เรากับแฟน คบกันมาจะ 3 ปี (เราเป็นคู่ทอมดี้) ตลอดเวลาที่ผ่านมาเรื่องเงินคือปัญหาหลักสำหรับชีวิตคู่ของเรา ถึงเราจะรักกันมากแค่ไหนมันก็ไม่สามารถชดเชยเรื่องเงินได้เลยจริงๆ
เราทั้งคู่รู้จักกันมา 7 ปี เริ่มมาคบกันเป็นแฟนในปีที่ 8 (ถ้านับจากการรู้จักกันมาก่อน) คบกันได้ไม่ถึง3 เดือน เราก็โดนหางเลขของโควิด ถึงแม้เราจะคงกันหลังปี 2019 แต่มันยังมีผลกระทบของโรคบ้านี่ไม่หาย
ตอนนั้นเรางานประจำ รายได้ก็หมื่นนิดๆ แต่ยอมรับว่ารายจ่ายแทบจะกินส่วนรายได้ไปเสียหมด ซึ่งแฟนเรารับรู้เรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่เรายังเป็นเพื่อนกัน
ส่วนแฟนเราตอนนั้นเขาทำงานเกี่ยวกับฟรีแลนซ์ รายได้ถ้าเทียบกับก่อนโควิดถือว่ามากพอสมควร แต่โชคชะตาดันพาให้เราทั้งคู่มาใช้ชีวิตด้วยกันในวันที่มีโรคระบาดทำให้รายรับไม่เหมือนเดิม หลังจากคบกันได้เกือบๆ 3 เดือนแฟนเราก็มีงานด่วนที่ต้องไปทำ ตจว เดือนครึ่ง ซึ่งเป็นการไปที่ไม่พร้อมเอามากๆ แต่เพราะเขาอยากให้ชีวิตคู่เรารอด เลยเลือกที่จะไปโดยไม่พร้อม เราทั้ง2 ต่างอยู่รอคอยการกลับมาแบบทุลักทุเล เราก็ค้องประหยัดในการใช้ชีวิต ส่วนเขาเองก็ต้องยิ่งประหยัดมากกว่าเราเพราะใช้ชีวิตต่างบ้านแค่ก้าวขาออกห้องก็เสียเงินแล้ว อาหารหลักของเขาคือมาม่า ส่วนของเราคือผัดผัก เพราะกว่าเงินเดือนแฟนจะออกก็หลังจากจบงานเกือบ15 วัน ส่วนของเรา แค่ลำพังหนี้ ค่าใช้จ่ายของตัวเองแทบจะไม่พอ เลยไม่สามารถส่งให้เขาใช้ได้ นั่นคือการเสียสละข้อแรกๆของแฟนเรา
*ทุกคนอาจสงสัยว่าทำไมที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตได้ เพราะตอนนั้นมันไม่เกิดโรคระบาดบ้าๆนี่ ทำให้เราสามารถบริหารเงินจากรายรับได้ทุกๆเดือน*
หลังจากกลับมา งานของแฟนก็ไม่สามารถทำได้เหใือนเช่นเคย ด้วยปัญหาของโรคโควิดทำให้การจะเข้าไปทำงานกับผู้คนจำนวนเยอะๆค่อนข้างยากมาก เพราะงานฟรีแลนซ์เป็นงานที่ต้องเปลี่ยนสถานที่ และพบเจอผู้คนมากมายตลอด ทำให้เงื่อนไขนี้ค่อนข้างยากในการทำงานตอนมีโควิด แฟนเราเลยตัดสินใจขายของปิ้งย่างหน้าบ้านในชุมชนเล็ก ๆ ซึ่งมันแค่พอขายได้แต่ยังไม่สามารถนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายได้เลย (ซึ่งจริงๆบอกก่อนว่า ขณะนั้นแฟนเราแทบจะไม่มีภาระ แต่เขาต้องการที่จะช่วยแบ่งเบาเรานั่นเอง ) พอขายปิ้งย่างไม่เวิร์ค เราเลยเปลี่ยนมาขายผลไม้เริ่มต้น1-2 อย่าง แต่เปลี่ยนจากขายหน้าบ้านมาขายตามข้างถนนซึ่งผลตอบรับดีมากๆถึงแม้ต้องโดนเทศกิจมาเคลียร์ก็ตาม แต่หลังจากนั้นเราก็คิดว่าจะปักหลักขายผลไม้ แต่อาจจะต้องย้ายพื้นที่ขายให้ถูกต้องหน่อย หรืออาจจะต้องเช่าหน้าร้านคนอื่นเพื่อขาย และแล้วเราก็ได้พื้นที่ขายโชคดีไปกว่านั้นเรายังได้ขายฟรีเพราะเป็นพื้นที่ว่างๆ เจ้าของเขาเลยอนุญาตให้ขายได้เลย และนี่ก็เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเรา ซึ่งเรานั้นตั้งแต่เริ่มทำงานก็ทำงานประจำมาตลอด ไม่เคยทำฃานค้าขายหรืองานแบบอื่นเลย พอเราได้เจอแฟนคนนี้เราก็ได้มุมมองใหม่ๆ งานใหม่ๆ ซึ่งทุกเช้าเราก็จะมาเปิดกางเต็นท์ มาเรียงผลไม้ให้ เพราะร้านเราแทบจะไม่เรียกว่าร้าน มันคือการกางเต็นทขายกันหน้าร้านข้างๆถนนแต่แค่มันถูกต้องเลยไม่มีปัญหากับเทศกิจ แต่ปัญหาก็คือที่ๆเราขายของมันต้องตั้งร้านตอนเช้า เก็บร้านตอนเย็น ซึ่งแฟนเราเป็นคนตัวเล็กกว่าจะเก็บเต็นท์ เก็บผลไม้ได้ มันก็จะหนักสำหรับเขา และแฟนเรายังขายทางในกลุ่มหมู่บ้าน เพื่อน และคนรู้จักทำให้ต้องนำสินค้าไปส่งลูกค้าและต้องไปส่งเองเพราะถ้าจ้างไรเดอร์ กำไรเราคงไม่เหลือ แต่การที่จะส่งของแฟนเราซึ่งอยู่คนเดียวกว่าจะรอเรามาก็ดึก เพราะเราทำงานในห้าง ปกติเลิก3ทุ่มครึ่ง บางวันเลิก4ทุ่ม เราก็เห็นว่าแฟนขายดีมากบวกกับตอนนั้นที่ทำงานเรามันมีเรื่องของการจัดผังบริหารหรือการเทคโอเวอร์นั่นแหละ และด้วยรายได้น้อยลงเพราะงานที่เราทำมันขึ้นอยู่กับค่าคอมมิชชั่น เลยเป็นเหตุให้เราตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่ทำมา 5 ปี
ไว้เรามาต่ออีกนะ
รักต้องเลือก
เราทั้งคู่รู้จักกันมา 7 ปี เริ่มมาคบกันเป็นแฟนในปีที่ 8 (ถ้านับจากการรู้จักกันมาก่อน) คบกันได้ไม่ถึง3 เดือน เราก็โดนหางเลขของโควิด ถึงแม้เราจะคงกันหลังปี 2019 แต่มันยังมีผลกระทบของโรคบ้านี่ไม่หาย
ตอนนั้นเรางานประจำ รายได้ก็หมื่นนิดๆ แต่ยอมรับว่ารายจ่ายแทบจะกินส่วนรายได้ไปเสียหมด ซึ่งแฟนเรารับรู้เรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่เรายังเป็นเพื่อนกัน
ส่วนแฟนเราตอนนั้นเขาทำงานเกี่ยวกับฟรีแลนซ์ รายได้ถ้าเทียบกับก่อนโควิดถือว่ามากพอสมควร แต่โชคชะตาดันพาให้เราทั้งคู่มาใช้ชีวิตด้วยกันในวันที่มีโรคระบาดทำให้รายรับไม่เหมือนเดิม หลังจากคบกันได้เกือบๆ 3 เดือนแฟนเราก็มีงานด่วนที่ต้องไปทำ ตจว เดือนครึ่ง ซึ่งเป็นการไปที่ไม่พร้อมเอามากๆ แต่เพราะเขาอยากให้ชีวิตคู่เรารอด เลยเลือกที่จะไปโดยไม่พร้อม เราทั้ง2 ต่างอยู่รอคอยการกลับมาแบบทุลักทุเล เราก็ค้องประหยัดในการใช้ชีวิต ส่วนเขาเองก็ต้องยิ่งประหยัดมากกว่าเราเพราะใช้ชีวิตต่างบ้านแค่ก้าวขาออกห้องก็เสียเงินแล้ว อาหารหลักของเขาคือมาม่า ส่วนของเราคือผัดผัก เพราะกว่าเงินเดือนแฟนจะออกก็หลังจากจบงานเกือบ15 วัน ส่วนของเรา แค่ลำพังหนี้ ค่าใช้จ่ายของตัวเองแทบจะไม่พอ เลยไม่สามารถส่งให้เขาใช้ได้ นั่นคือการเสียสละข้อแรกๆของแฟนเรา
*ทุกคนอาจสงสัยว่าทำไมที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตได้ เพราะตอนนั้นมันไม่เกิดโรคระบาดบ้าๆนี่ ทำให้เราสามารถบริหารเงินจากรายรับได้ทุกๆเดือน*
หลังจากกลับมา งานของแฟนก็ไม่สามารถทำได้เหใือนเช่นเคย ด้วยปัญหาของโรคโควิดทำให้การจะเข้าไปทำงานกับผู้คนจำนวนเยอะๆค่อนข้างยากมาก เพราะงานฟรีแลนซ์เป็นงานที่ต้องเปลี่ยนสถานที่ และพบเจอผู้คนมากมายตลอด ทำให้เงื่อนไขนี้ค่อนข้างยากในการทำงานตอนมีโควิด แฟนเราเลยตัดสินใจขายของปิ้งย่างหน้าบ้านในชุมชนเล็ก ๆ ซึ่งมันแค่พอขายได้แต่ยังไม่สามารถนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายได้เลย (ซึ่งจริงๆบอกก่อนว่า ขณะนั้นแฟนเราแทบจะไม่มีภาระ แต่เขาต้องการที่จะช่วยแบ่งเบาเรานั่นเอง ) พอขายปิ้งย่างไม่เวิร์ค เราเลยเปลี่ยนมาขายผลไม้เริ่มต้น1-2 อย่าง แต่เปลี่ยนจากขายหน้าบ้านมาขายตามข้างถนนซึ่งผลตอบรับดีมากๆถึงแม้ต้องโดนเทศกิจมาเคลียร์ก็ตาม แต่หลังจากนั้นเราก็คิดว่าจะปักหลักขายผลไม้ แต่อาจจะต้องย้ายพื้นที่ขายให้ถูกต้องหน่อย หรืออาจจะต้องเช่าหน้าร้านคนอื่นเพื่อขาย และแล้วเราก็ได้พื้นที่ขายโชคดีไปกว่านั้นเรายังได้ขายฟรีเพราะเป็นพื้นที่ว่างๆ เจ้าของเขาเลยอนุญาตให้ขายได้เลย และนี่ก็เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเรา ซึ่งเรานั้นตั้งแต่เริ่มทำงานก็ทำงานประจำมาตลอด ไม่เคยทำฃานค้าขายหรืองานแบบอื่นเลย พอเราได้เจอแฟนคนนี้เราก็ได้มุมมองใหม่ๆ งานใหม่ๆ ซึ่งทุกเช้าเราก็จะมาเปิดกางเต็นท์ มาเรียงผลไม้ให้ เพราะร้านเราแทบจะไม่เรียกว่าร้าน มันคือการกางเต็นทขายกันหน้าร้านข้างๆถนนแต่แค่มันถูกต้องเลยไม่มีปัญหากับเทศกิจ แต่ปัญหาก็คือที่ๆเราขายของมันต้องตั้งร้านตอนเช้า เก็บร้านตอนเย็น ซึ่งแฟนเราเป็นคนตัวเล็กกว่าจะเก็บเต็นท์ เก็บผลไม้ได้ มันก็จะหนักสำหรับเขา และแฟนเรายังขายทางในกลุ่มหมู่บ้าน เพื่อน และคนรู้จักทำให้ต้องนำสินค้าไปส่งลูกค้าและต้องไปส่งเองเพราะถ้าจ้างไรเดอร์ กำไรเราคงไม่เหลือ แต่การที่จะส่งของแฟนเราซึ่งอยู่คนเดียวกว่าจะรอเรามาก็ดึก เพราะเราทำงานในห้าง ปกติเลิก3ทุ่มครึ่ง บางวันเลิก4ทุ่ม เราก็เห็นว่าแฟนขายดีมากบวกกับตอนนั้นที่ทำงานเรามันมีเรื่องของการจัดผังบริหารหรือการเทคโอเวอร์นั่นแหละ และด้วยรายได้น้อยลงเพราะงานที่เราทำมันขึ้นอยู่กับค่าคอมมิชชั่น เลยเป็นเหตุให้เราตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่ทำมา 5 ปี
ไว้เรามาต่ออีกนะ