ตอนที่ 2 โรงเรียนสัตวแพทย์
ผมยืนอยู่หน้าสถาบันการศึกษาแล้วผมชื่นใจจริงๆ ไม่เสียแรงที่พ่อ-แม่ ท่านส่งเสียเคี่ยวเขนให้ร่ำเรียนหนังสือเพื่อใฝ่หาความรู้จนมาถึงวันนี้อยากให้ท่านมาเห็นภาพนี้เหลือเกิน แล้วผมก็เดินเข้าสถานศึกษาอย่างภาคภูมิใจ ยกมือไหว้สวัสดีอาจารย์ที่มารอรับลูกศิษย์ใหม่ในวันเปิดเทรมวันแรกที่ประตูทางเข้าสถานศึกษาอย่างอ่อนน้อมด้วยความเคารพ แล้วเข้าไปทักทายและทำความรู้จักเพื่อนร่วมรุ่นซึ่งส่วนมากจะเป็นคนที่มาจากต่างจังหวัดแทบทั้งสิ้นเหมือนผมนี่แหล่ะ มาจากภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ ก็เด็กบ้านนอกเหมือนกันทั้งนั้น
เวลา 08.00 น. เข้าแถวเคารพธงชาติ หลังจากนั้นผู้อำนวยการสถานศึกษาก็กล่าวทักทายพร้อมกับแนะนำอาจารย์และเจ้าหน้าที่ประจำสถานศึกษาให้นักศึกษาใหม่ได้รู้จัก จากนั้นก็ชี้แจงกฎระเบียบของสถานศึกษา ข้อควรปฏิบัติและขอไม่ควรปฏิบัติให้นักศึกษาใหม่ได้รับทราบแล้วจึงปล่อยแถวเพื่อให้นักศึกษาได้เข้าชั้นเรียน รุ่นของผมเป็นรุ่นที่ 59 ของสถาบันฯ มีนักศึกษาจำนวน 100 คนจึงแบ่งเป็น 2 ห้องเรียนผมได้อยู่ห้องเรียนที่ 1 สำหรับวิชาในการเรียนนั้นจะเน้นหนักไปวิชาการทางด้านสัตวแพทย์ เช่น วิชากายวิภาคศาสตร์ สูติศาสตร์ ศัลยกรรมศาสตร์ และวิชาอื่นๆทางด้านชีววิทยาอีกมากมาย เป็นหลักซึ่งเป็นวิชาทีต้องท่องจำทั้งสิ้น แต่ก็พอมีวิชาที่เบาๆสมองบ้าง เช่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ พลศึกษา เป็นต้น พวกเราเรียนมาได้ประมาณ 3 เดือน ต่างคนก็ต่างเครียดกันมากผมก็เหมือนกัน ผมมานั่งคิดดูแล้วน่าจะมีการสันทนาการร่วมกันระหว่างนักศึกษากันบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลายจากการที่เรียนมาหนักและเป็นการสร้างความสามัคคีในหมู่คณะไปในตัวด้วย ผมคิดว่าควรจะจัดการแข่งขันกีฬากระชับมิตรขึ้นผมจึงเข้าขอพบอาจารย์ประจำวิชาพลศึกษา ท่านอาจารย์ประสิทธิ์ เพื่อขอคำปรึกษา...
“ อาจารย์ครับขออนุญาตครับ” ผมขอเข้าพบ
“ อ้าว!..ณพฉัตรเองรึ มีอะไร” อาจารย์ถาม
“ เรื่องกีฬาอาจารย์ถนัดกีฬาอะไรมากที่สุดครับ ส่วนผมถนัดเซปักตระกร้อ” ผมถาม
“ ถามทำไมวะ อั๊วชอบฟุตบอลมีอะไรรึ” อาจารย์ตอบแบบงงๆ
“ ไม่มีอะไรมากหรอกครับแค่ผมอยากท้าอาจารย์มาแข่งตระกร้อเท่านั้นเอง อาจารย์ก็รู้พวกผมเรียนหนักมากแค่ไหนก็แค่อยากผ่อนคลายบ้างจะได้หายเครียด อาจารย์จะรับคำท้ารึป่าว ” ผมท้าทาย
“ อุวะ!..ไอ้หนึ่งลื้อกล้าท้าอั๊วอย่างนี้เชียวรึมันจะมากไปแล้วนะ ได้ที่ไหนเมื่อไหร่บอกมา มันจะซักเท่าไรวะฟุตบอลกับตระกร้อมันก็ลูกกลมเหมือนกันแหล่ะวะ” อาจารย์แสดงอาการหงุดหงิดเล็กน้อย
“ อาจารย์อย่าพึ่งหงุดหงิดซิครับแค่นัดกระชับมิตรระหว่างศิษย์กับอาจารย์ น่าอาจารย์ผมก็แค่อยากให้มีการจัดกรรมกิจขึ้นมาพวกเพื่อนๆของผมจะได้คลายเครียดกันบ้าง ว่าแต่ถ้าอาจารย์รับคำท้าแล้วก็เตรียมจัดหาลูกทีมได้เลยทีมละ 3 คนนะครับ ส่วนวันและเวลาผมจะแจ้งให้ทราบอีกทีนะครับ” ผมยั่วอาจารย์เล็กน้อย
“ เออ!..อั๊วรับคำท้า มันจะซักแค่ไหนเชียวแค่แข่งเซปักตระกร้อ” อาจารย์ตอบรับแบบหงุดหงิดถ้าให้ผมเดานะในใจอาจารย์คงด่าผมว่าไอ้ศิษย์เลวคิดจะล้างครูเป็นแน่แท้
ข่าวการท้าประลองฝีมือการแข่งขันเซปักตะกร้อระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ประสิทธิ์ก็ดังไปทั่วสถานศึกษา นักศึกษาทุกคนต่างก็ตั้งหน้าตารอว่าเมื่อไหร่การแข่งขันนัดสำคัญจะเกิดขึ้นซะที สำหรับผมนั้นไม่ได้คาดหวังจะประหัตประหารกับครูบาอาจารย์หรอก เพียงแต่อยากให้เพื่อนๆนักศึกษาได้มีการสันทนาการร่วมกันก็พอแพ้ชนะไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับผมหรอก ซึ่งอาจารย์ประสิทธิ์ท่านก็น่ารู้อยู่แล้วในจุดประสงค์ของผมท่านถึงรับคำท้ายังไงล่ะ
และแล้ววันแข่งขันประลองฝีมือก็มาถึง ผมสังเกตเห็นว่าวันนี้กองเชียร์เต็มสนามน่าสนุกดีหวะ แล้วก็ถึงเวลานักกีฬาลงสนาม ฝ่ายของผมมี ผมเป็นตัวส่งลูก ไอ้เหน่งเป็นตัวชง และพี่โบ้(รุ่นพี่สอบตกมาเรียนซ้ำ)เป็นตัวทำคะแนน ส่วนฝ่ายตรงข้ามมีอาจารย์ประสิทธิ์เป็นหัวหน้าทีมลูกทีมของอาจารย์ดูแล้วไม่ธรรมดาเลย แล้วการแข่งขันก็เริ่มขึ้นต่างฝ่ายต่างแข่งขันกันอย่าเต็มที่ ผลัดกันรุกผลัดกันรับเป็นที่สนุกสนานโดยเฉพาะกองเชียร์ต่างก็เชียร์กันแบบคึกครื้นผมไม่แน่ใจนะว่ามีการเดิมพันกันหรือเปล่าแต่ก็ช่างมันเถอะไม่มีอยู่ในกติกานี่ว่าห้ามเล่นการพัน เป็นไปตามเป้าหมายที่ผมวางไว้เห็นทุกคนสนุกสนาน ผ่อนคลาย มีความสุขแค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ผลการแข่งขันฝ่ายอาจารย์ชนะ แพ้อยู่กับพระ(เพราะผมอยู่กับพระอยู่แล้ว) ชนะอยู่กับมาร...แค่ได้เห็นพวกเราสามัคคีกัน มีความสุขผมก็พอใจแล้ว อิๆๆๆ
ผมทำหน้าที่ลูกศิษย์วัดไผ่ตันและหน้าที่นักศึกษาสัตวแพทย์ไปพร้อมๆกันเป็นเวลาประมาณ 2 ปี ในที่สุดผมก็สำเร็จการศึกษา ผมดีใจและภาคภูมิใจมากยิ่งตอนที่สถานศึกษาประกาศผลการเรียน ผมได้เกรดเฉลี่ย 2.80 ยิ่งทำให้ผมดีใจใหญ่ ประกาศก้องในใจ “ กูเรียนจบแล้วโว้ย!!!” เพื่อนๆต่างก็แสดงความยินดีให้แก่กันและกันอย่างนี้มันต้องฉลอง แล้วเพื่อนคนหนึ่งถามว่า
“ เฮ้ย!...พักพวกเราไปฉลองกันที่ไหนดีวะ”
“ กูว่าไปหน้าหอวังดีกวะเพื่อนร้านประจำของพวกเรานะแหล่ะอาหารอร่อย ราคาประหยัด แถมมีสาวๆให้มองด้วยโว้ย...ว่าไงวะ” ไอ้ลิตเป็นคนเสนอ
“ ก็ดีหวะ...คนอื่นว่าไง” ผมเห็นด้วย “แต่กูว่าพวกเราไปวัดสายตากันหน่อยไม่ดีเหรอเพื่อน ซอย 36 ร้านเดิม” แอ๊ดเสนอ “ก็ดีเหมือนกันวะไม่ได้เล่นมาตั้งนานแล้ว ไปประลองกัน วัดสายตากันพวกเราว่ายังไงกันวะ แล้วเราค่อยไปต่อที่หอวัง” ไอ้บังเห็นชอบด้วย แล้วพวกเราก็เดินเข้าในซอย 36 ตรงข้าม ม.เกษตร ไปร้านสนุกเกอร์ร้านประจำ จากนั้นต่างคนก็ต่างมั่นใจในฝีมือของตนเองทดสอบสนามโต๊ะสนุกเกอร์ กระเหี้ยนกระหือรือเพื่อจะวัดสายตากันแล้วก็มีการจับคู่กัน คู่แรก แอ๊ดกับวัติ คู่ที่สอง บังกับลิต ธรรมดาการแข่งขันย่อมต้องมีเดิมพัน แต่พวกเราเดิมพันกันแบบฉันเพื่อนเพื่อกระตุ้นความฮึกเหิมในใจ เกมเริ่มขึ้นแล้ว ผมนั่งดูอยู่ข้างๆจิบเหล้าบางๆและคอยบริการชงเหล้าให้เพื่อนๆ ดูพวกมันเล่นสนุกดี ผมนั่งจิบเหล้าดูแต่ละคนเอาจริงเอาจังกันมากผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่ไม่เห็นมีใครเครียดสักคนมีแต่รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะไม่ใช่ว่าผมเล่นไม่เป็นนะแต่ไม่มีคู่เล่นด้วยตากหาก ผมมองดูนาฬิกาแล้วบอกเพื่อนๆว่า “เฮ้ย...พวกนี่มันสี่โมงเย็นกว่าแล้วนะโว้ย..เราจะไปต่อที่หน้าโรงเรียนหอวังกันไม่ใช่เหรอวะ เดี๋ยวสาวๆหอวังก็กลับบ้านกันหมดหรอก” “เออ..ใช่หวะเร็วพวกไอ้วัติ ไอ้ลิต ตามกูมา ไอ้แอ๊ดไปเช็คบิล ไอ้หนึ่งอยู่กับไอ้แอ๊ดเสร็จแล้วตามพวกกูมา” ไอ้บังมันสั่งการ
แล้วพวกเรา 5 สหายก็เดินทางมาถึงร้านค้าริมฟุตบาทหน้าโรงเรียนหอวังข้างห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว สั่งเหล้า 1 กลม น้ำแข็ง โซดา ลาบ น้ำตก พร้อมสรรพ ต่างก็ลงมือสังสรรค์กันแบบสนุกสนานเพลิดเพลินกินกันอย่างเต็มที่ ที่น่าสนใจก็คือสาวๆหอวังไงครับ ได้มอง ได้ยิ้มให้ อย่างเพลิดเพลินใจแค่นี้ก็พอใจแล้วเป็นความชื่นบานในหัวใจของเด็กนักเรียนสัตวแพทย์บ้านนอกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาเรียนในนครหลวง อะไรหมดก็สั่งมาเพิ่มจนเวลาล่วงเลยไปเท่าไหร่รู้ ต่างคนก็ต่างเริ่มหมดสภาพ
“ เฮ้ย...กูว่ากูเมาแล้วหวะกูขอตัวกลับก่อนนะ” ผมบอกเพื่อนๆ
“ จะรีบไปไหนวะไอ้หนึ่ง...อย่าพึ่งรีบเพื่อนเอาให้หมดนี่ก่อนแล้วไปพร้อมกัน กลัววัดไผ่ตันหายเหรอไงวะ...วัดอยู่แค่นี้เองกลับดึกนิดหน่อยหลวงพ่อท่านไม่ว่าหรอกน่า” ไอ้บังมันดึงผมไว้ก็เลยจำเป็นต้องนั่งกินต่อกับมันกว่าจะแยกย้ายกันก็ปาเข้าไป 4 ทุ่มกว่าแล้ว ลำพังผมเองผมไม่เป็นไรหรอกเพราะจากที่นี่ไปวัดไผ่ตันนั่งรถเมล์ไม่เกิน 5 นาทีก็ถึงแล้ว แต่เป็นห่วงพวกมันนะแหล่ะที่พักอยู่ไกลกว่าผมเยอะแล้วดูสภาพแต่ละคนเมาเละ
“ พวกกูว่าพวกไปพักผ่อนที่วัดไผ่ตันก่อนดีกว่าไหมวะ ดูสภาพแต่ละคนเมาเละเลยไปนอนพักที่วัดก่อนเถอะเพื่อนสร่างเมาแล้วค่อยกลับ” ผมแนะนำเพราะเป็นห่วงเพื่อน
“ เฮ้ย!..กูเมามากกว่านี้กูก็ยังกลับได้...เป็นห่วงวัดของมากนักก็รีบกลับไปเลยไอ้เด็กวัด” ไอ้วัติมันทำโมโหใส่ผม
“ อ้าว!..ทำไมพูดอย่างนี้วะเพื่อนกูรึก็อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวจะกลับบ้านไม่ปลอดภัย เออ...ถ้าเก่งนักก็กลับเองละกันกูไม่ยุ่งแล้ว...

เอ๊ย!...กูกลับละ” ผมหัวเสียกับไอ้พวกนี้เหลือเกิน แล้วผมก็เดินจากมา เอ๊ยเรารึก็อุตส่าห์เป็นห่วงช่างหัว

เถอะวะ “หงุดหงิดโว้ย!!!” แล้วผมก็เดินขึ้นรถเมล์เพื่อกลับวัด ระหว่างทางกลับวัดนั้นจู่ๆรถเมล์ก็เบรกกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ ผมไม่ทันตั้งตัวหัวทิ่มไปด้านหน้าอย่างแรงหน้าผมไปกระแทกกับบั้นท้ายคนข้างหน้าอย่างจังผมตกใจมากเอ่ยปากขอโทษคนๆนั้น
“ ขอโทษครับ...ผมไม่ได้ตั้งใจครับ...มันเป็นอุบัติเหตุครับ” แล้วผมก็ได้ยินเสียงตอบมาว่า
“ ไม่เป็นไรจ้ะพ่อหนุ่มรูปหล่อ...เอาอีกทีก็ได้นะจ๊ะเจ๊ชอบ” ผมสะดุ้งเฮือกแหงนหน้าขึ้นไปมอง เฮ้ย!!!...กะเทยนี่หว่า ผมกล่าวขอโทษอีกครั้งหนึ่งพอดีรถเมล์มาจอดป้ายหน้าวัดพอดี ผมลงรถเมล์แล้วรีบเดินจ้ำอ้าวเข้าวัดชนิดไม่หันหลังกลับไปมองเลยทีเดียวจนถึงวัด ชวย

ดีนะที่เป็นกะเทยถ้าเป็นนักเลงล่ะก็สงสัยกูโดนกระทืบแบนแต๊ดแต๋คารถเมล์แน่ๆเลยคิดแล้วสยองไม่หาย จากนั้นก็เดินเข้าวัดอย่างปลอดภัยพักผ่อนพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่
เด็กเทพวัดไผ่ตัน The Hero From Phaitan Temple ตอนที่ 2
เวลา 08.00 น. เข้าแถวเคารพธงชาติ หลังจากนั้นผู้อำนวยการสถานศึกษาก็กล่าวทักทายพร้อมกับแนะนำอาจารย์และเจ้าหน้าที่ประจำสถานศึกษาให้นักศึกษาใหม่ได้รู้จัก จากนั้นก็ชี้แจงกฎระเบียบของสถานศึกษา ข้อควรปฏิบัติและขอไม่ควรปฏิบัติให้นักศึกษาใหม่ได้รับทราบแล้วจึงปล่อยแถวเพื่อให้นักศึกษาได้เข้าชั้นเรียน รุ่นของผมเป็นรุ่นที่ 59 ของสถาบันฯ มีนักศึกษาจำนวน 100 คนจึงแบ่งเป็น 2 ห้องเรียนผมได้อยู่ห้องเรียนที่ 1 สำหรับวิชาในการเรียนนั้นจะเน้นหนักไปวิชาการทางด้านสัตวแพทย์ เช่น วิชากายวิภาคศาสตร์ สูติศาสตร์ ศัลยกรรมศาสตร์ และวิชาอื่นๆทางด้านชีววิทยาอีกมากมาย เป็นหลักซึ่งเป็นวิชาทีต้องท่องจำทั้งสิ้น แต่ก็พอมีวิชาที่เบาๆสมองบ้าง เช่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ พลศึกษา เป็นต้น พวกเราเรียนมาได้ประมาณ 3 เดือน ต่างคนก็ต่างเครียดกันมากผมก็เหมือนกัน ผมมานั่งคิดดูแล้วน่าจะมีการสันทนาการร่วมกันระหว่างนักศึกษากันบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลายจากการที่เรียนมาหนักและเป็นการสร้างความสามัคคีในหมู่คณะไปในตัวด้วย ผมคิดว่าควรจะจัดการแข่งขันกีฬากระชับมิตรขึ้นผมจึงเข้าขอพบอาจารย์ประจำวิชาพลศึกษา ท่านอาจารย์ประสิทธิ์ เพื่อขอคำปรึกษา...
“ อาจารย์ครับขออนุญาตครับ” ผมขอเข้าพบ
“ อ้าว!..ณพฉัตรเองรึ มีอะไร” อาจารย์ถาม
“ เรื่องกีฬาอาจารย์ถนัดกีฬาอะไรมากที่สุดครับ ส่วนผมถนัดเซปักตระกร้อ” ผมถาม
“ ถามทำไมวะ อั๊วชอบฟุตบอลมีอะไรรึ” อาจารย์ตอบแบบงงๆ
“ ไม่มีอะไรมากหรอกครับแค่ผมอยากท้าอาจารย์มาแข่งตระกร้อเท่านั้นเอง อาจารย์ก็รู้พวกผมเรียนหนักมากแค่ไหนก็แค่อยากผ่อนคลายบ้างจะได้หายเครียด อาจารย์จะรับคำท้ารึป่าว ” ผมท้าทาย
“ อุวะ!..ไอ้หนึ่งลื้อกล้าท้าอั๊วอย่างนี้เชียวรึมันจะมากไปแล้วนะ ได้ที่ไหนเมื่อไหร่บอกมา มันจะซักเท่าไรวะฟุตบอลกับตระกร้อมันก็ลูกกลมเหมือนกันแหล่ะวะ” อาจารย์แสดงอาการหงุดหงิดเล็กน้อย
“ อาจารย์อย่าพึ่งหงุดหงิดซิครับแค่นัดกระชับมิตรระหว่างศิษย์กับอาจารย์ น่าอาจารย์ผมก็แค่อยากให้มีการจัดกรรมกิจขึ้นมาพวกเพื่อนๆของผมจะได้คลายเครียดกันบ้าง ว่าแต่ถ้าอาจารย์รับคำท้าแล้วก็เตรียมจัดหาลูกทีมได้เลยทีมละ 3 คนนะครับ ส่วนวันและเวลาผมจะแจ้งให้ทราบอีกทีนะครับ” ผมยั่วอาจารย์เล็กน้อย
“ เออ!..อั๊วรับคำท้า มันจะซักแค่ไหนเชียวแค่แข่งเซปักตระกร้อ” อาจารย์ตอบรับแบบหงุดหงิดถ้าให้ผมเดานะในใจอาจารย์คงด่าผมว่าไอ้ศิษย์เลวคิดจะล้างครูเป็นแน่แท้
ข่าวการท้าประลองฝีมือการแข่งขันเซปักตะกร้อระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ประสิทธิ์ก็ดังไปทั่วสถานศึกษา นักศึกษาทุกคนต่างก็ตั้งหน้าตารอว่าเมื่อไหร่การแข่งขันนัดสำคัญจะเกิดขึ้นซะที สำหรับผมนั้นไม่ได้คาดหวังจะประหัตประหารกับครูบาอาจารย์หรอก เพียงแต่อยากให้เพื่อนๆนักศึกษาได้มีการสันทนาการร่วมกันก็พอแพ้ชนะไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับผมหรอก ซึ่งอาจารย์ประสิทธิ์ท่านก็น่ารู้อยู่แล้วในจุดประสงค์ของผมท่านถึงรับคำท้ายังไงล่ะ
และแล้ววันแข่งขันประลองฝีมือก็มาถึง ผมสังเกตเห็นว่าวันนี้กองเชียร์เต็มสนามน่าสนุกดีหวะ แล้วก็ถึงเวลานักกีฬาลงสนาม ฝ่ายของผมมี ผมเป็นตัวส่งลูก ไอ้เหน่งเป็นตัวชง และพี่โบ้(รุ่นพี่สอบตกมาเรียนซ้ำ)เป็นตัวทำคะแนน ส่วนฝ่ายตรงข้ามมีอาจารย์ประสิทธิ์เป็นหัวหน้าทีมลูกทีมของอาจารย์ดูแล้วไม่ธรรมดาเลย แล้วการแข่งขันก็เริ่มขึ้นต่างฝ่ายต่างแข่งขันกันอย่าเต็มที่ ผลัดกันรุกผลัดกันรับเป็นที่สนุกสนานโดยเฉพาะกองเชียร์ต่างก็เชียร์กันแบบคึกครื้นผมไม่แน่ใจนะว่ามีการเดิมพันกันหรือเปล่าแต่ก็ช่างมันเถอะไม่มีอยู่ในกติกานี่ว่าห้ามเล่นการพัน เป็นไปตามเป้าหมายที่ผมวางไว้เห็นทุกคนสนุกสนาน ผ่อนคลาย มีความสุขแค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ผลการแข่งขันฝ่ายอาจารย์ชนะ แพ้อยู่กับพระ(เพราะผมอยู่กับพระอยู่แล้ว) ชนะอยู่กับมาร...แค่ได้เห็นพวกเราสามัคคีกัน มีความสุขผมก็พอใจแล้ว อิๆๆๆ
ผมทำหน้าที่ลูกศิษย์วัดไผ่ตันและหน้าที่นักศึกษาสัตวแพทย์ไปพร้อมๆกันเป็นเวลาประมาณ 2 ปี ในที่สุดผมก็สำเร็จการศึกษา ผมดีใจและภาคภูมิใจมากยิ่งตอนที่สถานศึกษาประกาศผลการเรียน ผมได้เกรดเฉลี่ย 2.80 ยิ่งทำให้ผมดีใจใหญ่ ประกาศก้องในใจ “ กูเรียนจบแล้วโว้ย!!!” เพื่อนๆต่างก็แสดงความยินดีให้แก่กันและกันอย่างนี้มันต้องฉลอง แล้วเพื่อนคนหนึ่งถามว่า
“ เฮ้ย!...พักพวกเราไปฉลองกันที่ไหนดีวะ”
“ กูว่าไปหน้าหอวังดีกวะเพื่อนร้านประจำของพวกเรานะแหล่ะอาหารอร่อย ราคาประหยัด แถมมีสาวๆให้มองด้วยโว้ย...ว่าไงวะ” ไอ้ลิตเป็นคนเสนอ
“ ก็ดีหวะ...คนอื่นว่าไง” ผมเห็นด้วย “แต่กูว่าพวกเราไปวัดสายตากันหน่อยไม่ดีเหรอเพื่อน ซอย 36 ร้านเดิม” แอ๊ดเสนอ “ก็ดีเหมือนกันวะไม่ได้เล่นมาตั้งนานแล้ว ไปประลองกัน วัดสายตากันพวกเราว่ายังไงกันวะ แล้วเราค่อยไปต่อที่หอวัง” ไอ้บังเห็นชอบด้วย แล้วพวกเราก็เดินเข้าในซอย 36 ตรงข้าม ม.เกษตร ไปร้านสนุกเกอร์ร้านประจำ จากนั้นต่างคนก็ต่างมั่นใจในฝีมือของตนเองทดสอบสนามโต๊ะสนุกเกอร์ กระเหี้ยนกระหือรือเพื่อจะวัดสายตากันแล้วก็มีการจับคู่กัน คู่แรก แอ๊ดกับวัติ คู่ที่สอง บังกับลิต ธรรมดาการแข่งขันย่อมต้องมีเดิมพัน แต่พวกเราเดิมพันกันแบบฉันเพื่อนเพื่อกระตุ้นความฮึกเหิมในใจ เกมเริ่มขึ้นแล้ว ผมนั่งดูอยู่ข้างๆจิบเหล้าบางๆและคอยบริการชงเหล้าให้เพื่อนๆ ดูพวกมันเล่นสนุกดี ผมนั่งจิบเหล้าดูแต่ละคนเอาจริงเอาจังกันมากผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่ไม่เห็นมีใครเครียดสักคนมีแต่รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะไม่ใช่ว่าผมเล่นไม่เป็นนะแต่ไม่มีคู่เล่นด้วยตากหาก ผมมองดูนาฬิกาแล้วบอกเพื่อนๆว่า “เฮ้ย...พวกนี่มันสี่โมงเย็นกว่าแล้วนะโว้ย..เราจะไปต่อที่หน้าโรงเรียนหอวังกันไม่ใช่เหรอวะ เดี๋ยวสาวๆหอวังก็กลับบ้านกันหมดหรอก” “เออ..ใช่หวะเร็วพวกไอ้วัติ ไอ้ลิต ตามกูมา ไอ้แอ๊ดไปเช็คบิล ไอ้หนึ่งอยู่กับไอ้แอ๊ดเสร็จแล้วตามพวกกูมา” ไอ้บังมันสั่งการ
แล้วพวกเรา 5 สหายก็เดินทางมาถึงร้านค้าริมฟุตบาทหน้าโรงเรียนหอวังข้างห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว สั่งเหล้า 1 กลม น้ำแข็ง โซดา ลาบ น้ำตก พร้อมสรรพ ต่างก็ลงมือสังสรรค์กันแบบสนุกสนานเพลิดเพลินกินกันอย่างเต็มที่ ที่น่าสนใจก็คือสาวๆหอวังไงครับ ได้มอง ได้ยิ้มให้ อย่างเพลิดเพลินใจแค่นี้ก็พอใจแล้วเป็นความชื่นบานในหัวใจของเด็กนักเรียนสัตวแพทย์บ้านนอกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาเรียนในนครหลวง อะไรหมดก็สั่งมาเพิ่มจนเวลาล่วงเลยไปเท่าไหร่รู้ ต่างคนก็ต่างเริ่มหมดสภาพ
“ เฮ้ย...กูว่ากูเมาแล้วหวะกูขอตัวกลับก่อนนะ” ผมบอกเพื่อนๆ
“ จะรีบไปไหนวะไอ้หนึ่ง...อย่าพึ่งรีบเพื่อนเอาให้หมดนี่ก่อนแล้วไปพร้อมกัน กลัววัดไผ่ตันหายเหรอไงวะ...วัดอยู่แค่นี้เองกลับดึกนิดหน่อยหลวงพ่อท่านไม่ว่าหรอกน่า” ไอ้บังมันดึงผมไว้ก็เลยจำเป็นต้องนั่งกินต่อกับมันกว่าจะแยกย้ายกันก็ปาเข้าไป 4 ทุ่มกว่าแล้ว ลำพังผมเองผมไม่เป็นไรหรอกเพราะจากที่นี่ไปวัดไผ่ตันนั่งรถเมล์ไม่เกิน 5 นาทีก็ถึงแล้ว แต่เป็นห่วงพวกมันนะแหล่ะที่พักอยู่ไกลกว่าผมเยอะแล้วดูสภาพแต่ละคนเมาเละ
“ พวกกูว่าพวกไปพักผ่อนที่วัดไผ่ตันก่อนดีกว่าไหมวะ ดูสภาพแต่ละคนเมาเละเลยไปนอนพักที่วัดก่อนเถอะเพื่อนสร่างเมาแล้วค่อยกลับ” ผมแนะนำเพราะเป็นห่วงเพื่อน
“ เฮ้ย!..กูเมามากกว่านี้กูก็ยังกลับได้...เป็นห่วงวัดของมากนักก็รีบกลับไปเลยไอ้เด็กวัด” ไอ้วัติมันทำโมโหใส่ผม
“ อ้าว!..ทำไมพูดอย่างนี้วะเพื่อนกูรึก็อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวจะกลับบ้านไม่ปลอดภัย เออ...ถ้าเก่งนักก็กลับเองละกันกูไม่ยุ่งแล้ว...
“ ขอโทษครับ...ผมไม่ได้ตั้งใจครับ...มันเป็นอุบัติเหตุครับ” แล้วผมก็ได้ยินเสียงตอบมาว่า
“ ไม่เป็นไรจ้ะพ่อหนุ่มรูปหล่อ...เอาอีกทีก็ได้นะจ๊ะเจ๊ชอบ” ผมสะดุ้งเฮือกแหงนหน้าขึ้นไปมอง เฮ้ย!!!...กะเทยนี่หว่า ผมกล่าวขอโทษอีกครั้งหนึ่งพอดีรถเมล์มาจอดป้ายหน้าวัดพอดี ผมลงรถเมล์แล้วรีบเดินจ้ำอ้าวเข้าวัดชนิดไม่หันหลังกลับไปมองเลยทีเดียวจนถึงวัด ชวย