เรื่องของเรื่องคือ หมายเรียกจากศาลมาที่บ้าน และรายละเอียดในหมายเรียกประมานว่า ธนาคารฟ้องพี่ชายไม่ชำระค่างวดรถติดต่อกัน 3 เดือน แต่ทีนี้ไปถามพี่ชายว่าได้ทำสัญญากู้รถด้วยหรอ เพราะไม่เห็นพี่ชายขับรถยนต์ และไม่เคยเห็นรถยนต์พี่ชายเลย พี่ชายตอบว่า ไม่เคยซื้อรถนะและไม่มีรถด้วย เลยน้องให้นึกดีๆว่ามีใครหลอกให้ไปค้ำไหม หรือหรอกให้ไปเซ็นไหม พอจี้ถามพี่ชายมาสุดๆ จนพี่บอกว่า เคยไปเซ็นค้ำให้ ผญ.คนหนึ่ง เขาบอกไปช่วยค้ำให้หน่อย พี่ชายก็ไปเซ็นค้ำให้ ไม่รู้เหมือนกันนะว่า ไปคุยกันยังไงพี่ชายถึงไปเซ็นค้ำให้ แต่ในสัญญาเช่าซื้อรถมันดันเป็นชื่อพี่ชายของหนูเลยเป็นว่าเป็นรถเป็นชื่อพี่หนู คนค้ำเป็น ผญ.คนนั้น อันนี้พี่ชายก็พึ่งมารู้ที่หลังด้วยซ้ำว่าเป็นชื่อพี่ชาย และอีกอย่างตอนนั้นที่ทำเรื่องซื้อรถ ผญ.คนนั้นบอกว่าไม่ผ่านด้วยซ้ำ จนมารู้ทีหลังเนี้ยว่าทุกอย่างตอนที่ศาลส่งหมายเรียกมาที่บ้าน ทางพี่ชายก็ไม่เคยเห็นตัวรถ ไม่เคยรู้อะไรเลย เอาตรงๆเหมือนโดนหลอกให้มาเซ็นค้ำสุดท้ายไม่ใช้แค่ซ้ำแต่ดันเป็นเจ้าของรถเลย (ไม่รู้ว่า ผญ.คนนั้นมีวิธีการพูด หรือต่อรองอะไรกับพี่ชายไหมนะตอนนั้น ที่ชายถึงยอมเซ็นค้ำให้) และพี่ชายบอกอีกว่า ผญ.คนนี้ทำงานเป็นฝ่ายบุคคลในบริษัทที่ตนทำอยู่นั้นแหละ แต่ตอนนี้ย้ายออกไปแล้ว ส่วนเรื่องความสัมพันระหว่างพี่ชายกับผู้หญิงคนนั้นคือบอกแค่ว่า เป็นพี่ที่ทำงานตอนนั้นมาบอกให้ไปเซ็นค้ำให้หน่อย จะว่าโง่ก็สุดจะโง่ แต่ก็ไม่รู้ ณ เวาลนั้นไปคุยอะไรกันมีอะไรแอบแผงไหม ไม่รู้ 

อยากสอบถามกรณีนี้ทางพี่ชายทำอะไรได้บ้าง แต่ต้องไปพบศาลแน่ๆอยู่ละ พี่ชายจะโดนอะไรบ้าง เพราะตอนนี้รถไม่รู้อยู่ไหน เพราะพี่ชายไม่เห็นตัวรถตั้งแต่แรก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาซื้อรถผ่านแล้ว แบบนี้ควรทำยังไง แต่งตั้งทนายไปศาลด้วยไหม หรือไปให้แค่วาจาว่าพี่ชายโดนหลอกไปเซ็นค้ำ จะเอาเรื่อง ผญคนนั้นได้ไหมยังไง และตอนนี้ก็ไม่รู้ว่า ผญ.คนนั้นอยู่ไหนด้วย