ย้อนกลับไปเมื่อปี 2547
ครอบครัวของฉันได้เตรียมจัดงานแต่งกันที่บ้านแบบเรียบง่ายให้กับอาเล็ก สมาชิกในครอบครัวทุกคนต่างยินดีที่แกจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาสักที และในคืนก่อนหน้านั้นก็มีเพื่อนฝูงของอามากินนอนที่บ้าน ช่วยเตรียมงาน ทั้งจัดสถานที่ ดอกไม้ อาหาร กันเองแบบบ้านๆ ที่บ้านคืนนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และรอยยิ้ม
เช้าวันถัดมา ทุกคนตื่นกันแต่ตี2 เพื่อมาแต่งหน้าทำผม และช่วยกันจัดเตรียมความเรียบร้อยก่อนงานจะเริ่ม กำหนดการช่วงเช้านั้นเป็นพิธีไทย มีตักบาตร หลั่งน้ำสังข์ เลี้ยงพระ มีเลี้ยงอาหารแขกที่จะมาร่วมงานแบบโต๊ะไทยจำนวนไม่มากมายอะไร ตัวฉันเองก็ช่วยจัดเตรียมของชำร่วย และดูแลเด็กๆ น้องนักดนตรีจากชมรมโรงเรียนแถวบ้านที่มาร่วมบรรเลงดนตรีให้งานไม่เงียบเหงา
ทุกอย่างผ่านไปแบบปกติ ราบรื่น และแขกก็ทะยอยมาเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง
พิธีการดำเนินไปอย่างราบเรียบ จนแขกเหรื่อทะยอยกันกลับ เหลือเพียงเพื่อนฝูง และญาติจำนวนไม่มากที่นั่งคุยกันต่อ เพราะนานๆ จะมีโอกาสเจอกันที ก็ต้องถามสารทุกข์สุขดิบกันเป็นธรรมดา ตัวฉันเองกับเพื่อนๆ อานั้นสนิทกันดี รู้จักกันแทบจะทุกคน อายุเราก็ไม่ได้ห่างกันมาก พ่อฉันลูกคนโต แต่ปู่ย่ามีลูกเยอะ 8 คนโน่น อาเล็กเลยอายุไล่เลี่ยกันกับฉัน ก็นั่งคุย นั่งกินอาหารกันอย่างออกอรรถรส
และเรื่องมันก็อยู่ที่ช่วงเวลาหลังงานเลิกนี่แหละค่ะ เพื่อนของอาเล็กกลุ่มหนึ่ง ย้ำว่ากลุ่ม เพราะไม่ใช่แค่คนเดียว มาถามเอากับปู่กับย่าว่า แขกที่เป็นคนแก่ๆ หน้าตาอย่างไรก็พลางอธิบายไป จนทำให้ทุกคนที่ได้รับฟังเอะใจ คนแก่แบบที่ว่านี่ไม่เห็นคุ้น แต่ย่านั่นแหละ ฟังแล้วเหมือนกับพูดถึงใครบางคนที่แกรู้จักดี นั่นก็คือทวด หรือแม่ของย่านั่นเอง เพื่อนอาบอกว่าคนแก่คนนั้นชวนคุย ซักถามว่ามายังไงล่ะ สบายดีไหม ในงานขาดตกอะไรไหม คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว และก็ไม่เจอกันในงานอีก เลยเกิดความสงสัยมาถามหา ย่าเลยไปหยิบรูปมาถามว่าใช่คนนี้ไหม คำตอบทำเอาขนลุกค่ะ "ใช่ คนนี้แหละ" แต่คุณผู้อ่านคะ ทวดของฉันเสียไปตั้งแต่ฉันยังจำความได้แบบเลือนลางโน่นแล้วค่ะ แต่ย่าก็ไม่ได้เฉลยไปโพล่งๆ นะ กลัวเพื่อนๆ อาเล็กแกจะตกใจ ขวัญหนีดีฝ่อกันหมด ก็บอกว่าเป็นญาติ คงกลับไปแล้วแหละ
พูดไปก็ยังคงขนลุกอยู่จนถึงตอนนี้ เปลี่ยนไปเพียงแค่ความรู้สึกลึกๆ ที่จากเมื่อก่อนเป็นความรู้สึกกลัว ไม่กล้านอนคนเดียว ไม่กล้าขึ้นบ้านคนเดียว เพราะต้องผ่านรูปทวด และโกฎที่บรรจุอัฐิแกอยู่ พอผ่านมาจนอายุมากขึ้นก็รับรู้ได้ถึงความรัก ความห่วงใยที่แกคงมีให้กับหลานๆ สื่อออกมาให้คนกลุ่มหนึ่งที่บังเอิญมีจิตตรงกันสื่อสารกันได้รับรู้ก็เพียงเท่านั้น
ท่านผู้อ่านพอจะเคยมีประสบการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ้างไหมคะ
และคิดว่าบนโลกนี้มีพลังงาน เรื่องลึกลับที่เรายังไม่สามารถหาคำตอบได้อยู่ไหม
ดูแลคนในครอบครัวให้ดีเพื่อที่จะไม่เสียใจในภายหลังกันนะคะ
แขกที่ไม่ได้รับเชิญในงานแต่งงาน ประสบการณ์ลี้ลับ ย้อนกลับไปนึกก็ขนลุกทุกที
ครอบครัวของฉันได้เตรียมจัดงานแต่งกันที่บ้านแบบเรียบง่ายให้กับอาเล็ก สมาชิกในครอบครัวทุกคนต่างยินดีที่แกจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาสักที และในคืนก่อนหน้านั้นก็มีเพื่อนฝูงของอามากินนอนที่บ้าน ช่วยเตรียมงาน ทั้งจัดสถานที่ ดอกไม้ อาหาร กันเองแบบบ้านๆ ที่บ้านคืนนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และรอยยิ้ม
เช้าวันถัดมา ทุกคนตื่นกันแต่ตี2 เพื่อมาแต่งหน้าทำผม และช่วยกันจัดเตรียมความเรียบร้อยก่อนงานจะเริ่ม กำหนดการช่วงเช้านั้นเป็นพิธีไทย มีตักบาตร หลั่งน้ำสังข์ เลี้ยงพระ มีเลี้ยงอาหารแขกที่จะมาร่วมงานแบบโต๊ะไทยจำนวนไม่มากมายอะไร ตัวฉันเองก็ช่วยจัดเตรียมของชำร่วย และดูแลเด็กๆ น้องนักดนตรีจากชมรมโรงเรียนแถวบ้านที่มาร่วมบรรเลงดนตรีให้งานไม่เงียบเหงา
ทุกอย่างผ่านไปแบบปกติ ราบรื่น และแขกก็ทะยอยมาเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง
พิธีการดำเนินไปอย่างราบเรียบ จนแขกเหรื่อทะยอยกันกลับ เหลือเพียงเพื่อนฝูง และญาติจำนวนไม่มากที่นั่งคุยกันต่อ เพราะนานๆ จะมีโอกาสเจอกันที ก็ต้องถามสารทุกข์สุขดิบกันเป็นธรรมดา ตัวฉันเองกับเพื่อนๆ อานั้นสนิทกันดี รู้จักกันแทบจะทุกคน อายุเราก็ไม่ได้ห่างกันมาก พ่อฉันลูกคนโต แต่ปู่ย่ามีลูกเยอะ 8 คนโน่น อาเล็กเลยอายุไล่เลี่ยกันกับฉัน ก็นั่งคุย นั่งกินอาหารกันอย่างออกอรรถรส
และเรื่องมันก็อยู่ที่ช่วงเวลาหลังงานเลิกนี่แหละค่ะ เพื่อนของอาเล็กกลุ่มหนึ่ง ย้ำว่ากลุ่ม เพราะไม่ใช่แค่คนเดียว มาถามเอากับปู่กับย่าว่า แขกที่เป็นคนแก่ๆ หน้าตาอย่างไรก็พลางอธิบายไป จนทำให้ทุกคนที่ได้รับฟังเอะใจ คนแก่แบบที่ว่านี่ไม่เห็นคุ้น แต่ย่านั่นแหละ ฟังแล้วเหมือนกับพูดถึงใครบางคนที่แกรู้จักดี นั่นก็คือทวด หรือแม่ของย่านั่นเอง เพื่อนอาบอกว่าคนแก่คนนั้นชวนคุย ซักถามว่ามายังไงล่ะ สบายดีไหม ในงานขาดตกอะไรไหม คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว และก็ไม่เจอกันในงานอีก เลยเกิดความสงสัยมาถามหา ย่าเลยไปหยิบรูปมาถามว่าใช่คนนี้ไหม คำตอบทำเอาขนลุกค่ะ "ใช่ คนนี้แหละ" แต่คุณผู้อ่านคะ ทวดของฉันเสียไปตั้งแต่ฉันยังจำความได้แบบเลือนลางโน่นแล้วค่ะ แต่ย่าก็ไม่ได้เฉลยไปโพล่งๆ นะ กลัวเพื่อนๆ อาเล็กแกจะตกใจ ขวัญหนีดีฝ่อกันหมด ก็บอกว่าเป็นญาติ คงกลับไปแล้วแหละ
พูดไปก็ยังคงขนลุกอยู่จนถึงตอนนี้ เปลี่ยนไปเพียงแค่ความรู้สึกลึกๆ ที่จากเมื่อก่อนเป็นความรู้สึกกลัว ไม่กล้านอนคนเดียว ไม่กล้าขึ้นบ้านคนเดียว เพราะต้องผ่านรูปทวด และโกฎที่บรรจุอัฐิแกอยู่ พอผ่านมาจนอายุมากขึ้นก็รับรู้ได้ถึงความรัก ความห่วงใยที่แกคงมีให้กับหลานๆ สื่อออกมาให้คนกลุ่มหนึ่งที่บังเอิญมีจิตตรงกันสื่อสารกันได้รับรู้ก็เพียงเท่านั้น
ท่านผู้อ่านพอจะเคยมีประสบการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ้างไหมคะ
และคิดว่าบนโลกนี้มีพลังงาน เรื่องลึกลับที่เรายังไม่สามารถหาคำตอบได้อยู่ไหม
ดูแลคนในครอบครัวให้ดีเพื่อที่จะไม่เสียใจในภายหลังกันนะคะ