ขอทักทายเพื่อนๆในพันทิปและผู้สนใจอ่านกระทู้นี้ก่อนเลย นี่เป็นกระทู้แรกที่อยากแชร์ประสบการณ์ มุมมอง เพื่อเป็นข้อมูลแบ่งปันให้ผู้สนใจเดินทางไปโอซาก้า เกียวโต โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่กำลังจะมาถึง เผื่อบางเรื่องราวจะเป็นประโยชน์กับทุกคนได้บ้าง มากน้อย ด้วยจริงๆ เราอยากขอบคุณและตอบแทนข้อมูลท่องเที่ยวจากหลายๆกระทู้ที่เคยนำมาลงไว้ ได้ช่วยเรามากๆ ในแง่การเดินทางไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน หรือในไทยที่เราเคยไป ก็ได้ข้อมูลจากที่นี่คอยแนะนำตลอด เราอยากเรียกเวปนี้ว่าเป็นพันทิปเพื่อนช่วยเพื่อนมากกว่า
ในส่วนนี้เราอาจจะไม่ได้รีวิวละเอียดขนาดว่าเดินยังไง นั่งรถอะไร แบบ google map ขนาดนั้น เพราะจริงๆแล้วทุกคนสามารถเดินทางได้ไม่ยาก โดยมี app เดินทางที่เข้ามาแทนที่ Hyperdia เดิมที่มีการยกเลิก version เต็มไป ที่ทุกคนอาจจะเคยใช้เวลาไปญี่ปุ่นเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว อันนี้เป็น app ที่เราอยากแนะนำคือ Japan travel by NAVITIME ซึ่งถ้ามีคนสนใจอยากทราบ เราอาจจะรีวิว app นี้ให้อีกครั้ง ถ้าพอมีเวลา
เข้าเรื่องโปรแกรมของเราเลยก็แล้วกัน
ครั้งนี้เราเดินทางช่วงวีค 3-4 ของเดือน พ.ย ปีที่ผ่านมา ทั้งหมด 10 วันรวมวันเดินทางเนื่องจากดูตารางไว้ล่วงหน้าว่าจะไปดูใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งหลักๆ ไปกี่ครั้งเรามักจะเลือกช่วงนี้เสมอ เนื่องจากชอบเป็นพิเศษเรื่องของอากาศที่เย็นสบาย ออกหนาว และใบไม้เปลี่ยนสีที่ไม่ว่าจะอยู่จุดไหน มองไป ก็สวยงามอยู่เสมอ และมันจะสวยงามและมีความสุขเมื่อเราไปกับคนที่เราถูกใจ สไตล์เดียวกัน เพราะสุดท้ายจะแฮปปี้หรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราไปกับใคร โปรแกรมคราวนี้ของเราคือ โอซาก้า เกียวโต พยายามเก็บในส่วนของเกียวโตที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ไปด้วย แต่ที่ไปก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอยู่ เพราะเราอยากให้เพื่อนที่ไปครั้งแรกกับเรา ได้เห็นไฮไลท์จุดท่องเที่ยวเด่นๆ ของเมืองด้วย
เราเลือกเดินทางกับ Air asia บินตรงลงโอซาก้า สนามบิน Kansai ถึงแม้ช่วงหลังโควิดมาราคาจะขึ้นไปสูงสักหน่อย แต่เราว่าคุ้ม เพราะใช้เวลาบินไม่มาก ควรนั่งไฟลท์ตรงไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาต่อเครื่องซึ่งอาจจะประหยัดไปแค่ 2,000-3,000 บาท
ลงจากเครื่องมา ถ้าไม่รีบมากก็มีร้านอาหารให้เรานั่งทานได้ ก่อนจะไปซื้อตั๋วรถไฟเดินทางเข้าเมือง ถ้าเป็นสมัยก่อน คนอาจนิยมซื้อ JR Pass แต่มาหลังๆ เราคำนวนแล้วว่ามันไม่คุ้ม นอกจากคนที่ต้องการเปลี่ยนเมืองแบบไปไกลๆ เช่นเที่ยวโอซาก้า แล้วอยากจะไปโตเกียวด้วย หรือไปเที่ยวต่อแถว หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ที่ต้องเดินทางนานๆ ก็อาจจะคุ้ม แต่สำหรับเรา เราว่าแบบนั้นมันเหนื่อยเกินไป ควรท่องเที่ยวเป็นภูมิภาคจะดีกว่า ประหยัดกว่า ไม่เหนื่อยมาก ไม่เสียเวลาเดินทาง เพราะบางคนมีเวลาไม่มาก อาจจะลางานไปได้แค่ 5-6 วัน ก็ไม่คุ้มที่ต้องไปแบบนั้น แล้วถ้าครั้งหน้ามาอีก เราก็อาจจะเปลี่ยนไปภูมิภาคที่อยากไป ซึ่งน่าจะดีกว่าในมุมมอง และประสบการณ์ที่เคยผ่านในจุดนั้นมาแล้ว ย้อนคิดไปอีกที เราอึดอะไรอย่างนั้นนะ แพลนไปได้ยังไง
ที่พัก
เราเลือกพักที่โอซาก้าที่เดียวเลย เพราะไม่อยากเหนื่อยเรื่องกระเป๋าเดินทางที่ต้องย้ายไปมา ถ้าจะพักที่เกียวโตด้วย เพียงแต่ก็ต้องแลกมากับการเดินทาง ไป กลับ ทุกวัน ซึ่งเราโอเคในจุดนี้ เหนื่อยเดิน แต่ไม่เหนื่อยเรื่องกระเป๋า ระยะทางจากโอซาก้าถึงเกียวโตก็ประมาณครึ่งชั่วโมงถึง 40นาที ขึ้นอยู่กับว่าจะไปส่วนไหนของเกียวโต แต่ถ้าใครมีเวลาหลายวัน เราคิดว่าไปเกียวโตก่อน แล้วไปพักสัก 3-4 วัน เที่ยวเกียวโตเก็บที่ที่อยากไป แล้วค่อยมูฟมาโอซาก้าก็ได้เหมือนกัน และขากลับจะได้ไปสนามบิน Kansai โดยใช้เวลาไม่มาก สำหรับที่พักเราค่อนข้างพอใจมาก โลเคชั่นดี เดินแค่ 200 เมตรจากทางออกสถานีรถไฟ มี 7-11, Family mart มีลิฟขึ้นลง ออกได้ทั้งจาก exit 6 หรือ 7 แต่ Exit 6 จะใกล้กว่า ฝั่งตรงข้ามมีทางขึ้น ลง เป็นลิฟท์กรณีมีกระเป๋าเดินทาง ค่อนข้างสะดวก จริงๆ การพักสถานีที่ไม่ใหญ่มากมีข้อดีคือ สามารถเดินออกมาจากจุดขึ้น ลง รถไฟ และเดินแค่ระยะสั้นๆ เพื่อมาทางออกสถานีได้เลย ไม่ต้องแบกกระเป๋าขึ้นลงบันได เราพักที่นี่ Bon condo ย่าน Namba Nipponbashi ลองเสิจดูได้เลย ราคาก็โอเค สถานที่สะอาด ทันสมัย ใช้ระบบกดรหัสประตูทางเข้า และห้องพัก ห้องกว้างดี กลุ่มเราไปกัน 4 คนพักกันสบาย มีอ่างล้างจาน อุปกรณ์ เครื่องซักผ้า โต้ะทานข้าวพร้อมเลย เผื่อใครสนใจที่เลือกพักสถานีไม่ใหญ่มาก มีข้อดีคือไม่ต้องเดินไกล เจอคนพลุกพล่าน วุ่นวาย และสถานีนี้ คือกลับไป airport คือง่ายมาก รวดเร็ว ที่สำคัญไม่ไกลจากจุดท่องเที่ยวด้วย เดินไปตรงถนนสัญลักษณ์ป้ายกุลิโกะ เลียบคลองดงโทโบริ ก็สบายๆ สำหรับคนมือใหม่ที่เดินทาง ถ้าไปพักแถวสถานีใหญ่ๆ ที่เป็นสถานีต่อรถไปที่ต่างๆ ได้ อาจหลงหาทางไปที่พักไม่เจอ ยิ่งไปเวลาเลิกงานด้วย รถไฟจะอัดแน่นไปด้วยผู้คน และในสถานีก็เดินกันควักไขว่ มีดีตรงเดียวคือ มีอาหารการกิน ขนมให้เราเลือกได้เยอะและเผื่อไปเที่ยวเมืองอื่นก็ต่อรถได้เลย เท่านั้นเอง
การเดินทางในโอซาก้า และเกียวโต
ในส่วนรถไฟจาก Airport เข้าเมือง Osaka เราใช้บริการ Nankai Airport express โดยซื้อตั๋วล่วงหน้ากับ Klook ได้ราคาถูกกว่านิดหน่อย ประมาณ 1,000 เยนต่อเที่ยว เพราะเกรงคิวจะยาวเลยซื้อไปก่อน ทาง Klook จะส่งเมล์มาให้ เราก็ save QR Code เก็บไว้เปรียบเหมือนตั๋ว แล้วไปขึ้นตั๋วจริงที่เคาเตอร์ Nankai ซึ่งเค้าจะมีแยกช่องพิเศษสำหรับขึ้นตั๋วไว้ให้เลย เราก็เลือกรอบขึ้นรถไปได้เลย ในส่วนตั๋วขากลับ แนะนำให้เราวางแผนไว้เลย ว่าจะกลับรอบกี่โมง ให้ match กับเวลาที่ต้องมาเช็คอินที่สนามบินขากลับ ดูเวลามาก่อนล่วงหน้าจาก website ของ Nankai airport express ได้เลย เพื่อจะได้ออกตั๋วขากลับ ไม่ต้องมาเสียเวลามาเดินหา counter Nankai ตามจุดหลักๆของสถานีรถไฟอีก เพราะเดินหา ใช้เวลามาก และบางครั้งเราก็ไม่ได้ขึ้นลงที่สถานีนั้นๆ เพราะเราเสียเวลาตรงนี้ไปเยอะเหมือนกัน และยังต้องต่อคิวออกตั๋วอีก เลยต้องให้วางแผนให้ดีและออกตั๋วไปเลยตั้งแต่วันที่มาถึง แต่ถ้าใครไม่อยากซื้อล่วงหน้าก็มาต่อคิวซื้อไปกลับที่เคาเตอร์ Nankai ได้เลยนะ
ในส่วนการเดินทางระหว่างสถานีในโอซาก้าและไปเกียวโต เราเลือกซื้อบัตร Icoca Kansai one pass เติมเงินและใช้ซื้อของในร้านสะดวกซื้อต่างๆ ขึ้นรถไฟ สะดวกมาก ไม่ต้องคอยซื้อตั๋วรายเที่ยว แค่แตะบัตรเข้า แล้วแตะออกเท่านั้น เงินค่าโดยสารก็จะถูกตัดจากบัตรไป พอใกล้หมดก็เติมเงินเพิ่มที่เครื่องเติมเงินในสถานีได้เลย ซื้อได้จากเคาเตอร์ Nankai นี้ล่ะ พอเดินออกมาจากเกทสักพักจะเจอ counter Nankai เลย ขากลับก็สามารถ refund เงินที่ค้างในบัตรคืนได้ แต่ถ้าใครไม่มีเงินเหลือ อยากสะสมบัตรเก็บเอาไว้ก็ได้เหมือนกัน ก็บัตรนั้นแสนจะน่ารักอ่ะ ญี่ปุ่นทำอะไรออกมาก็ดูน่ารักปุกปิกไปหมด แต่มันก็ต้องเสียค่ามัดจำบัตรที่หักไปนิดหน่อยและไม่ได้คืนเท่านั้น
เราจะเริ่มจากแนะนำสถานที่ที่เราเดินทางไป และมีอะไรน่าสนใจ เผื่อเป็นแนวทาง และให้เป็นคะแนนตามความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ อาจจะไม่ตรงใจสำหรับบางท่าน เพราะไม่มีใครที่คิดเหมือนกันไปซะหมด ตรงนี้ก็ต้องเข้าใจกันด้วยนะคะ เพราะประสบการณ์ชีวิตมันไม่ได้เท่ากัน
เกียวโต
Arashiyama Kyoto (อาราชิยาม่า เกียวโต)
เราเดินทางมาจากโอซาก้า โดยใช้เส้นทางมาที่นี่ โดยรถไฟ Hankyu line ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ แค่ 610 เยน ที่เลือกเส้นทางนี้เพราะจะหลีกเลี่ยงการเดินทางแบบที่เปลี่ยน Platform บ่อยๆ ที่ต้องเดินไกลๆ ในสถานี อันนี้นานหน่อยเพราะไปขึ้นผิดประเภทที่เป็นรถหวานเย็นจอดทุกสถานี แต่ถึงที่หมายเดียวกัน จริงๆ เราต้องเลือกดู อาจจะต้องรอขบวนหน่อย แบบ Limited express ก็จะดีกว่า และคนน้อยกว่า เพราะไม่ได้จอดตลอดทุกป้าย พอดีเราเดินทางช่วงที่คนออกมาทำงานกันด้วย คนเลยค่อนข้างเยอะ มาถึง Arashiyama เราก็ต้องมาเดินชมธรรมชาติเลียบแม่น้ำกันก่อน
เส้นทางเดินเลียบแม่น้ำและสวนคาเมะยาม่า (Kameyama Park)
เราเดินจากสถานีรถไฟ Hankyu ที่อยู่เส้นด้านหลังขนานกับแม่น้ำ และเดินออกมาจะเจอสะพาน โทเก็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge) เดินข้ามแม่น้ำมา และเดินเลียบขนานไปกับแม่น้ำจนเกือบสุดทาง จุดเด่นตรงนี้คือเรือแจวโบราณพายรับท่องเที่ยวอยู่ในแม่น้ำ ตัดกับใบไม้ที่เปลี่ยนเป็นสีส้มในช่วงปลายเดือน พ.ย จากจุดนี้ให้เดินเข้ามาด้านในที่เห็นเป็นสวน จะมีใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ และเดินขึ้นเนินมาอีกนิด จะถึงบริเวณจุดชมวิวอาราชิยาม่าซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา แนะนำให้มาค่ะ (คะแนน 5/5)
เส้นทางป่าไผ่ (Bamboo Grove) เส้นทางนี้จะอยู่บริเวณประตูด้านหลังของวัดเทนริวจิ
เรามาถึงช่วงสายของวันแล้ว คนมาเดินชมป่าไผ่กันเยอะมากๆ อาจจะเพราะมันเดินทะลุไปวัดเทนริวจิและเส้นทางเลียบแม่น้ำได้ หาจังหวะถ่ายรูปอยู่นาน มีคนมาถ่าย pre wedding ด้วย เป็นเราจะมาแต่เช้าสัก 7โมงเลย เพราะมันก็เสียเวลานักท่องเที่ยวอื่นๆ เหมือนกันที่ต้องรอ และรูปบ่าวสาวจะสวยมั้ยนะ คนขนาดนี้ (คะแนน 4/5)
วัดเทนริวจิ (Tenryuji Temple) (ค่าเข้าวัด 500 เยน)
มาแถวนี้แล้ว ก็เลยมีโอกาสมาเยี่ยมชมวัดมรดกโลกชื่อดังของเกียวโต อีกครั้ง ครั้งนี้ทำไมรู้สึกไม่ปะทับใจเท่าครั้งแรก จำได้ว่าเดินเป็นเส้นทางวงกลม ขึ้นเนินหน่อย และเป็นจุดที่มองเห็นใบไม้เปลี่ยนสีได้เยอะ เห็นท้องฟ้า มีม้านั่ง นั่งชมใบไม้เปลี่ยนสีท่ามกลางสวนและอากาศเย็นๆ ตอนนั้นประทับใจมากจริงๆ แต่มาครั้งนี้ ความรู้สึกเปลี่ยนไป ไม่ได้ประทับใจอะไรมากนัก คิดว่าอาจมาจากหลายๆ อย่าง
- ประสบการณ์การเดินทาง เห็นสถานที่แบบนี้ มากขึ้นจากระยะเวลาครั้งแรกที่ไม่เคยเห็น
- มุมมองความคิดที่เปลี่ยนไป
- จำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกิน ที่สถานที่จะรองรับ เทียบกับพื้นที่ เลยทำให้ดูแคบลง
(คะแนน 4/5)
ย่านฮิกาชิยาม่า (Higashiyama)
ย่านอนุรักษ์เมืองเก่าที่สวยงามและยังคงภาพของญี่ปุ่นดั้งเดิม
ย่านนี้ เรามาทุกครั้งที่มาเกียวโต ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ชอบอารมณ์การเดินเล่นไปตามร้านรวงแบบนี้มาก ระหว่างทางมีทั้งร้านชา ขนม ร้านภาชนะดินเผา ร้านขายของที่ระลึก บรรยากาศของทางเดินที่เชื่อมวัดกับศาลเจ้าเข้าด้วยกัน บรรยากาศการชิมชาฟรี กับขนมที่ร้านค้าแจกให้ลอง ยิ่งอากาศเย็นๆ มีชาเขียวร้อนๆมาจิบ ตัดกับขนมหวานหนึบๆ เอกลักษณ์ของเมืองมันเข้ากันได้ดีทีเดียว
(คะแนน 5/5)
วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) หรือ วัดน้ำใส (ค่าเข้าวัด 400 เยน)
มรดกโลก (UNESCO world heritage sites) ไฮไลท์คืออาคารไม้ขนาดใหญ่ที่สร้างโดยไม่มีการใช้ตะปูใดๆทั้งสิ้น ตอนนี้วัดน้ำใส ซ่อมแซมเสร็จแล้วในส่วนนี้ หลังจากปิดซ่อมมานานหลายปี แต่เรายังเห็นมีบางส่วนนอกเหนือส่วนนี้ยังขึงผ้าซ่อมอยู่ แต่ไม่น่าจะใช่จุดที่ไฮไลท์ ไปคราวนี้ถ่ายมุมสูงลงมาที่น้ำตกสามสาย ให้เห็นไลน์ของใบไม้เปลี่ยนสีด้วย ออกมาสวยดูดีเลย
(คะแนน 5/5)
เดี๋ยวไปต่อกระทู้ที่ 2 นะคะ พิมพ์ต่อไม่ได้ล่ะ เต็มโควต้าตัวอักษรแล้ว
[CR] I Love Japan - โอซาก้า เกียวโต ในวันที่เปลี่ยนสี
เข้าเรื่องโปรแกรมของเราเลยก็แล้วกัน
ครั้งนี้เราเดินทางช่วงวีค 3-4 ของเดือน พ.ย ปีที่ผ่านมา ทั้งหมด 10 วันรวมวันเดินทางเนื่องจากดูตารางไว้ล่วงหน้าว่าจะไปดูใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งหลักๆ ไปกี่ครั้งเรามักจะเลือกช่วงนี้เสมอ เนื่องจากชอบเป็นพิเศษเรื่องของอากาศที่เย็นสบาย ออกหนาว และใบไม้เปลี่ยนสีที่ไม่ว่าจะอยู่จุดไหน มองไป ก็สวยงามอยู่เสมอ และมันจะสวยงามและมีความสุขเมื่อเราไปกับคนที่เราถูกใจ สไตล์เดียวกัน เพราะสุดท้ายจะแฮปปี้หรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราไปกับใคร โปรแกรมคราวนี้ของเราคือ โอซาก้า เกียวโต พยายามเก็บในส่วนของเกียวโตที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ไปด้วย แต่ที่ไปก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอยู่ เพราะเราอยากให้เพื่อนที่ไปครั้งแรกกับเรา ได้เห็นไฮไลท์จุดท่องเที่ยวเด่นๆ ของเมืองด้วย
เราเลือกเดินทางกับ Air asia บินตรงลงโอซาก้า สนามบิน Kansai ถึงแม้ช่วงหลังโควิดมาราคาจะขึ้นไปสูงสักหน่อย แต่เราว่าคุ้ม เพราะใช้เวลาบินไม่มาก ควรนั่งไฟลท์ตรงไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาต่อเครื่องซึ่งอาจจะประหยัดไปแค่ 2,000-3,000 บาท
ลงจากเครื่องมา ถ้าไม่รีบมากก็มีร้านอาหารให้เรานั่งทานได้ ก่อนจะไปซื้อตั๋วรถไฟเดินทางเข้าเมือง ถ้าเป็นสมัยก่อน คนอาจนิยมซื้อ JR Pass แต่มาหลังๆ เราคำนวนแล้วว่ามันไม่คุ้ม นอกจากคนที่ต้องการเปลี่ยนเมืองแบบไปไกลๆ เช่นเที่ยวโอซาก้า แล้วอยากจะไปโตเกียวด้วย หรือไปเที่ยวต่อแถว หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ที่ต้องเดินทางนานๆ ก็อาจจะคุ้ม แต่สำหรับเรา เราว่าแบบนั้นมันเหนื่อยเกินไป ควรท่องเที่ยวเป็นภูมิภาคจะดีกว่า ประหยัดกว่า ไม่เหนื่อยมาก ไม่เสียเวลาเดินทาง เพราะบางคนมีเวลาไม่มาก อาจจะลางานไปได้แค่ 5-6 วัน ก็ไม่คุ้มที่ต้องไปแบบนั้น แล้วถ้าครั้งหน้ามาอีก เราก็อาจจะเปลี่ยนไปภูมิภาคที่อยากไป ซึ่งน่าจะดีกว่าในมุมมอง และประสบการณ์ที่เคยผ่านในจุดนั้นมาแล้ว ย้อนคิดไปอีกที เราอึดอะไรอย่างนั้นนะ แพลนไปได้ยังไง
ที่พัก
เราเลือกพักที่โอซาก้าที่เดียวเลย เพราะไม่อยากเหนื่อยเรื่องกระเป๋าเดินทางที่ต้องย้ายไปมา ถ้าจะพักที่เกียวโตด้วย เพียงแต่ก็ต้องแลกมากับการเดินทาง ไป กลับ ทุกวัน ซึ่งเราโอเคในจุดนี้ เหนื่อยเดิน แต่ไม่เหนื่อยเรื่องกระเป๋า ระยะทางจากโอซาก้าถึงเกียวโตก็ประมาณครึ่งชั่วโมงถึง 40นาที ขึ้นอยู่กับว่าจะไปส่วนไหนของเกียวโต แต่ถ้าใครมีเวลาหลายวัน เราคิดว่าไปเกียวโตก่อน แล้วไปพักสัก 3-4 วัน เที่ยวเกียวโตเก็บที่ที่อยากไป แล้วค่อยมูฟมาโอซาก้าก็ได้เหมือนกัน และขากลับจะได้ไปสนามบิน Kansai โดยใช้เวลาไม่มาก สำหรับที่พักเราค่อนข้างพอใจมาก โลเคชั่นดี เดินแค่ 200 เมตรจากทางออกสถานีรถไฟ มี 7-11, Family mart มีลิฟขึ้นลง ออกได้ทั้งจาก exit 6 หรือ 7 แต่ Exit 6 จะใกล้กว่า ฝั่งตรงข้ามมีทางขึ้น ลง เป็นลิฟท์กรณีมีกระเป๋าเดินทาง ค่อนข้างสะดวก จริงๆ การพักสถานีที่ไม่ใหญ่มากมีข้อดีคือ สามารถเดินออกมาจากจุดขึ้น ลง รถไฟ และเดินแค่ระยะสั้นๆ เพื่อมาทางออกสถานีได้เลย ไม่ต้องแบกกระเป๋าขึ้นลงบันได เราพักที่นี่ Bon condo ย่าน Namba Nipponbashi ลองเสิจดูได้เลย ราคาก็โอเค สถานที่สะอาด ทันสมัย ใช้ระบบกดรหัสประตูทางเข้า และห้องพัก ห้องกว้างดี กลุ่มเราไปกัน 4 คนพักกันสบาย มีอ่างล้างจาน อุปกรณ์ เครื่องซักผ้า โต้ะทานข้าวพร้อมเลย เผื่อใครสนใจที่เลือกพักสถานีไม่ใหญ่มาก มีข้อดีคือไม่ต้องเดินไกล เจอคนพลุกพล่าน วุ่นวาย และสถานีนี้ คือกลับไป airport คือง่ายมาก รวดเร็ว ที่สำคัญไม่ไกลจากจุดท่องเที่ยวด้วย เดินไปตรงถนนสัญลักษณ์ป้ายกุลิโกะ เลียบคลองดงโทโบริ ก็สบายๆ สำหรับคนมือใหม่ที่เดินทาง ถ้าไปพักแถวสถานีใหญ่ๆ ที่เป็นสถานีต่อรถไปที่ต่างๆ ได้ อาจหลงหาทางไปที่พักไม่เจอ ยิ่งไปเวลาเลิกงานด้วย รถไฟจะอัดแน่นไปด้วยผู้คน และในสถานีก็เดินกันควักไขว่ มีดีตรงเดียวคือ มีอาหารการกิน ขนมให้เราเลือกได้เยอะและเผื่อไปเที่ยวเมืองอื่นก็ต่อรถได้เลย เท่านั้นเอง
การเดินทางในโอซาก้า และเกียวโต
ในส่วนรถไฟจาก Airport เข้าเมือง Osaka เราใช้บริการ Nankai Airport express โดยซื้อตั๋วล่วงหน้ากับ Klook ได้ราคาถูกกว่านิดหน่อย ประมาณ 1,000 เยนต่อเที่ยว เพราะเกรงคิวจะยาวเลยซื้อไปก่อน ทาง Klook จะส่งเมล์มาให้ เราก็ save QR Code เก็บไว้เปรียบเหมือนตั๋ว แล้วไปขึ้นตั๋วจริงที่เคาเตอร์ Nankai ซึ่งเค้าจะมีแยกช่องพิเศษสำหรับขึ้นตั๋วไว้ให้เลย เราก็เลือกรอบขึ้นรถไปได้เลย ในส่วนตั๋วขากลับ แนะนำให้เราวางแผนไว้เลย ว่าจะกลับรอบกี่โมง ให้ match กับเวลาที่ต้องมาเช็คอินที่สนามบินขากลับ ดูเวลามาก่อนล่วงหน้าจาก website ของ Nankai airport express ได้เลย เพื่อจะได้ออกตั๋วขากลับ ไม่ต้องมาเสียเวลามาเดินหา counter Nankai ตามจุดหลักๆของสถานีรถไฟอีก เพราะเดินหา ใช้เวลามาก และบางครั้งเราก็ไม่ได้ขึ้นลงที่สถานีนั้นๆ เพราะเราเสียเวลาตรงนี้ไปเยอะเหมือนกัน และยังต้องต่อคิวออกตั๋วอีก เลยต้องให้วางแผนให้ดีและออกตั๋วไปเลยตั้งแต่วันที่มาถึง แต่ถ้าใครไม่อยากซื้อล่วงหน้าก็มาต่อคิวซื้อไปกลับที่เคาเตอร์ Nankai ได้เลยนะ
ในส่วนการเดินทางระหว่างสถานีในโอซาก้าและไปเกียวโต เราเลือกซื้อบัตร Icoca Kansai one pass เติมเงินและใช้ซื้อของในร้านสะดวกซื้อต่างๆ ขึ้นรถไฟ สะดวกมาก ไม่ต้องคอยซื้อตั๋วรายเที่ยว แค่แตะบัตรเข้า แล้วแตะออกเท่านั้น เงินค่าโดยสารก็จะถูกตัดจากบัตรไป พอใกล้หมดก็เติมเงินเพิ่มที่เครื่องเติมเงินในสถานีได้เลย ซื้อได้จากเคาเตอร์ Nankai นี้ล่ะ พอเดินออกมาจากเกทสักพักจะเจอ counter Nankai เลย ขากลับก็สามารถ refund เงินที่ค้างในบัตรคืนได้ แต่ถ้าใครไม่มีเงินเหลือ อยากสะสมบัตรเก็บเอาไว้ก็ได้เหมือนกัน ก็บัตรนั้นแสนจะน่ารักอ่ะ ญี่ปุ่นทำอะไรออกมาก็ดูน่ารักปุกปิกไปหมด แต่มันก็ต้องเสียค่ามัดจำบัตรที่หักไปนิดหน่อยและไม่ได้คืนเท่านั้น
เราจะเริ่มจากแนะนำสถานที่ที่เราเดินทางไป และมีอะไรน่าสนใจ เผื่อเป็นแนวทาง และให้เป็นคะแนนตามความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ อาจจะไม่ตรงใจสำหรับบางท่าน เพราะไม่มีใครที่คิดเหมือนกันไปซะหมด ตรงนี้ก็ต้องเข้าใจกันด้วยนะคะ เพราะประสบการณ์ชีวิตมันไม่ได้เท่ากัน
เกียวโต
Arashiyama Kyoto (อาราชิยาม่า เกียวโต)
เราเดินทางมาจากโอซาก้า โดยใช้เส้นทางมาที่นี่ โดยรถไฟ Hankyu line ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ แค่ 610 เยน ที่เลือกเส้นทางนี้เพราะจะหลีกเลี่ยงการเดินทางแบบที่เปลี่ยน Platform บ่อยๆ ที่ต้องเดินไกลๆ ในสถานี อันนี้นานหน่อยเพราะไปขึ้นผิดประเภทที่เป็นรถหวานเย็นจอดทุกสถานี แต่ถึงที่หมายเดียวกัน จริงๆ เราต้องเลือกดู อาจจะต้องรอขบวนหน่อย แบบ Limited express ก็จะดีกว่า และคนน้อยกว่า เพราะไม่ได้จอดตลอดทุกป้าย พอดีเราเดินทางช่วงที่คนออกมาทำงานกันด้วย คนเลยค่อนข้างเยอะ มาถึง Arashiyama เราก็ต้องมาเดินชมธรรมชาติเลียบแม่น้ำกันก่อน
เส้นทางเดินเลียบแม่น้ำและสวนคาเมะยาม่า (Kameyama Park)
เราเดินจากสถานีรถไฟ Hankyu ที่อยู่เส้นด้านหลังขนานกับแม่น้ำ และเดินออกมาจะเจอสะพาน โทเก็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge) เดินข้ามแม่น้ำมา และเดินเลียบขนานไปกับแม่น้ำจนเกือบสุดทาง จุดเด่นตรงนี้คือเรือแจวโบราณพายรับท่องเที่ยวอยู่ในแม่น้ำ ตัดกับใบไม้ที่เปลี่ยนเป็นสีส้มในช่วงปลายเดือน พ.ย จากจุดนี้ให้เดินเข้ามาด้านในที่เห็นเป็นสวน จะมีใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ และเดินขึ้นเนินมาอีกนิด จะถึงบริเวณจุดชมวิวอาราชิยาม่าซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา แนะนำให้มาค่ะ (คะแนน 5/5)
เส้นทางป่าไผ่ (Bamboo Grove) เส้นทางนี้จะอยู่บริเวณประตูด้านหลังของวัดเทนริวจิ
เรามาถึงช่วงสายของวันแล้ว คนมาเดินชมป่าไผ่กันเยอะมากๆ อาจจะเพราะมันเดินทะลุไปวัดเทนริวจิและเส้นทางเลียบแม่น้ำได้ หาจังหวะถ่ายรูปอยู่นาน มีคนมาถ่าย pre wedding ด้วย เป็นเราจะมาแต่เช้าสัก 7โมงเลย เพราะมันก็เสียเวลานักท่องเที่ยวอื่นๆ เหมือนกันที่ต้องรอ และรูปบ่าวสาวจะสวยมั้ยนะ คนขนาดนี้ (คะแนน 4/5)
วัดเทนริวจิ (Tenryuji Temple) (ค่าเข้าวัด 500 เยน)
มาแถวนี้แล้ว ก็เลยมีโอกาสมาเยี่ยมชมวัดมรดกโลกชื่อดังของเกียวโต อีกครั้ง ครั้งนี้ทำไมรู้สึกไม่ปะทับใจเท่าครั้งแรก จำได้ว่าเดินเป็นเส้นทางวงกลม ขึ้นเนินหน่อย และเป็นจุดที่มองเห็นใบไม้เปลี่ยนสีได้เยอะ เห็นท้องฟ้า มีม้านั่ง นั่งชมใบไม้เปลี่ยนสีท่ามกลางสวนและอากาศเย็นๆ ตอนนั้นประทับใจมากจริงๆ แต่มาครั้งนี้ ความรู้สึกเปลี่ยนไป ไม่ได้ประทับใจอะไรมากนัก คิดว่าอาจมาจากหลายๆ อย่าง
- ประสบการณ์การเดินทาง เห็นสถานที่แบบนี้ มากขึ้นจากระยะเวลาครั้งแรกที่ไม่เคยเห็น
- มุมมองความคิดที่เปลี่ยนไป
- จำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกิน ที่สถานที่จะรองรับ เทียบกับพื้นที่ เลยทำให้ดูแคบลง
(คะแนน 4/5)
ย่านฮิกาชิยาม่า (Higashiyama)
ย่านอนุรักษ์เมืองเก่าที่สวยงามและยังคงภาพของญี่ปุ่นดั้งเดิม
ย่านนี้ เรามาทุกครั้งที่มาเกียวโต ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ชอบอารมณ์การเดินเล่นไปตามร้านรวงแบบนี้มาก ระหว่างทางมีทั้งร้านชา ขนม ร้านภาชนะดินเผา ร้านขายของที่ระลึก บรรยากาศของทางเดินที่เชื่อมวัดกับศาลเจ้าเข้าด้วยกัน บรรยากาศการชิมชาฟรี กับขนมที่ร้านค้าแจกให้ลอง ยิ่งอากาศเย็นๆ มีชาเขียวร้อนๆมาจิบ ตัดกับขนมหวานหนึบๆ เอกลักษณ์ของเมืองมันเข้ากันได้ดีทีเดียว
(คะแนน 5/5)
วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) หรือ วัดน้ำใส (ค่าเข้าวัด 400 เยน)
มรดกโลก (UNESCO world heritage sites) ไฮไลท์คืออาคารไม้ขนาดใหญ่ที่สร้างโดยไม่มีการใช้ตะปูใดๆทั้งสิ้น ตอนนี้วัดน้ำใส ซ่อมแซมเสร็จแล้วในส่วนนี้ หลังจากปิดซ่อมมานานหลายปี แต่เรายังเห็นมีบางส่วนนอกเหนือส่วนนี้ยังขึงผ้าซ่อมอยู่ แต่ไม่น่าจะใช่จุดที่ไฮไลท์ ไปคราวนี้ถ่ายมุมสูงลงมาที่น้ำตกสามสาย ให้เห็นไลน์ของใบไม้เปลี่ยนสีด้วย ออกมาสวยดูดีเลย
(คะแนน 5/5)
เดี๋ยวไปต่อกระทู้ที่ 2 นะคะ พิมพ์ต่อไม่ได้ล่ะ เต็มโควต้าตัวอักษรแล้ว
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้