นักข่าวอิสระโดนสื่อฯ ดังไล่ออก อ้างพัวพันกลุ่มฮามาสระหว่างลงพื้นที่ในกาซา
https://www.dailynews.co.th/news/2886074/
สำนักข่าวระดับนานาชาติหลายแห่ง รวมทั้งซีเอ็นเอ็น ตัดสินใจยุติการร่วมงานกับนักข่าวอิสระในพื้นที่เขตฉนวนกาซา หลังจากพบว่าเขาอาจฝังตัวอยู่กับกองกำลังฮามาสมาก่อนแล้ว
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นประกาศยุติการร่วมทำงานกับ
ฮัสซัน เอสไลอาห์ นักข่าวอิสระซึ่งทำหน้าที่อยู่ในเขตฉนวนกาซา โดยออกแถลงการณ์วานนี้ (9 พ.ย.) มีเนื้อความระบุว่า สำนักข่าวได้ร่วมงานกับ
เอสไลอาห์ ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2566 เมื่อมีเหตุการณ์กองกำลังฮามาสบุกโจมตีพลเรือนในเขตประเทศอิสราเอล ซึ่งสำนักข่าวย้ำว่า เป็นการโจมตีที่สำนักข่าว “
ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน”
ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุว่า “
เราไม่รู้มาก่อนว่าจะมีการโจมตีในวันที่ 7 ต.ค. ซึ่ง ฮัสซัน เอลไลอาห์ นักข่าวอิสระผู้เคยร่วมงานกับสำนักข่าวนานาชาติและสำนักข่าวของอิสราเอลหลายแห่ง ไม่ได้ทำงานให้เราในวันที่ 7 ต.ค. และในวันนี้ ทางสำนักข่าวได้ยุติการร่วมงานทุกช่องทางกับเขาแล้ว”
การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานจากกลุ่มเฝ้าระวังที่สนับสนุนฝ่ายอิสราเอล “
ออนเนสต์ รีพอร์ตทิง” ระบุชื่อของ
เอสไลอาห์ ซึ่งทำงานอยู่ในเขตฉนวนกาซาให้สำนักข่าวหลายแห่ง เช่น ซีเอ็นเอ็น, นิวยอร์กไทมส์, เอพีและรอยเตอรส์ ว่ามีความเกี่ยวพันกับกลุ่มฮามาสและเป็นไปได้ว่าอาจรู้แผนการโจมตีล่วงหน้า นำมาซึ่งคำถามถึงจรรยาบรรณในการทำข่าวของนักข่าวผู้นี้
รายงานของกลุ่มออนเนสต์ รีพอร์ตทิง ระบุว่า
เอสไลอาห์ ข้ามพรมแดนเข้ามายังอิสราเอล ถ่ายภาพรถถังอิสราเอลที่กำลังลุกไหม้และภาพของผู้บุกรุกที่กำลังเข้าไปในชุมชนคิบบุตซ์ที่ชื่อว่า
คฟาร์ อัซซา
ทางกลุ่มยังสามารถรวบรวมภาพถ่ายหน้าจอจากคลิปวิดีโอที่ เ
อสไลอาห์ เคยโพสต์ไว้บนบัญชีเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) ของเขา และลบทิ้งไปแล้ว โดยเป็นภาพของตัวเขาเองยืนอยู่หน้ารถถังอิสราเอลโดยไม่ได้สวมทั้งเสื้อกั๊กที่ระบุว่าเป็นสื่อมวลชนและหมวกนิรภัยตามระเบียบ ขณะที่ข้อความภาษาอารบิกที่เขาเขียนกำกับไว้นั้น แปลได้ว่า “
ถ่ายทอดสดจากกองกำลังในเขตฉนวนกาซา”
นอกจากนี้ ยังมีภาพที่ไม่ระบุวันที่ของ
เอสไลอาห์ ที่โพสท่าถ่ายภาพอย่างชื่นมื่นร่วมกับ
ยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำกลุ่มฮามาส เผยแพร่ออกมาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ยิ่งตอกย้ำว่านักข่าวและช่างภาพรายนี้อาจมีความสัมพันธ์กับกลุ่มฮามาสจริง
สำนักข่าวเอพีซึ่งมีการร่วมงานกับ
เอสไลอาห์ เช่นกัน ก็ตัดสินยุติความร่วมมือกับเขา หลังจากที่มีรายงานดังกล่าวออกมา โดยออกแถลงการณ์ตัดสัมพันธ์อย่างชัดเจน
ด้าน
มาร์ค ทอมป์สัน ซีอีโอของซีเอ็นเอ็นที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ไม่นานก็ระบุว่า ทางเครือข่ายสำนักข่าวได้ยกเลิกความร่วมมือกับนักข่าวรายนี้ โดยให้เหตุผลว่าเพิ่งจะรู้ว่า
เอสไลอาห์ อาจจะอยู่ในพื้นที่ที่กลุ่มบุกโจมตีพลเรือนอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 ก่อนเกิดเหตุแล้ว พร้อมกับย้ำว่าทางซีเอ็นเอ็นไม่ทราบมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์บุกโจมตีดังกล่าว
ที่มา :
thewrap.com
https://twitter.com/Laurieluvsmolly/status/1722771268921909386
ฟิลิปปินส์-จีนปะทะครั้งใหม่ในน่านน้ำพิพาท
https://tna.mcot.net/world-1270330
มะนิลา 10 พ.ย.- ฟิลิปปินส์และจีนปะทะกันครั้งใหม่ในน่านน้ำพิพาทในทะเลจีนใต้ เมื่อฟิลิปปินส์กล่าวหาหน่วยยามฝั่งจีนว่า คุกคามเรือฟิลิปปินส์ ขณะที่จีนกล่าวหาเรือฟิลิปปินส์ว่า ล่วงล้ำน่านน้ำจีน
เหตุปะทะครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในวันนี้ใกล้แนวสันดอนเซกคันด์โทมัส (Second Thomas Shoal) ในหมู่เกาะสแปรตลีย์ โดยเกิดขึ้นเกือบ 3 สัปดาห์หลังจากเรือฟิลิปปินส์และจีนปะทะกันในระหว่างที่เรือฟิลิปปินส์นำเสบียงไปส่งให้กำลังพลที่ประจำการบนแนวสันดอนดังกล่าว คณะทำงานเฉพาะกิจแห่งชาติด้านทะเลฟิลิปปินส์ตะวันตกแถลงวันนี้ว่า เรือหน่วยยามฝั่งจีนได้คุกคามอย่างไร้ความยั้งคิด ขัดขวางและดำเนินการอย่างเป็นอันตราย เพื่อพยายามขัดขวางอย่างผิดกฎหมายต่อการส่งเสบียงของฟิลิปปินส์ที่เกิดขึ้นตามปกติ นอกจากนี้เรือหน่วยยามฝั่งจีนยังได้ฉีดน้ำแรงดันสูงใส่เรือฟิลิปปินส์ด้วย สถานทูตฟิลิปปินส์ในกรุงปักกิ่งของจีนได้ยื่นหนังสือประท้วงต่อกระทรวงต่างประเทศจีนแล้ว
ด้านโฆษกหน่วยยามฝั่งจีนแถลงว่า จีนได้ใช้มาตรการควบคุมกับเรือขนส่ง 2 ลำ และเรือหน่วยยามฝั่ง 3 ลำของฟิลิปปินส์ที่ล่วงล้ำน่านน้ำจีน การกระทำของฟิลิปปินส์เป็นการรุกล้ำอธิปไตยทางดินแดนของจีน ขอให้ฟิลิปปินส์ยุติการกระทำดังกล่าวโดยทันที.-สำนักข่าวไทย
งานเข้าแล้ว! รรท.รอง ผบช.น. จี้เรียกเสี่ยเจ้าของรถบรรทุกสอบปากคำ สางปมฉาวส่วยสติกเกอร์
https://www.dailynews.co.th/news/2886083/
รรท.รอง ผบช.น. จี้สอบปากคำเจ้าของรถบรรทุก สางปมส่วยสติกเกอร์ รถบรรทุกหนักเกินกำหนด บุกทำถนนกรุงเทพฯ พัง หลังอ้างตกใจไม่พร้อมให้ข้อมูล ส่วนคนขับโดย 2 ข้อหา
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 พ.ย. ที่ สน.พระโขนง พล.ต.ต.
พัลลภ แอร่มหล้า รรท.รอง ผบช.น. และ พ.ต.อ.
วิทวัฒน์ ชินคำ รรท.รอง ผบก.น.5 ประชุมร่วมกับ พ.ต.อ.
โอภาส หาญณรงค์ ผกก.สน.พระโขนง และคณะทำงาน ติดตามความคืบหน้าทางคดี รถบรรทุกตกบ่อร้อยสายไฟ บริเวณปากซอย สุขุมวิท 64/1
พล.ต.ต.
พัลลภ กล่าวว่า หลังชั่งน้ำหนักรถพบว่าบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ได้แจ้งข้อหากับคนขับรถ 2 ข้อหา คือขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินเสียหาย และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ สำหรับเจ้าของรถ ตำรวจติดต่อมาสอบปากคำในวันนี้ ส่วนสาเหตุที่เชิญมาล่าช้า เนื่องจากเจ้าของรถอ้างว่าตกใจ และยังไม่พร้อมให้ข้อมูล
ส่วนกรณีที่มีการเปิดเผยภาพคลิปวิดีโอว่า ในช่วงกลางดึกของคืนวันเกิดเหตุ มีคนงานนำถังแกลลอนมาถ่ายน้ำมันออกจากรถบรรทุกคันเกิดเหตุที่จอดไว้ตรงข้าม สน.พระโขนง นั้น ฝ่ายสืบสวนได้ติดตามตัวบุคคลในคลิปมาสอบปากคำแล้ว ได้ให้การว่า ได้รับคำสั่งมาให้ถ่ายน้ำมันออกจากถัง เนื่องจากตัวถังได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ จึงเกรงว่าน้ำมันอาจรั่วจนเกิดอันตราย และได้นำน้ำมันของกลางมาส่งคืนให้กับพนักงานสอบสวนแล้ว พร้อมยืนยันว่าไม่มีเจตนาจะอำพรางทำให้น้ำหนักรถลดลง แต่ก็ยังต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หากพบว่าพยายามถ่ายน้ำหนักรถเพื่อเลี่ยงการถูกตรวจสอบก็จะดำเนินคดี
หลังจากนี้จะตรวจสอบประเด็นความผิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อแจ้งข้อหาเพิ่มเติม โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ทั้งเรื่อง การดัดแปลงต่อเติมอุปกรณ์เสริมพ่วงส่วนอื่น ๆ ที่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ และในส่วนของบ่อพัก ที่อยู่ในความรับผิดชอบของการไฟฟ้านครหลวง การก่อสร้างมีความถูกต้องตามหลักวิศวกรรมหรือไม่ โดยหลังจากนี้จะต้องให้ทางสภาวิศวกรรมเข้ามาตรวจสอบ
ส่วนเรื่องส่วยสติกเกอร์ ทาง พล.ต.ท.
ธิติ แสงสว่าง ผบก.น. ได้กำชับ และมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบในเรื่องนี้แล้ว รวมถึง ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งมอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติตรวจสอบเรื่องนี้ ควบคู่กันไปด้วย แต่การสอบสวนเบื้องต้นทางคนขับรถให้การว่า ทางผู้ประกอบการเจ้าของรถบรรทุกได้ติดสติกเกอร์ทำสัญลักษณ์ให้รู้ว่าเป็นรถของตัวเอง ที่จะเข้ามาตักดินภายในไซต์งาน เนื่องจากมีรถจำนวนหลายคัน หากพบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตรับผลประโยชน์ (ส่วยสติกเกอร์) จะดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยไม่ละเว้น แต่ต้องใช้เวลาในการทำงาน
ขณะที่รถคันอื่นๆ ของผู้ประกอบการเจ้าของรถบรรทุกที่มีรายงานข่าวว่า มีจำนวนอยู่ประมาณ 6 ถึง 7 คัน หากไม่ได้บรรทุกน้ำหนักเกินที่กฎหมายกำหนด หรือไม่มีสิ่งใดผิดกฎหมาย ก็สามารถดำเนินประกอบการได้ตามปกติ แต่เจ้าหน้าที่อาจจะต้องเข้มงวดตรวจตราตามเส้นทางเพิ่มมากขึ้น ส่วนเส้นทางที่รถบรรทุกคันดังกล่าว จะนำดินไปไว้พื้นที่ไหนนั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวนเพื่อความชัดเจน
ขณะที่กรณีการสอบปากคำคนขับรถบรรทุก หากให้การไปถึงเจ้าของรถว่า บังคับให้ขนส่งน้ำหนักเกินกฎหมายกำหนด ก็ต้องดำเนินคดี ในส่วนนี้กับเจ้าของรถบรรทุกด้วย แต่การสอบปากคำในเบื้องต้น ยังไม่มีการซัดทอดถึงเจ้าของรถบรรทุก
JJNY : นักข่าวอิสระโดนสื่อฯ ดังไล่ออก│ฟิลิปปินส์-จีนปะทะครั้งใหม่│จี้เรียกเสี่ยเจ้าของรถบรรทุกสอบ│ปั๊มแจงเหตุน้ำมันหมด
https://www.dailynews.co.th/news/2886074/
สำนักข่าวระดับนานาชาติหลายแห่ง รวมทั้งซีเอ็นเอ็น ตัดสินใจยุติการร่วมงานกับนักข่าวอิสระในพื้นที่เขตฉนวนกาซา หลังจากพบว่าเขาอาจฝังตัวอยู่กับกองกำลังฮามาสมาก่อนแล้ว
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นประกาศยุติการร่วมทำงานกับ ฮัสซัน เอสไลอาห์ นักข่าวอิสระซึ่งทำหน้าที่อยู่ในเขตฉนวนกาซา โดยออกแถลงการณ์วานนี้ (9 พ.ย.) มีเนื้อความระบุว่า สำนักข่าวได้ร่วมงานกับ เอสไลอาห์ ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2566 เมื่อมีเหตุการณ์กองกำลังฮามาสบุกโจมตีพลเรือนในเขตประเทศอิสราเอล ซึ่งสำนักข่าวย้ำว่า เป็นการโจมตีที่สำนักข่าว “ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน”
ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุว่า “เราไม่รู้มาก่อนว่าจะมีการโจมตีในวันที่ 7 ต.ค. ซึ่ง ฮัสซัน เอลไลอาห์ นักข่าวอิสระผู้เคยร่วมงานกับสำนักข่าวนานาชาติและสำนักข่าวของอิสราเอลหลายแห่ง ไม่ได้ทำงานให้เราในวันที่ 7 ต.ค. และในวันนี้ ทางสำนักข่าวได้ยุติการร่วมงานทุกช่องทางกับเขาแล้ว”
การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานจากกลุ่มเฝ้าระวังที่สนับสนุนฝ่ายอิสราเอล “ออนเนสต์ รีพอร์ตทิง” ระบุชื่อของ เอสไลอาห์ ซึ่งทำงานอยู่ในเขตฉนวนกาซาให้สำนักข่าวหลายแห่ง เช่น ซีเอ็นเอ็น, นิวยอร์กไทมส์, เอพีและรอยเตอรส์ ว่ามีความเกี่ยวพันกับกลุ่มฮามาสและเป็นไปได้ว่าอาจรู้แผนการโจมตีล่วงหน้า นำมาซึ่งคำถามถึงจรรยาบรรณในการทำข่าวของนักข่าวผู้นี้
รายงานของกลุ่มออนเนสต์ รีพอร์ตทิง ระบุว่า เอสไลอาห์ ข้ามพรมแดนเข้ามายังอิสราเอล ถ่ายภาพรถถังอิสราเอลที่กำลังลุกไหม้และภาพของผู้บุกรุกที่กำลังเข้าไปในชุมชนคิบบุตซ์ที่ชื่อว่า คฟาร์ อัซซา
ทางกลุ่มยังสามารถรวบรวมภาพถ่ายหน้าจอจากคลิปวิดีโอที่ เอสไลอาห์ เคยโพสต์ไว้บนบัญชีเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) ของเขา และลบทิ้งไปแล้ว โดยเป็นภาพของตัวเขาเองยืนอยู่หน้ารถถังอิสราเอลโดยไม่ได้สวมทั้งเสื้อกั๊กที่ระบุว่าเป็นสื่อมวลชนและหมวกนิรภัยตามระเบียบ ขณะที่ข้อความภาษาอารบิกที่เขาเขียนกำกับไว้นั้น แปลได้ว่า “ถ่ายทอดสดจากกองกำลังในเขตฉนวนกาซา”
นอกจากนี้ ยังมีภาพที่ไม่ระบุวันที่ของ เอสไลอาห์ ที่โพสท่าถ่ายภาพอย่างชื่นมื่นร่วมกับ ยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำกลุ่มฮามาส เผยแพร่ออกมาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ยิ่งตอกย้ำว่านักข่าวและช่างภาพรายนี้อาจมีความสัมพันธ์กับกลุ่มฮามาสจริง
สำนักข่าวเอพีซึ่งมีการร่วมงานกับ เอสไลอาห์ เช่นกัน ก็ตัดสินยุติความร่วมมือกับเขา หลังจากที่มีรายงานดังกล่าวออกมา โดยออกแถลงการณ์ตัดสัมพันธ์อย่างชัดเจน
ด้าน มาร์ค ทอมป์สัน ซีอีโอของซีเอ็นเอ็นที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ไม่นานก็ระบุว่า ทางเครือข่ายสำนักข่าวได้ยกเลิกความร่วมมือกับนักข่าวรายนี้ โดยให้เหตุผลว่าเพิ่งจะรู้ว่า เอสไลอาห์ อาจจะอยู่ในพื้นที่ที่กลุ่มบุกโจมตีพลเรือนอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 ก่อนเกิดเหตุแล้ว พร้อมกับย้ำว่าทางซีเอ็นเอ็นไม่ทราบมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์บุกโจมตีดังกล่าว
ที่มา : thewrap.com
https://twitter.com/Laurieluvsmolly/status/1722771268921909386
ฟิลิปปินส์-จีนปะทะครั้งใหม่ในน่านน้ำพิพาท
https://tna.mcot.net/world-1270330
มะนิลา 10 พ.ย.- ฟิลิปปินส์และจีนปะทะกันครั้งใหม่ในน่านน้ำพิพาทในทะเลจีนใต้ เมื่อฟิลิปปินส์กล่าวหาหน่วยยามฝั่งจีนว่า คุกคามเรือฟิลิปปินส์ ขณะที่จีนกล่าวหาเรือฟิลิปปินส์ว่า ล่วงล้ำน่านน้ำจีน
เหตุปะทะครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในวันนี้ใกล้แนวสันดอนเซกคันด์โทมัส (Second Thomas Shoal) ในหมู่เกาะสแปรตลีย์ โดยเกิดขึ้นเกือบ 3 สัปดาห์หลังจากเรือฟิลิปปินส์และจีนปะทะกันในระหว่างที่เรือฟิลิปปินส์นำเสบียงไปส่งให้กำลังพลที่ประจำการบนแนวสันดอนดังกล่าว คณะทำงานเฉพาะกิจแห่งชาติด้านทะเลฟิลิปปินส์ตะวันตกแถลงวันนี้ว่า เรือหน่วยยามฝั่งจีนได้คุกคามอย่างไร้ความยั้งคิด ขัดขวางและดำเนินการอย่างเป็นอันตราย เพื่อพยายามขัดขวางอย่างผิดกฎหมายต่อการส่งเสบียงของฟิลิปปินส์ที่เกิดขึ้นตามปกติ นอกจากนี้เรือหน่วยยามฝั่งจีนยังได้ฉีดน้ำแรงดันสูงใส่เรือฟิลิปปินส์ด้วย สถานทูตฟิลิปปินส์ในกรุงปักกิ่งของจีนได้ยื่นหนังสือประท้วงต่อกระทรวงต่างประเทศจีนแล้ว
ด้านโฆษกหน่วยยามฝั่งจีนแถลงว่า จีนได้ใช้มาตรการควบคุมกับเรือขนส่ง 2 ลำ และเรือหน่วยยามฝั่ง 3 ลำของฟิลิปปินส์ที่ล่วงล้ำน่านน้ำจีน การกระทำของฟิลิปปินส์เป็นการรุกล้ำอธิปไตยทางดินแดนของจีน ขอให้ฟิลิปปินส์ยุติการกระทำดังกล่าวโดยทันที.-สำนักข่าวไทย
งานเข้าแล้ว! รรท.รอง ผบช.น. จี้เรียกเสี่ยเจ้าของรถบรรทุกสอบปากคำ สางปมฉาวส่วยสติกเกอร์
https://www.dailynews.co.th/news/2886083/
รรท.รอง ผบช.น. จี้สอบปากคำเจ้าของรถบรรทุก สางปมส่วยสติกเกอร์ รถบรรทุกหนักเกินกำหนด บุกทำถนนกรุงเทพฯ พัง หลังอ้างตกใจไม่พร้อมให้ข้อมูล ส่วนคนขับโดย 2 ข้อหา
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 พ.ย. ที่ สน.พระโขนง พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รรท.รอง ผบช.น. และ พ.ต.อ.วิทวัฒน์ ชินคำ รรท.รอง ผบก.น.5 ประชุมร่วมกับ พ.ต.อ.โอภาส หาญณรงค์ ผกก.สน.พระโขนง และคณะทำงาน ติดตามความคืบหน้าทางคดี รถบรรทุกตกบ่อร้อยสายไฟ บริเวณปากซอย สุขุมวิท 64/1
พล.ต.ต.พัลลภ กล่าวว่า หลังชั่งน้ำหนักรถพบว่าบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ได้แจ้งข้อหากับคนขับรถ 2 ข้อหา คือขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินเสียหาย และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ สำหรับเจ้าของรถ ตำรวจติดต่อมาสอบปากคำในวันนี้ ส่วนสาเหตุที่เชิญมาล่าช้า เนื่องจากเจ้าของรถอ้างว่าตกใจ และยังไม่พร้อมให้ข้อมูล
ส่วนกรณีที่มีการเปิดเผยภาพคลิปวิดีโอว่า ในช่วงกลางดึกของคืนวันเกิดเหตุ มีคนงานนำถังแกลลอนมาถ่ายน้ำมันออกจากรถบรรทุกคันเกิดเหตุที่จอดไว้ตรงข้าม สน.พระโขนง นั้น ฝ่ายสืบสวนได้ติดตามตัวบุคคลในคลิปมาสอบปากคำแล้ว ได้ให้การว่า ได้รับคำสั่งมาให้ถ่ายน้ำมันออกจากถัง เนื่องจากตัวถังได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ จึงเกรงว่าน้ำมันอาจรั่วจนเกิดอันตราย และได้นำน้ำมันของกลางมาส่งคืนให้กับพนักงานสอบสวนแล้ว พร้อมยืนยันว่าไม่มีเจตนาจะอำพรางทำให้น้ำหนักรถลดลง แต่ก็ยังต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หากพบว่าพยายามถ่ายน้ำหนักรถเพื่อเลี่ยงการถูกตรวจสอบก็จะดำเนินคดี
หลังจากนี้จะตรวจสอบประเด็นความผิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อแจ้งข้อหาเพิ่มเติม โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ทั้งเรื่อง การดัดแปลงต่อเติมอุปกรณ์เสริมพ่วงส่วนอื่น ๆ ที่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ และในส่วนของบ่อพัก ที่อยู่ในความรับผิดชอบของการไฟฟ้านครหลวง การก่อสร้างมีความถูกต้องตามหลักวิศวกรรมหรือไม่ โดยหลังจากนี้จะต้องให้ทางสภาวิศวกรรมเข้ามาตรวจสอบ
ส่วนเรื่องส่วยสติกเกอร์ ทาง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบก.น. ได้กำชับ และมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบในเรื่องนี้แล้ว รวมถึง ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งมอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติตรวจสอบเรื่องนี้ ควบคู่กันไปด้วย แต่การสอบสวนเบื้องต้นทางคนขับรถให้การว่า ทางผู้ประกอบการเจ้าของรถบรรทุกได้ติดสติกเกอร์ทำสัญลักษณ์ให้รู้ว่าเป็นรถของตัวเอง ที่จะเข้ามาตักดินภายในไซต์งาน เนื่องจากมีรถจำนวนหลายคัน หากพบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตรับผลประโยชน์ (ส่วยสติกเกอร์) จะดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยไม่ละเว้น แต่ต้องใช้เวลาในการทำงาน
ขณะที่รถคันอื่นๆ ของผู้ประกอบการเจ้าของรถบรรทุกที่มีรายงานข่าวว่า มีจำนวนอยู่ประมาณ 6 ถึง 7 คัน หากไม่ได้บรรทุกน้ำหนักเกินที่กฎหมายกำหนด หรือไม่มีสิ่งใดผิดกฎหมาย ก็สามารถดำเนินประกอบการได้ตามปกติ แต่เจ้าหน้าที่อาจจะต้องเข้มงวดตรวจตราตามเส้นทางเพิ่มมากขึ้น ส่วนเส้นทางที่รถบรรทุกคันดังกล่าว จะนำดินไปไว้พื้นที่ไหนนั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวนเพื่อความชัดเจน
ขณะที่กรณีการสอบปากคำคนขับรถบรรทุก หากให้การไปถึงเจ้าของรถว่า บังคับให้ขนส่งน้ำหนักเกินกฎหมายกำหนด ก็ต้องดำเนินคดี ในส่วนนี้กับเจ้าของรถบรรทุกด้วย แต่การสอบปากคำในเบื้องต้น ยังไม่มีการซัดทอดถึงเจ้าของรถบรรทุก