ตกลง การป้องกันเชื้อไวรัสจากฝนตก ควรปิดศีรษะหรือจมูกกันแน่??

เจาะลึก 10 เรื่องจริงที่พ่อแม่ต้องรู้ ป้องกัน ลูกเป็นหวัดเพราะเปียกฝน
“อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน” แต่ถึงจะไม่กลัวฝนก็ควรจะกลัวหวัด และอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันเมื่อฝนตกเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้ ลูกน้อยเป็นหวัดเพราะเปียกฝน ฉะนั้นการป้องกันโรคตั้งแต่เนิ่นเป็นวิธีดีที่สุดจะช่วยให้ลูกปลอดภัยจากโรค เรามาเจาะลึกเรื่องจริงเกี่ยวกับโรคหวัดในช่วงหน้าฝนกันเลยค่ะ

1.เชื้อหวัดกระจายอยู่ในอากาศ ไม่ได้ขึ้นมาจากพื้นดิน 
โรคหวัดส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งแพร่กระจายอยู่ในอากาศนับร้อยชนิด บางส่วนตกลงบนพื้นและเกาะตามฝุ่นละออง ร่างกายของคนเราสัมผัสกับเชื้อไวรัสเหล่านี้ตลอดเวลา เมื่อฝนใกล้ตกและมีลมพัดแรง ก็จะหอบเอาเชื้อไวรัสที่ปริมาณมากมาสัมผัสร่างกาย  จึงเพิ่มโอกาสติดเชื้อมากขึ้น

2.พยายามอย่าให้ศีรษะโดนฝนดีที่สุด
เมื่อฝนตก อุณหภูมิของอากาศรอบตัวจะลดลงอย่างรวดเร็ว และหากเราตากฝน อุณหภูมิของร่างกายก็จะลดลงทันทีเช่นกัน หัวที่เปียกฝนไม่ได้เป็นช่องทางของเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย แต่ทำให้อุณหภูมิพื้นผิวของเยื่อบุจมูกลดลง  1-2 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เชื้อไวรัสเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะไวรัสที่ตกค้างอยู่บริเวณโพรงจมูก และบวกกับไวรัสปริมาณในอากาศที่เราสูดหายใจเข้าไป
เมื่อภูมิต้านทานไม่สามารถสู้กับเชื้อไวรัสปริมาณมากได้อีกต่อไป จึงเกิดการอักเสบของเยื่อบุจมูก ต้นเหตุของอาการจาม และน้ำมูกไหล จึงหนีไม่พ้นที่ ลูกเป็นหวัดเพราะเปียกฝน วิธีดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงโรคหวัดช่วงหน้าฝน คือ อย่าให้ลูกเปียกฝน แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ควรจะหาอะไรคลุมศีรษะไว้ก่อนดีกว่า
 เป็นหวัดเพราะเปียกฝน จริงหรือ

3.ปิดจมูกไม่ได้ช่วยป้องกันหวัดเมื่อตากฝน
การปิดจมูกขณะฝนตกไม่ใช่วิธีช่วยให้ลูกพ้นจากการรับเชื้อหวัด เพราะร่างกายที่เปียกชื้น และอุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เชื้อไวรัสที่มีอยู่บนร่างกายเจริญเติบโตต่อได้ ทั้งนี้ การปิดจมูกด้วยหน้ากากอนามัย เหมาะสำหรับกับ ลูกป่วยเพราะเปียกฝน อยู่แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้แพร่กระจายเชื้อไปยังคนอื่นมากกว่า โดยเฉพาะเวลาไปยังสถานที่สาธารณะ หรือบริเวณที่มีคนพลุกพล่าน คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกคุ้นเคยกับการใส่หน้ากากอนามัยตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อสุขอนามัยที่ดีเหมือนกับการล้างมือเป็นประจำ

4.ตากฝนกับอาบน้ำสระผมไม่เหมือนกัน
คุณพ่อคุณแม่อาจสงสัยว่า ทำไมตอนลูกน้อยอาบน้ำสระผมเปียกโชกไปทั้งตัวไม่เห็นแสดงอาการป่วย แต่พอตากฝนกลับเป็นหวัดซะแล้ว ความจริงก็คือ แม้ร่างกายจะเปียกเหมือนกัน แต่อุณหภูมิของร่างกายไม่ได้เปลี่ยนแปลงเฉียบพลัน เวลาอาบน้ำลูกอยู่ในพื้นที่จำกัด ไม่ได้อยู่ในพื้นสาธารณะที่เชื้อโรคกระจายตัวอยู่มาก
ที่สำคัญ ลูกใช้เวลาอาบน้ำไม่ถึงนาน ก็ได้เช็ดตัว เช็ดหัวให้แห้งแล้ว แต่ถ้าลูกต้องอยู่กลางฝน กว่าจะได้เข้าบ้านอาจใช้เวลานานกว่า ยิ่งตัวเปียกนานเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่ ลูกเป็นหวัดเพราะเปียกฝน ได้มากขึ้นเท่านั้น

5.น้ำฝนชะล้างเชื้อไวรัสไม่ได้
อย่างที่บอกไปว่าเชื้อไวรัสสามารถเกาะตามพื้นดิน ละอองฝุ่นได้ ย่อมเกาะอยู่บนเม็ดฝนและลอยอยู่อากาศได้เช่นกัน หากเด็กมีภูมิคุ้มกันแข็งแรงจะต่อสู้กับเชื้อโรคได้ แต่ลูกน้อยวัยศูนย์ขวบควรหลีกเลี่ยงการอยู่นอกบ้าน ไม่เช่นนั้นอาจทำให้ ลูกป่วยเพราะเปียกฝน หรือแม้แต่ตอนที่ฝนตกหนักจะหยุดสนิทแล้ว เพราะยังมีเชื้อโรคอยู่ในอากาศ แถมอุณหภูมิต่ำยังกระตุ้นให้เด็กๆ ป่วยได้ง่าย

6.น้ำขิงอย่างเดียวไม่ได้ช่วยแก้หวัด
ขิงเป็นสมุนไพรจีนโบราณที่มีวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด จึงมีสรรพคุณในการบำรุงรักษาร่างกาย อีกทั้งขิงยังมีฤทธิ์ร้อน จึงนิยมนำมาทำน้ำขิงดื่มเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย และบรรเทาอาการเจ็บคอได้ ส่วนน้ำมันอโรม่าของขิงยังให้กลิ่นหอม สูดดมแล้วรู้สึกโล่งสบายด้วย แต่การดื่มน้ำขิง3-5 แก้วต่อวัน หรือแทนน้ำเปล่าอาจมากเกินไป เพราะคนส่วนใหญ่นิยมใช้น้ำขิงสำเร็จรูป ซึ่งมีน้ำตาลผสมอยู่มาก จึงควรหลีกเลี่ยง
สำหรับเด็กโต คุณแม่อาจชงน้ำขิงสูตรไม่มีน้ำตาลแบบเจือจาง แล้วใส่น้ำผึ้งแทนเพื่อให้รสชาติถูกปาก จิบทีละน้อยเพื่อบรรเทาอาการหวัด ส่วนเด็กเล็ก การดื่มน้ำเปล่า (อุณหภูมิห้อง) บ่อยๆก็เพียงพอ ทั้งนี้การดูแล ลูกเป็นหวัดเพราะเปียกฝน ต้องใช้ร่วมกันหลายวิธีควบคู่กัน พร้อมกับสังเกตอาการป่วยอย่างใกล้ชิดด้วย

7.กินผักและผลไม้เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค
คุณแม่คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผักผลไม้มีประโยชน์กับลูกน้อยมากเพียงใด นอกจากจะมีวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการเพื่อการเจริญเติบโตสมวัยแล้ว อาหารกลุ่มนี้ยังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ลูกน้อยพร้อมเผชิญกับเชื้อโรคหลังหมดภูมิคุ้มกันจากแม่แล้ว
การฝึกให้เด็กน้อยคุ้นชินกับรสชาติของผักผลไม้ตั้งแต่ยังเด็ก โดยไม่ปรุงแต่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะยิ่งคุณแม่ปรุงรสชาติน้อยเท่าไร เด็กยิ่งกินผักผลไม้ได้ง่ายขึ้น และเมื่อฝึกจนเป็นนิสัย ลูกจะไม่ร้องขอกินขนมหวาน หรือขนมกรุบกรอบ ซึ่งเป็นต้นเหตุของฟันผุและโรคอ้วนในเด็กเลย ทั้งนี้คุณแม่ควรเลือกชนิดผักผลไม้ และวิธีปรุงให้เหมาะกับลูกแต่ละวัย เพื่อให้เด็กๆ รักการกินผักผลไม้ไปตลอดชีวิต
 

8.กินผลไม้ไม่ใช่รักษาแค่ “หวัดแดด”
หวัดแดด เป็นอีกหนึ่งอาการป่วยที่เกิดขึ้นกับเด็กในช่วงหน้าร้อน หรืออยู่กลางแจ้งนานๆ ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วระบายความร้อนไม่ทัน จึงทำให้มีไข้ ปวดศีรษะ ริมฝีปากแห้ง และแสบคอ เด็กบางคนอาจมีน้ำมูกใส เมื่อร่างกายป่วยเพราะความร้อน
ทำให้หลายคนคิดว่าการกินผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น เช่น แตงโม มังคุด สับปะรด ส้มโอ หรือน้ำมะพร้าว จะเหมาะกับการรักษาหวัดแดดเท่านั้น แต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางการแพทย์ถึงเรื่องนี้ เพราะที่แน่ๆ การกินผลไม้เป็นประจำมีประโยชน์ทั้งการเพิ่มภูมิต้านทานให้ ลูกป่วยเพราะเปียกฝน น้อยลง และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีด้วย การกินผลไม้จึงดีต่อร่างกายเสมอไม่ว่าจะในทางไหน

  
9.โรคหวัดแบบไหนต้องกินยา
เมื่อ ลูกเป็นหวัดเพราะเปียกฝน มาจากเชื้อโรคหลายประเภท ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ทำให้มีอาการเจ็บคอเล็กน้อย มีน้ำมูกไม่มาก ไอจาม และอ่อนเพลีย เมื่อพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆไม่กี่วัน ร่างกายก็จัดการโรคหวัดให้หายเองโดยไม่ต้องกินยา
ส่วนโรคหวัดจากเชื้อแบคทีเรียจะมีอาการรุนแรงกว่า สังเกตว่าน้ำมูกใสหรือเสมหะจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวข้น เพราะเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ออกมาต่อสู้กับแบคทีเรียทำปฏิกิริยากับเอนไซม์ในเม็ดเลือดขาวจึงกลายเป็นสีเหลืองสีเขียว คอแดงหรือต่อมทอนซิลล์อักเสบ หากลูกมีอาการเหล่านี้จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ เพราะหายเองได้ยาก และอาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้

10. หวัดอาจไม่ใช่เรื่องธรรมดาถ้ามีโรคแทรกซ้อน
ระหว่างที่ ลูกเป็นหวัดเพราะเปียกฝน ภูมิร่างกายลดต่ำลงอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน ซึ่งทำให้หวัดธรรมดาๆ กลายเป็นโรคร้ายทำลายสุขภาพลูกได้ คุณพ่อคุณแม่จึงต้องระวังให้ดี เช่น โรคไซนัสอักเสบ เมื่อเชื้อโรคลามไปถึงโพรงจมูกจนติดเชื้อ ทำให้มีน้ำมูกหรือหนองในโพรงไซนัสได้
นอกจากนี้ยังอาจเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบ เพราะเยื่อบุหูบวม จึงระบายแรงดันอากาศจากช่องหูชั้นกลางไม่ได้ ทำให้ปวดหูและติดเชื้อได้ และโรคหลอดลมและปอดอักเสบ เกิดขึ้นเมื่อเชื้อโรคผ่านหลอดลมเข้ามาถึงปอด ทำให้ไอมาก มีไข้ หรือเหนื่อยง่าย
กรณีของเด็กเล็ก อายุต่ำกว่า  6 ขวบ ต้องระวังโรคชักจากไข้สูงด้วย เพราะอันตรายต่อสมองและอาจเกิดอาการซ้ำได้อีก ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ปล่อยให้ลูกมีไข้สูงนานเกินไป และรีบลดไข้ด้วยการเช็ดตัวและกินยาลดไข้แต่เนิ่นๆ
 
“ฝนตกเป็นเรื่องธรรมขาติ” ลูกป่วยก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากเห็นลูกต้องล้มป่วย นอนซม ไม่ร่าเริงเหมือนกัน ฉะนั้น การพยายามไม่ให้ ลูกเป็นหวัดเพราะเปียกฝน ด้วยการให้ลูกโดนฝนน้อยที่สุด หรือถ้าเลี่ยงที่ไม่ได้ที่เจ้าตัวน้อยต้องตากฝน ควรรีบเช็ดตัวให้แห้ง และทำร่างกายให้อบอุ่นเร็วที่สุด

https://www.amarinbabyandkids.com/health/kidsickwhenwet/2/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่