น่ายินดีหลังทราบข้อมูลจากฝ่ายกำกับและตรวจสอบความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ว่า ความเสียหายจาก “แอปพลิเคชั่นดูดเงิน” มีแนวโน้มลดลง โดยในเดือน ก.ย. 2566 พบว่าจำนวนผู้เสียหายลดลงกว่า 30% เมื่อเทียบกับต้นปี และมูลค่าความเสียหายลดลง 53% ทั้งนี้ ตัวเลขจำนวนผู้เสียหาย ณ เดือน ก.ย. 2566 อยู่ที่ 1,300 ราย และมูลค่าความเสียหายอยู่ที่ 85 ล้านบาท
“ตัวเลขของแบงก์ต่าง ๆ มีทิศทางลดลงหมด”ขณะที่ตัวเลขการอายัดเงินจากบัญชีผู้กระทำผิดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 20.6% หรือสามารถอายัดเพิ่มขึ้น 5 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเดือน มี.ค. 2566 ที่ขณะนั้นมีการอายัดเงินอยู่ที่ 3.9% ของหมายที่มีการแจ้งให้ธนาคารอายัด
สถิติเหล่านี้เกิดขึ้นภายหลังการบังคับใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566
โดยคุณ “ภิญโญ ตรีเพชราภรณ์” ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับและตรวจสอบความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ธปท. อธิบายว่า
“การอายัดที่เพิ่มขึ้นจากราว 4% เป็น 20% น่าจะมาจาก 2 ส่วนคือ พ.ร.ก.ที่ทำให้เหยื่อสามารถ โทร.ไปที่ธนาคาร เพื่ออายัดและระงับบัญชีธุรกรรม
ได้ทันที เพราะจากเดิมจะต้องไปแจ้งตำรวจ อันนี้ก็สามารถลดเวลา และด้วยมาตรการสแกนใบหน้า ทำให้บัญชีม้าจากเดิมที่สามารถโอนเงิน
ได้เต็มวงเงิน แต่พอมีมาตรการสแกนใบหน้า ทำให้ไม่สามารถโอนเงินได้เต็มวงเงิน โดยโอนได้ไม่เกิน 2 แสนบาทต่อวัน ทำให้เงินที่ค้างอยู่
สามารถระงับได้ทัน”
นอกจากนี้ ภาครัฐมีการตั้งศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ ที่เรียกว่า “AOC” หรือ Anti Online Scam Operation Center ซึ่งจะรวมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน สามารถแจ้งดำเนินการอายัดบัญชีไปที่เบอร์เดียว คือ โทร.1441 โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือน พ.ย.นี้ เป็นต้นไป
ก็น่ายินดีที่มาตรการที่พยายามทำกันดูจะได้ผล แต่อีกมุมหนึ่งก็คือ “มิจฉาชีพไม่หยุดนิ่ง” ยังพยายามหากลโกง วิธีการหลอกลวงใหม่ ๆ อยู่ตลอด
ล่าสุดมีการอ้างว่า โทร.จากแบงก์บ้าง หลอกให้สแกนหน้าบ้าง ฯลฯ เรียกได้ว่า สารพัดจะสรรหามาหลอกลวง
นอกจากการหลอกลวงเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ทั่วไปแล้ว ทุกวันนี้ในตลาดทุนก็มีการหลอกลวงมากไม่แพ้กัน
ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แถลงเปิด “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” โทร.1207 กด 22
สำหรับเป็นช่องทางในการรับแจ้งเบาะแสการหลอกลวง ในตลาดทุนจากประชาชนได้โดยตรง
โดยผนึกกำลังพันธมิตรในตลาดทุนร่วมแจ้งเบาะแส และประสานความร่วมมือกับศูนย์ AOC กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มุ่งเป้าเร่งปิดบัญชีม้า รวมทั้งผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ในการปิดกั้นเนื้อหาของมิจฉาชีพโดยเร็ว เพื่อช่วยเหลือประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
และป้องกันความเสียหายจากการถูกหลอกลวงลงทุน
ทั้งหมดนี้ หน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็คงต้อง “ตามให้ทัน” และต้องทำงาน “เชิงรุก” มากขึ้น อย่าไปรอ “ตั้งรับ” อย่างเดียว…ต้อง “ก้าว” ให้เร็วกว่ามิจฉาชีพ ประชาชนถึงจะอุ่นใจได้ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แถลงเปิด “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” โทร.1207 กด 22 สำหรับเป็นช่องทางในการรับแจ้งเบาะแสการหลอกลวงในตลาดทุนจากประชาชนได้โดยตรง
โดยผนึกกำลังพันธมิตรในตลาดทุนร่วมแจ้งเบาะแส และประสานความร่วมมือกับศูนย์ AOC กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มุ่งเป้าเร่งปิดบัญชีม้า รวมทั้งผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ในการปิดกั้นเนื้อหาของมิจฉาชีพโดยเร็ว เพื่อช่วยเหลือประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
และป้องกันความเสียหายจากการถูกหลอกลวงลงทุน
ทั้งหมดนี้ หน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็คงต้อง “ตามให้ทัน” และต้องทำงาน “เชิงรุก” มากขึ้น อย่าไปรอ “ตั้งรับ” อย่างเดียว…ต้อง “ก้าว” ให้เร็วกว่ามิจฉาชีพ ประชาชนถึงจะอุ่นใจได้
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.prachachat.net/columns/news-1431805
ก้าวให้เร็วกว่า “มิจฉาชีพ”
น่ายินดีหลังทราบข้อมูลจากฝ่ายกำกับและตรวจสอบความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ว่า ความเสียหายจาก “แอปพลิเคชั่นดูดเงิน” มีแนวโน้มลดลง โดยในเดือน ก.ย. 2566 พบว่าจำนวนผู้เสียหายลดลงกว่า 30% เมื่อเทียบกับต้นปี และมูลค่าความเสียหายลดลง 53% ทั้งนี้ ตัวเลขจำนวนผู้เสียหาย ณ เดือน ก.ย. 2566 อยู่ที่ 1,300 ราย และมูลค่าความเสียหายอยู่ที่ 85 ล้านบาท
“ตัวเลขของแบงก์ต่าง ๆ มีทิศทางลดลงหมด”ขณะที่ตัวเลขการอายัดเงินจากบัญชีผู้กระทำผิดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 20.6% หรือสามารถอายัดเพิ่มขึ้น 5 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเดือน มี.ค. 2566 ที่ขณะนั้นมีการอายัดเงินอยู่ที่ 3.9% ของหมายที่มีการแจ้งให้ธนาคารอายัด
สถิติเหล่านี้เกิดขึ้นภายหลังการบังคับใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566
โดยคุณ “ภิญโญ ตรีเพชราภรณ์” ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับและตรวจสอบความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ธปท. อธิบายว่า
“การอายัดที่เพิ่มขึ้นจากราว 4% เป็น 20% น่าจะมาจาก 2 ส่วนคือ พ.ร.ก.ที่ทำให้เหยื่อสามารถ โทร.ไปที่ธนาคาร เพื่ออายัดและระงับบัญชีธุรกรรม
ได้ทันที เพราะจากเดิมจะต้องไปแจ้งตำรวจ อันนี้ก็สามารถลดเวลา และด้วยมาตรการสแกนใบหน้า ทำให้บัญชีม้าจากเดิมที่สามารถโอนเงิน
ได้เต็มวงเงิน แต่พอมีมาตรการสแกนใบหน้า ทำให้ไม่สามารถโอนเงินได้เต็มวงเงิน โดยโอนได้ไม่เกิน 2 แสนบาทต่อวัน ทำให้เงินที่ค้างอยู่
สามารถระงับได้ทัน”
นอกจากนี้ ภาครัฐมีการตั้งศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ ที่เรียกว่า “AOC” หรือ Anti Online Scam Operation Center ซึ่งจะรวมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน สามารถแจ้งดำเนินการอายัดบัญชีไปที่เบอร์เดียว คือ โทร.1441 โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือน พ.ย.นี้ เป็นต้นไป
ก็น่ายินดีที่มาตรการที่พยายามทำกันดูจะได้ผล แต่อีกมุมหนึ่งก็คือ “มิจฉาชีพไม่หยุดนิ่ง” ยังพยายามหากลโกง วิธีการหลอกลวงใหม่ ๆ อยู่ตลอด
ล่าสุดมีการอ้างว่า โทร.จากแบงก์บ้าง หลอกให้สแกนหน้าบ้าง ฯลฯ เรียกได้ว่า สารพัดจะสรรหามาหลอกลวง
นอกจากการหลอกลวงเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ทั่วไปแล้ว ทุกวันนี้ในตลาดทุนก็มีการหลอกลวงมากไม่แพ้กัน
ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แถลงเปิด “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” โทร.1207 กด 22
สำหรับเป็นช่องทางในการรับแจ้งเบาะแสการหลอกลวง ในตลาดทุนจากประชาชนได้โดยตรง
โดยผนึกกำลังพันธมิตรในตลาดทุนร่วมแจ้งเบาะแส และประสานความร่วมมือกับศูนย์ AOC กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มุ่งเป้าเร่งปิดบัญชีม้า รวมทั้งผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ในการปิดกั้นเนื้อหาของมิจฉาชีพโดยเร็ว เพื่อช่วยเหลือประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
และป้องกันความเสียหายจากการถูกหลอกลวงลงทุน
ทั้งหมดนี้ หน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็คงต้อง “ตามให้ทัน” และต้องทำงาน “เชิงรุก” มากขึ้น อย่าไปรอ “ตั้งรับ” อย่างเดียว…ต้อง “ก้าว” ให้เร็วกว่ามิจฉาชีพ ประชาชนถึงจะอุ่นใจได้ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แถลงเปิด “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” โทร.1207 กด 22 สำหรับเป็นช่องทางในการรับแจ้งเบาะแสการหลอกลวงในตลาดทุนจากประชาชนได้โดยตรง
โดยผนึกกำลังพันธมิตรในตลาดทุนร่วมแจ้งเบาะแส และประสานความร่วมมือกับศูนย์ AOC กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มุ่งเป้าเร่งปิดบัญชีม้า รวมทั้งผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ในการปิดกั้นเนื้อหาของมิจฉาชีพโดยเร็ว เพื่อช่วยเหลือประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
และป้องกันความเสียหายจากการถูกหลอกลวงลงทุน
ทั้งหมดนี้ หน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็คงต้อง “ตามให้ทัน” และต้องทำงาน “เชิงรุก” มากขึ้น อย่าไปรอ “ตั้งรับ” อย่างเดียว…ต้อง “ก้าว” ให้เร็วกว่ามิจฉาชีพ ประชาชนถึงจะอุ่นใจได้
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.prachachat.net/columns/news-1431805