เด็กเทพวัดไผ่ตัน The Hero From Phaitan Temple ตอนที่ 2


ตอนที่ 2  โรงเรียนสัตวแพทย์ 

                ผมยืนอยู่หน้าสถาบันการศึกษาแล้วผมชื่นใจจริงๆ  ไม่เสียแรงที่พ่อ-แม่  ท่านส่งเสียเคี่ยวเขนให้ร่ำเรียนหนังสือเพื่อใฝ่หาความรู้จนมาถึงวันนี้อยากให้ท่านมาเห็นภาพนี้เหลือเกิน  แล้วผมก็เดินเข้าสถานศึกษาอย่างภาคภูมิใจ  ยกมือไหว้สวัสดีอาจารย์ที่มารอรับลูกศิษย์ใหม่ในวันเปิดเทรมวันแรกที่ประตูทางเข้าสถานศึกษาอย่างอ่อนน้อมด้วยความเคารพ  แล้วเข้าไปทักทายและทำความรู้จักเพื่อนร่วมรุ่นซึ่งส่วนมากจะเป็นคนที่มาจากต่างจังหวัดแทบทั้งสิ้นเหมือนผมนี่แหล่ะ  มาจากภาคเหนือ  ภาคกลาง  ภาคอีสาน  และภาคใต้  ก็เด็กบ้านนอกเหมือนกันทั้งนั้น
  
                เวลา 08.00 น.  เข้าแถวเคารพธงชาติ  หลังจากนั้นผู้อำนวยการสถานศึกษาก็กล่าวทักทายพร้อมกับแนะนำอาจารย์และเจ้าหน้าที่ประจำสถานศึกษาให้นักศึกษาใหม่ได้รู้จัก  จากนั้นก็ชี้แจงกฎระเบียบของสถานศึกษา  ข้อควรปฏิบัติและขอไม่ควรปฏิบัติให้นักศึกษาใหม่ได้รับทราบแล้วจึงปล่อยแถวเพื่อให้นักศึกษาได้เข้าชั้นเรียน  รุ่นของผมเป็นรุ่นที่ 59 ของสถาบันฯ  มีนักศึกษาจำนวน 100 คนจึงแบ่งเป็น 2 ห้องเรียนผมได้อยู่ห้องเรียนที่ 1  สำหรับวิชาในการเรียนนั้นจะเน้นหนักไปวิชาการทางด้านสัตวแพทย์  เช่น  วิชากายวิภาคศาสตร์  สูติศาสตร์  ศัลยกรรมศาสตร์  และวิชาอื่นๆทางด้านชีววิทยาอีกมากมาย  เป็นหลักซึ่งเป็นวิชาทีต้องท่องจำทั้งสิ้น  แต่ก็พอมีวิชาที่เบาๆสมองบ้าง  เช่น ภาษาไทย  ภาษาอังกฤษ  พลศึกษา  เป็นต้น  พวกเราเรียนมาได้ประมาณ 3 เดือน  ต่างคนก็ต่างเครียดกันมากผมก็เหมือนกัน  ผมมานั่งคิดดูแล้วน่าจะมีการสันทนาการร่วมกันระหว่างนักศึกษากันบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลายจากการที่เรียนมาหนักและเป็นการสร้างความสามัคคีในหมู่คณะไปในตัวด้วย  ผมคิดว่าควรจะจัดการแข่งขันกีฬากระชับมิตรขึ้นผมจึงเข้าขอพบอาจารย์ประจำวิชาพลศึกษา  ท่านอาจารย์ประสิทธิ์  เพื่อขอคำปรึกษา...
                “ อาจารย์ครับขออนุญาตครับ”  ผมขอเข้าพบ
                “ อ้าว!..ณพฉัตรเองรึ  มีอะไร”  อาจารย์ถาม
                “ เรื่องกีฬาอาจารย์ถนัดกีฬาอะไรมากที่สุดครับ  ส่วนผมถนัดเซปักตระกร้อ”  ผมถาม
                “ ถามทำไมวะ  อั๊วชอบฟุตบอลมีอะไรรึ”  อาจารย์ตอบแบบงงๆ
                “  ไม่มีอะไรมากหรอกครับแค่ผมอยากท้าอาจารย์มาแข่งตระกร้อเท่านั้นเอง  อาจารย์ก็รู้พวกผมเรียนหนักมากแค่ไหนก็แค่อยากผ่อนคลายบ้างจะได้หายเครียด  อาจารย์จะรับคำท้ารึป่าว ” ผมท้าทาย
                “ อุวะ!..ไอ้หนึ่งลื้อกล้าท้าอั๊วอย่างนี้เชียวรึมันจะมากไปแล้วนะ  ได้ที่ไหนเมื่อไหร่บอกมา  มันจะซักเท่าไรวะฟุตบอลกับตระกร้อมันก็ลูกกลมเหมือนกันแหล่ะวะ”  อาจารย์แสดงอาการหงุดหงิดเล็กน้อย
                “ อาจารย์อย่าพึ่งหงุดหงิดซิครับแค่นัดกระชับมิตรระหว่างศิษย์กับอาจารย์  น่าอาจารย์ผมก็แค่อยากให้มีการจัดกรรมกิจขึ้นมาพวกเพื่อนๆของผมจะได้คลายเครียดกันบ้าง  ว่าแต่ถ้าอาจารย์รับคำท้าแล้วก็เตรียมจัดหาลูกทีมได้เลยทีมละ 3 คนนะครับ  ส่วนวันและเวลาผมจะแจ้งให้ทราบอีกทีนะครับ” ผมยั่วอาจารย์เล็กน้อย
                “ เออ!..อั๊วรับคำท้า  มันจะซักแค่ไหนเชียวแค่แข่งเซปักตระกร้อ”  อาจารย์ตอบรับแบบหงุดหงิดถ้าให้ผมเดานะในใจอาจารย์คงด่าผมว่าไอ้ศิษย์เลวคิดจะล้างครูเป็นแน่แท้
                
                 ข่าวการท้าประลองฝีมือการแข่งขันเซปักตะกร้อระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ประสิทธิ์ก็ดังไปทั่วสถานศึกษา  นักศึกษาทุกคนต่างก็ตั้งหน้าตารอว่าเมื่อไหร่การแข่งขันนัดสำคัญจะเกิดขึ้นซะที  สำหรับผมนั้นไม่ได้คาดหวังจะประหัตประหารกับครูบาอาจารย์หรอก  เพียงแต่อยากให้เพื่อนๆนักศึกษาได้มีการสันทนาการร่วมกันก็พอแพ้ชนะไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับผมหรอก  ซึ่งอาจารย์ประสิทธิ์ท่านก็น่ารู้อยู่แล้วในจุดประสงค์ของผมท่านถึงรับคำท้ายังไงล่ะ
                
                 และแล้ววันแข่งขันประลองฝีมือก็มาถึง  ผมสังเกตเห็นว่าวันนี้กองเชียร์เต็มสนามน่าสนุกดีหวะ  แล้วก็ถึงเวลานักกีฬาลงสนาม  ฝ่ายของผมมี  ผมเป็นตัวส่งลูก  ไอ้เหน่งเป็นตัวชง  และพี่โบ้(รุ่นพี่สอบตกมาเรียนซ้ำ)เป็นตัวทำคะแนน  ส่วนฝ่ายตรงข้ามมีอาจารย์ประสิทธิ์เป็นหัวหน้าทีมลูกทีมของอาจารย์ดูแล้วไม่ธรรมดาเลย  แล้วการแข่งขันก็เริ่มขึ้นต่างฝ่ายต่างแข่งขันกันอย่าเต็มที่  ผลัดกันรุกผลัดกันรับเป็นที่สนุกสนานโดยเฉพาะกองเชียร์ต่างก็เชียร์กันแบบคึกครื้นผมไม่แน่ใจนะว่ามีการเดิมพันกันหรือเปล่าแต่ก็ช่างมันเถอะไม่มีอยู่ในกติกานี่ว่าห้ามเล่นการพัน  เป็นไปตามเป้าหมายที่ผมวางไว้เห็นทุกคนสนุกสนาน  ผ่อนคลาย  มีความสุขแค่นี้ผมก็พอใจแล้ว  ผลการแข่งขันฝ่ายอาจารย์ชนะ  แพ้อยู่กับพระ(เพราะผมอยู่กับพระอยู่แล้ว)  ชนะอยู่กับมาร...แค่ได้เห็นพวกเราสามัคคีกัน  มีความสุขผมก็พอใจแล้ว  อิๆๆๆ

                ผมทำหน้าที่ลูกศิษย์วัดไผ่ตันและหน้าที่นักศึกษาสัตวแพทย์ไปพร้อมๆกันเป็นเวลาประมาณ 2 ปี  ในที่สุดผมก็สำเร็จการศึกษา  ผมดีใจและภาคภูมิใจมากยิ่งตอนที่สถานศึกษาประกาศผลการเรียน  ผมได้เกรดเฉลี่ย 2.80  ยิ่งทำให้ผมดีใจใหญ่  ประกาศก้องในใจ “ กูเรียนจบแล้วโว้ย!!!”  เพื่อนๆต่างก็แสดงความยินดีให้แก่กันและกันอย่างนี้มันต้องฉลอง  แล้วเพื่อนคนหนึ่งถามว่า
                “ เฮ้ย!...พักพวกเราไปฉลองกันที่ไหนดีวะ”
                “ กูว่าไปหน้าหอวังดีกวะเพื่อนร้านประจำของพวกเรานะแหล่ะอาหารอร่อย  ราคาประหยัด  แถมมีสาวๆให้มองด้วยโว้ย...ว่าไงวะ” ไอ้ลิตเป็นคนเสนอ
                “ ก็ดีหวะ...คนอื่นว่าไง” ผมเห็นด้วย  “แต่กูว่าพวกเราไปวัดสายตากันหน่อยไม่ดีเหรอเพื่อน  ซอย 36 ร้านเดิม” แอ๊ดเสนอ  “ก็ดีเหมือนกันวะไม่ได้เล่นมาตั้งนานแล้ว  ไปประลองกัน  วัดสายตากันพวกเราว่ายังไงกันวะ  แล้วเราค่อยไปต่อที่หอวัง”  ไอ้บังเห็นชอบด้วย  แล้วพวกเราก็เดินเข้าในซอย 36 ตรงข้าม ม.เกษตร  ไปร้านสนุกเกอร์ร้านประจำ  จากนั้นต่างคนก็ต่างมั่นใจในฝีมือของตนเองทดสอบสนามโต๊ะสนุกเกอร์   กระเหี้ยนกระหือรือเพื่อจะวัดสายตากันแล้วก็มีการจับคู่กัน  คู่แรก  แอ๊ดกับวัติ  คู่ที่สอง บังกับลิต  ธรรมดาการแข่งขันย่อมต้องมีเดิมพัน  แต่พวกเราเดิมพันกันแบบฉันเพื่อนเพื่อกระตุ้นความฮึกเหิมในใจ  เกมเริ่มขึ้นแล้ว  ผมนั่งดูอยู่ข้างๆจิบเหล้าบางๆและคอยบริการชงเหล้าให้เพื่อนๆ  ดูพวกมันเล่นสนุกดี  ผมนั่งจิบเหล้าดูแต่ละคนเอาจริงเอาจังกันมากผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ  แต่ไม่เห็นมีใครเครียดสักคนมีแต่รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะไม่ใช่ว่าผมเล่นไม่เป็นนะแต่ไม่มีคู่เล่นด้วยตากหาก  ผมมองดูนาฬิกาแล้วบอกเพื่อนๆว่า  “เฮ้ย...พวกนี่มันสี่โมงเย็นกว่าแล้วนะโว้ย..เราจะไปต่อที่หน้าโรงเรียนหอวังกันไม่ใช่เหรอวะ  เดี๋ยวสาวๆหอวังก็กลับบ้านกันหมดหรอก”  “เออ..ใช่หวะเร็วพวกไอ้วัติ ไอ้ลิต  ตามกูมา ไอ้แอ๊ดไปเช็คบิล ไอ้หนึ่งอยู่กับไอ้แอ๊ดเสร็จแล้วตามพวกกูมา”  ไอ้บังมันสั่งการ    

                แล้วพวกเรา 5 สหายก็เดินทางมาถึงร้านค้าริมฟุตบาทหน้าโรงเรียนหอวังข้างห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซ่า  ลาดพร้าว  สั่งเหล้า 1 กลม  น้ำแข็ง  โซดา  ลาบ  น้ำตก  พร้อมสรรพ  ต่างก็ลงมือสังสรรค์กันแบบสนุกสนานเพลิดเพลินกินกันอย่างเต็มที่  ที่น่าสนใจก็คือสาวๆหอวังไงครับ  ได้มอง  ได้ยิ้มให้  อย่างเพลิดเพลินใจแค่นี้ก็พอใจแล้วเป็นความชื่นบานในหัวใจของเด็กนักเรียนสัตวแพทย์บ้านนอกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาเรียนในนครหลวง   อะไรหมดก็สั่งมาเพิ่มจนเวลาล่วงเลยไปเท่าไหร่รู้  ต่างคนก็ต่างเริ่มหมดสภาพ
                “ เฮ้ย...กูว่ากูเมาแล้วหวะกูขอตัวกลับก่อนนะ”  ผมบอกเพื่อนๆ
                “  จะรีบไปไหนวะไอ้หนึ่ง...อย่าพึ่งรีบเพื่อนเอาให้หมดนี่ก่อนแล้วไปพร้อมกัน  กลัววัดไผ่ตันหายเหรอไงวะ...วัดอยู่แค่นี้เองกลับดึกนิดหน่อยหลวงพ่อท่านไม่ว่าหรอกน่า”  ไอ้บังมันดึงผมไว้ก็เลยจำเป็นต้องนั่งกินต่อกับมันกว่าจะแยกย้ายกันก็ปาเข้าไป 4 ทุ่มกว่าแล้ว  ลำพังผมเองผมไม่เป็นไรหรอกเพราะจากที่นี่ไปวัดไผ่ตันนั่งรถเมล์ไม่เกิน 5 นาทีก็ถึงแล้ว  แต่เป็นห่วงพวกมันนะแหล่ะที่พักอยู่ไกลกว่าผมเยอะแล้วดูสภาพแต่ละคนเมาเละ
                “ พวกกูว่าพวกไปพักผ่อนที่วัดไผ่ตันก่อนดีกว่าไหมวะ  ดูสภาพแต่ละคนเมาเละเลยไปนอนพักที่วัดก่อนเถอะเพื่อนสร่างเมาแล้วค่อยกลับ”  ผมแนะนำเพราะเป็นห่วงเพื่อน
                “ เฮ้ย!..กูเมามากกว่านี้กูก็ยังกลับได้...เป็นห่วงวัดของมากนักก็รีบกลับไปเลยไอ้เด็กวัด” ไอ้วัติมันทำโมโหใส่ผม
                “ อ้าว!..ทำไมพูดอย่างนี้วะเพื่อนกูรึก็อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวจะกลับบ้านไม่ปลอดภัย  เออ...ถ้าเก่งนักก็กลับเองละกันกูไม่ยุ่งแล้ว...ยิ้มเอ๊ย!...กูกลับละ” ผมหัวเสียกับไอ้พวกนี้เหลือเกิน  แล้วผมก็เดินจากมา เอ๊ยเรารึก็อุตส่าห์เป็นห่วงช่างหัวยิ้มเถอะวะ “หงุดหงิดโว้ย!!!”  แล้วผมก็เดินขึ้นรถเมล์เพื่อกลับวัด  ระหว่างทางกลับวัดนั้นจู่ๆรถเมล์ก็เบรกกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ  ผมไม่ทันตั้งตัวหัวทิ่มไปด้านหน้าอย่างแรงหน้าผมไปกระแทกกับบั้นท้ายคนข้างหน้าอย่างจังผมตกใจมากเอ่ยปากขอโทษคนๆนั้น
                “ ขอโทษครับ...ผมไม่ได้ตั้งใจครับ...มันเป็นอุบัติเหตุครับ”  แล้วผมก็ได้ยินเสียงตอบมาว่า
                “ ไม่เป็นไรจ้ะพ่อหนุ่มรูปหล่อ...เอาอีกทีก็ได้นะจ๊ะเจ๊ชอบ” ผมสะดุ้งเฮือกแหงนหน้าขึ้นไปมอง  เฮ้ย!!!...กะเทยนี่หว่า  ผมกล่าวขอโทษอีกครั้งหนึ่งพอดีรถเมล์มาจอดป้ายหน้าวัดพอดี  ผมลงรถเมล์แล้วรีบเดินจ้ำอ้าวเข้าวัดชนิดไม่หันหลังกลับไปมองเลยทีเดียวจนถึงวัด  ชวยยิ้มดีนะที่เป็นกะเทยถ้าเป็นนักเลงล่ะก็สงสัยกูโดนกระทืบแบนแต๊ดแต๋คารถเมล์แน่ๆเลยคิดแล้วสยองไม่หาย  จากนั้นก็เดินเข้าวัดอย่างปลอดภัยพักผ่อนพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่