว้น แต่ต้องใช้เวลาในการทำงาน
 
ขณะที่รถคันอื่นๆ ของผู้ประกอบการเจ้าของรถบรรทุกที่มีรายงานข่าวว่า มีจำนวนอยู่ประมาณ 6 ถึง 7 คัน หากไม่ได้บรรทุกน้ำหนักเกินที่กฎหมายกำหนด หรือไม่มีสิ่งใดผิดกฎหมาย ก็สามารถดำเนินประกอบการได้ตามปกติ แต่เจ้าหน้าที่อาจจะต้องเข้มงวดตรวจตราตามเส้นทางเพิ่มมากขึ้น ส่วนเส้นทางที่รถบรรทุกคันดังกล่าว จะนำดินไปไว้พื้นที่ไหนนั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวนเพื่อความชัดเจน

ขณะที่กรณีการสอบปากคำคนขับรถบรรทุก หากให้การไปถึงเจ้าของรถว่า บังคับให้ขนส่งน้ำหนักเกินกฎหมายกำหนด ก็ต้องดำเนินคดี ในส่วนนี้กับเจ้าของรถบรรทุกด้วย แต่การสอบปากคำในเบื้องต้น ยังไม่มีการซัดทอดถึงเจ้าของรถบรรทุก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่