สวัสดีครับ กระท้นี้ ขอเป็นกระทู้กึ่งๆระหว่าง การปรึกษา การระบาย และ การนึกสะท้อนของราวชีวิตที่ผ่านมาก็แล้วกันครับ
อย่างที่ชื่อกระทู้ได้บอกไว้ ตามอายุของผมตอนนี้ ผมจะต้องจบป.ตรี เรียบร้อยแล้ว และเป็นอายุที่หลายคนเริ่มหางานแล้ว เพื่อนหลายคนตอนประถม มัธยม หลายคน ทั้งที่เห็นในหน้าเฟสบุ๊ค ทั้งที่เดินสวนกันในชีวิตจริงแล้วหยุดคุยสอบถามชีวิตของกันและกัน ต่างก็ล้วนหางาน หรือมีงานทำแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ ผมยังต้องเรียนในมหาวิทยาลัยโดยใช้เงินทางบ้านอยู่ ผมได้แต่นึกเจ็บใจไว้ในใจคนเดียว ผมรู้สึกผิดที่ปลายเดือนมีแจ้งเตือนโทรศัพท์เด้งขึ้น นั่นคือแจ้งเตือนที่บอกว่า พ่อแม่ได้โอนเงินมาให้ผม ผมรู้สึกว่าผมกำลังทรมานพ่อแม่อยู่ หลายครั้งที่ทางบ้านโทรมา บางครั้งผมก็ได้ยินน้ำเสียงผิดหวังซ่อนอยู่ในโทรศัพท์ ผมไม่อยากคุยกับทางบ้านเลย ถ้าจะคุยก็จะคุยแค่ว่า กินข้าวหรือยัง ฝนตกไหม เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ประกอบกับเรื่องราวในอดีตที่ผมกำลังจะเล่า แค่อ้าปากจะคุยเรื่องส่วนตัวก็จะต้องมีเหตุให้ผิดใจกันตลอด ถ้าไม่ใช่ผมรู้สึกแย่ ก็ที่บ้านรู้สึกแย่ หลายครั้งก็รู้สึกแย่ทั้งสองฝ่าย
เรื่องราวมีดังต่อไปนี้
ผมเคยเรียบเรียงเรื่องราวนี้ไว้หลายเวอร์ชั่น บางเวอร์ชั่นหากเขียนตามโครงร่างจนจบอาจจะยาวจนอาจจะตีพิมพ์เป็นนิยายได้เลย แต่ในเวอร์ชั่นนี้ผมขอรวบรัด ตัดด้านชีวิตส่วนตัว ความรู้สึกในใจหลายๆอย่างออก
ตั้งแต่ตอนประถม-มัธยมต้น ผมนั้นคิดมาเสมอว่า อยากให้พ่อแม่ภูมิใจ อยากเป็นคนที่ดีในสังคม ผมจำไม่ได้ว่าใครปลูกฝังผมไว้ว่า "โตขึ้นมาหนูต้องเป็นคนดีของสังคม หนูต้องช่วยเหลือพ่อแม่ ประเทศชาติ และโลกใบนี้ไว้นะ" จนถึงตอนนี้ผมยังจำได้ขึ้นใจ ตั้งแต่ตอนเด็ก ผมมักจะเห็นพ่อแม่ที่มีลูกที่สอบได้ที่หนึ่ง พ่อแม่ที่มีลูกได้รับรางวัลต่างๆ มักจะดีใจที่มีลูกแบบนั้น นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ผมต้องการที่จะเป็นที่หนึ่ง และเอาชนะคนอื่นมาตลอด แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง ก็เริ่มมีคำถามว่า ถ้าเราเก่งที่สุดในห้อง แล้วระดับภูมิภาคล่ะ ระดับประเทศล่ะ ถ้าต้องไปแข่งกับคนต่างชาติล่ะ? นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดมาหลายปี ผมยังจำได้ว่า ตอนประถม ผมได้เรียนเป็นอันดับต้นๆในระดับชั้น แต่ด้วยความสงสัยในเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว วันหนึ่ง ตอนนั้นผมอยู่ป.4 หรือ ป.5 ผมได้เปิดโทรทัศน์เจอ น้องธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี ซึ่งเป็นคนที่เก่งมาก และอายุน้อยกว่าผม ในตอนนั้นผมได้เกิดความสงสัย ความกดดัน ความเครียด หลายๆอย่างรวมกัน สงสัยว่า ทำอย่างไรจะเก่งกว่าเขาได้ ถ้าทุกคนอยากเป็นที่หนึ่ง แล้วจะต้องมีคนผิดหวัง เราควรจะทำอย่างไรกันคนที่ผิดหวัง สงสาร เห็นใจ? ปลอบใจอย่างไร? ความกดดันและความเครียดที่อยากจะเก่งกว่าเขา เราจะเก่งกว่าเขาได้อย่างไร? เราจะไปหาคอร์สเรียน หนังสือแบบเขาจากที่ไหน ถ้าเราเริ่มอ่านหนังสือตอนนี้ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าในอนาคตเราจะเก่งที่สุด ผมจำได้ว่าที่บ้านเลี้ยงไก่ไว้จำนวนหนึ่ง วันนั้นผมได้เข้าไปในสวนแล้ววิ่งไล่ไก่ในขณะที่กำลังกัดฟันและหน้าเคร่งเครียด
ต้องบอกไว้ว่า ผมมีนิสัยที่น่ารังเกียจอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ผมมักจะประชดชีวิตตัวเองถ้าผมนึกเรื่องพวกนี้ได้ ด้วยการเล่นเกม ดูหนัง การ์ตูน ฟังเพลง หลายครั้งที่ผมนึกในใจว่า "ถ้าgu เก่งไม่ได้ gu เป็นคนดีของสังคมไม่ได้ gu ขอเป็นอีกขั้วก็แล้วกัน" มีบางครั้งที่ผมคิดถึงขั้นจะเป็นคนที่มั่วสุม กินเหล้า ทำเรื่องไม่ดี เพื่อประชดตัวเอง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ทำ
จนกระทั่งตอนม.ต้น คำถามในใจ และความกดดันมันเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นผมได้รู้จักนักเรียนทุนเมืองนอก และนักเรียนโอลิมปิกวิชาการ ทำให้ผมเริ่มมองพวกเขาเป็นไอดอล พวกเขาเหล่านั้นเก่งจังเลย พวกเขาช่างคู่ควรที่จะพัฒนาประเทศชาติ พัฒนาโลก อย่างที่ผมเคยถูกปลูกฝังมา พวกเขาเก่งที่สอบทุนที่รับเพียงไม่กี่คนได้(เช่น ทุนเล่าเรียนหลวง , ทุนที่ให้นักเรียนตัวแทนประเทศไทยโอลิมปิกวิชาการ) พ่อแม่คงจะภูมิใจในตัวพวกเขา ผมจะเป็นอย่างพวกเขา ไม่สิ ต้องเก่งกว่าพวกเขาให้ได้ ต้องสอบทุนอย่างที่พวกเขาทำให้ได้ (ย่อหน้านี้สำคัญ เพราะจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวหลักต่อจากนี้)
หลังจากม.2 ผมกดดันตัวเองอย่างหนัก แทบจะทุกวัน ผมจะถามตัวเองว่า ใครเก่งกว่าบ้าง ถ้าแม้แต่เพื่อนในห้องยังสู้ไม่ได้ แล้วจะสู้กับนักเรียนทุน กับนักเรียนโอลิมปิก ได้อย่างไร ตอนนั้นเครียดมากๆ หลายครั้งก็อยากยอมแพ้ อยากฆ่าตัวตาย สุขภาพจิตป่นปี้ ตอนนั้นผมเพิ่งจะรู้จักโรงเรียนที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น มหิดลวิทยานุสรณ์ กำเนิดวิทย์ เตรียมอุดม ผมเตรียมตัวไม่ทันจนสอบไม่ได้โรงเรียนกำเนิดวิทย์ สำหรับคนอื่น ถ้าสอบไม่ได้ก็คงจะไม่เป็นไร แต่สำหรับผมที่คิดมากอยู่แล้วในตอนนั้น การสอบไม่ได้สำหรับผมคือการบอกอย่างนัยว่า " mung ไม่คู่ควรที่จะสอบติดทุน ไม่คู่ควรที่จะช่วยเหลือประเทศชาติและโลก ไม่คู่ควรที่จะให้พ่อแม่ภูมิใจ" ผมคิดแบบนี้ตลอดจนจบม.6 แน่นอนว่าความกดดันมหาศาลและความเครียด ผมก็ไม่ได้เรียนที่มหิดลวิทยานุสรณ์และเตรียมอุดม
ช่วงม.ปลายน่าจะเรียกว่าเป็นช่วงที่ทรมานที่สุดสำหรับผม ทุกวันคือการตอกย้ำตัวเองด้วยข้อความจากย่อหน้าที่แล้ว และมีหลายครั้งที่ผมได้แต่ถามตัวเองว่า ไม่ได้เรียนที่โรงเรียนเหล่านั้นจะสอบทุนเล่าเรียนหลวงและเรียนต่อเมืองนอกได้ไหม จะทำได้อย่างที่ถูกปลูกฝังมาไหม (หลังจากจบม.6 ผมถึงได้รู้ว่า สอบได้ และชื่อโรงเรียนไม่ใช่ปัญหาด้วย นักเรียนที่ไม่ได้เรียนที่โรงเรียนชื่อดังก็เก่งได้เหมือนกัน ผมแค่คิดกดดันตัวเองไปเอง) ปัญหาสุขภาพจิตเริ่มรุนแรงมากขึ้น ผมกลายเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง กลายเป็นคนขี้ระแวง เห็นใครเรียนเก่งก็จะคิดไปก่อนว่า เขาจะสอบทุนเมืองนอกหรือเปล่านะ เขาจะเป็นคู่แข่งเราหรือเปล่านะ อนาคตถ้าเขามีการงานดีๆทำ เราจะสู้เขาได้หรือเปล่านะ โดยเฉพาะช่วงปลายม.5-จบม.6 แม้แต่คนที่เรียนกลางๆผมก็ระแวงด้วย (พูดง่ายๆคือ ระแวงไปหมด ระแวงไม่เลือกหน้า) ผมกลายเป็นยืนตัวตรงไม่ได้ ด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง ผมเดินย่อตัวก้มหน้า หรือหลบหลังเพื่อนตลอด สู้หน้าใครไม่ได้เลย บางวันผมตื่นขึ้นมา สิ่งที่คิดอย่างแรกคือ วันนี้จะฆ่าตัวตายวิธีไหน พ่อแม่ที่ผมอยากทำให้ท่านภูมิใจนักหนา ก็กลายเป็นทำให้ท่านผิดหวังแทน ผมเริ่มแก้ปัญหาไม่ถูกจุด จากที่เคยไล่ไก่ในวัยเด็ก ก็กลายเป็นการทำลายข้าวของ บางอย่างเป็นทรัพย์สินสาธารณะ ถึงขั้นที่ทางโรงเรียนต้องเรียกทางบ้านไปตักเตือนและเก็บเงิน โชคดีที่ยังไม่ได้ไปโรงพักตำรวจ เริ่มเกิดความไม่เข้าใจกับทางบ้าน จนกลายเป็นความไม่เข้าใจมาถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นมีหลายครั้งที่ผมอยากเป็นคนชั่วไปให้สุด ถ้าผมทำสิ่งที่ปลูกฝังมาไม่ได้ ผมจะขอเป็นขั้วตรงข้าม แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ทำ ถ้าผมทำคงไม่ได้พิมพ์กระทู้ในวันนี้
ท้ายที่สุด ผมจบม.6 ด้วยความล้มเหลว สำหรับผมมันคือความปราชัยที่สุดในชีวิตที่ผมไม่สามารถทำสิ่งที่ผมต้องการได้เลย บางอย่างอยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่ผมต้องการด้วยซ้ำไป ความรู้สึกเหมือนตัวเอกในการ์ตูนที่ถูกตัวร้ายเอาชนะได้อย่างง่ายดายแถมถ่มน้ำลายรดหน้าเยาะเย้ย อย่าว่าแต่ทุนเมืองนอกเลย มหาวิทยาลัยในไทยก็สอบไม่ได้ ต้องรับโควตาของมหาวิทยาลัยใกล้บ้านตอนนั้น ผมยอมแพ้ในชีวิตตัวเองไปแล้ว สิ้นหวังมากๆ แต่ผมให้โอกาสตัวเองครั้งสุดท้าย ถ้าครั้งนี้มองไม่เห็นปลายทาง ก็จะฆ่าตัวตายจริงๆ
ผมยังจำได้ดีว่า ตอนที่ผมเรียนที่มหาวิทยาลัยที่แรกนั้น เวลามองบนฟ้าก็จะนึกถึงหน้านักเรียนทุน นักเรียนโอลิมปิก ข่าวที่ตัวแทนนักเรียนนำเหรียญรางวัลวิชาต่างๆกลับมาที่เมืองไทย นึกถึงอดีตว่า ถ้าตอนนั้นได้เรียนที่มหิดลวิทยานุสรณ์หรือกำเนิดวิทย์จะเป็นอย่างไร พ่อแม่จะภูมิใจแค่ไหน พ่อแม่จะเอาลูกไปอวดคนรอบข้างแค่ไหน (เพิ่งนึกได้ว่าเรื่องนี้สำคัญกับเรื่องราวหลัก พ่อแม่ไม่เคยกดดันผมเลยในช่วงประถม-มัธยม มีแต่ผมที่กดดันตัวเองมหาศาล) นึกถึงทุนเมืองนอก ใช่แล้ว ทุนเมืองนอก ผมไม่เคยยอมแพ้เรื่องทุนเมืองนอกเลย ตลอดเวลาที่จบม.6 มา ผมยังนึกถึงการได้ไปเรียนต่อเมืองนอกตลอด ถึงขั้นที่ว่า ยังค้นหาทุนเมืองนอกสำหรับเด็กซิ่วอยู่
ผมเคยคิดถึงขั้นที่ว่า ผมจะไปเรียนต่อป.ตรี เมืองนอก อีกครั้ง หลังจากที่เรียนจบ ป.ตรีที่ไทยแล้ว แม้จะต้องใช้เงินกี่บาทก็ยอม จะต้องทำงานกี่ปีเพื่อหาเงินก็ยอม แม้จะอายุ 30 40 ก็จะไปให้ได้ แม้จะต้องหาเงินเป็น 10,000,000 บาทก็จะหามาให้ได้ (หลังจากที่ผมคิดได้ และมองย้อนกลับไป ผมนี่มันก็บ้าคิดอะไรไม่เข้าเรื่องจริงๆ ยังนึกอยู่เลยว่า ถ้าผมทำแบบนั้นจริงๆขึ้ยมาคงจะเสียดายเงินน่าดู เงินที่สามารถเอาไปทำอะไรได้มากมาย ให้พ่อแม่ก็ได้ บริจาคก็ได้ ใช้ตั้งตัวก็ได้ แต่กลับเอามาเพื่อที่จะสนองความคิดไปเองของตัวเอง ซึ่งผมจะเล่าที่ผมคิดได้ในย่อหน้าต่อๆไป)
แม้ว่าในตอนแรกผมได้ยอมแพ้ไปแล้ว แต่ว่าในภายหลัง ผมกลับทำใจไม่ได้ จนกระทั่งผมสอบเรียนต่อใหม่ในไทย แต่แน่นอนว่า ผมยังทำใจไม่ได้อยู่ดี ที่สอบทุนเรียนต่อเมืองนอกไม่ได้ ผมยังคงคิดฝันถึงการไปเรียนเมืองนอก จนผมไม่มีจิตใจเรียน ติด F จนกระทั่งผมรู้ตัวแล้วว่า ผมจะต้องจบช้าไปอีก 1 ปีถ้าผมเรียนตรงนี้ รวมเป็น 2 ปีหลังจากจบม.6 ที่ผมจะต้องช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่ตอนนั้นผมก็ยังหาทุนเรียนต่อเมืองนอกสำหรับเด็กซิ่วอยู่ดี ผมยังไม่สามารถทำใจได้เลยเรื่องเรียนเมืองนอก จนกระทั่งผมตัดสินในย่อหน้าก่อนหน้าอย่างจริงจังเรื่องเงิน 10,000,000 บาท ผมจึงสามารถเริ่มกลับมาพยายามเรียนในมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนในตอนนี้ได้ แต่ผมก็ยอมรับว่า ผมยังชอบส่องเฟสนักเรียนทุนเมืองนอก และยังตามอ่านกระทู้เรียนต่อเมืองนอกอยู่ จนเสียการเรียนอีกครั้ง
ภายหลัง ผมพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติม จนยืนยันกับตัวเองได้ว่า การสอบทุนเรียนเมืองนอกได้ ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอัจฉริยะเสมอไป คนเก่งจะพยายามหาความรู้เองได้ แม้ต้องเรียนมหาวิทยาลัยที่ไม่มีใครรู้จักก็ตาม แม้แต่ไม่มีโอกาสเรียนมหาวิทยาลัย ถ้าเขาใฝ่รู้จริงๆ เขาก็สามารถหาความรู้ได้ สามารถเก่งกว่านักเรียนทุนได้ จนผมเลิกหมกมุ่นเรื่องเรียนต่อเมืองนอก เงิน 10,000,000 บาทนั้น ผมไม่ต้องการแล้ว ถ้าหามาได้ ก็จะยกให้พ่อแม่ หรือบริจาคทำบุญทั้งหมด ผมคิดแบบนี้ได้ หลังจากจบม.6 ได้ ประมาณ 3 ปี สิ้นสุดกันเสียทีกับเรื่องเหล่านี้
แต่ผมเองก็นึกเสียใจนะ ที่จะต้องจบป.ตรีช้า ไป 2 ปี และรู้สึกผิดกับพ่อแม่ ที่ไม่เคยทำให้ท่านภูมิใจได้เลย ที่ทำให้ท่านต้องด่าว่าจนผิดใจกันทั้งสองฝ่ายมาตลอด
ในอนาคต ผมก็หวังลึกๆว่าท่านจะเข้าใจในเรื่องทั้งหมดที่ผมพิมพ์มาได้ (และอีกหลายๆอย่างที่ผมไม่ได้พิมพ์ เพ่าะจะทำให้กระทู้นี้ยาวจนอ่านไม่ไหว)
จบ ป.ตรี ช้า ทำให้ทางบ้าน และ ตนเอง ผิดหวัง เพราะเหตุผลที่ไม่เป็นเรื่อง
อย่างที่ชื่อกระทู้ได้บอกไว้ ตามอายุของผมตอนนี้ ผมจะต้องจบป.ตรี เรียบร้อยแล้ว และเป็นอายุที่หลายคนเริ่มหางานแล้ว เพื่อนหลายคนตอนประถม มัธยม หลายคน ทั้งที่เห็นในหน้าเฟสบุ๊ค ทั้งที่เดินสวนกันในชีวิตจริงแล้วหยุดคุยสอบถามชีวิตของกันและกัน ต่างก็ล้วนหางาน หรือมีงานทำแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ ผมยังต้องเรียนในมหาวิทยาลัยโดยใช้เงินทางบ้านอยู่ ผมได้แต่นึกเจ็บใจไว้ในใจคนเดียว ผมรู้สึกผิดที่ปลายเดือนมีแจ้งเตือนโทรศัพท์เด้งขึ้น นั่นคือแจ้งเตือนที่บอกว่า พ่อแม่ได้โอนเงินมาให้ผม ผมรู้สึกว่าผมกำลังทรมานพ่อแม่อยู่ หลายครั้งที่ทางบ้านโทรมา บางครั้งผมก็ได้ยินน้ำเสียงผิดหวังซ่อนอยู่ในโทรศัพท์ ผมไม่อยากคุยกับทางบ้านเลย ถ้าจะคุยก็จะคุยแค่ว่า กินข้าวหรือยัง ฝนตกไหม เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ประกอบกับเรื่องราวในอดีตที่ผมกำลังจะเล่า แค่อ้าปากจะคุยเรื่องส่วนตัวก็จะต้องมีเหตุให้ผิดใจกันตลอด ถ้าไม่ใช่ผมรู้สึกแย่ ก็ที่บ้านรู้สึกแย่ หลายครั้งก็รู้สึกแย่ทั้งสองฝ่าย
เรื่องราวมีดังต่อไปนี้
ผมเคยเรียบเรียงเรื่องราวนี้ไว้หลายเวอร์ชั่น บางเวอร์ชั่นหากเขียนตามโครงร่างจนจบอาจจะยาวจนอาจจะตีพิมพ์เป็นนิยายได้เลย แต่ในเวอร์ชั่นนี้ผมขอรวบรัด ตัดด้านชีวิตส่วนตัว ความรู้สึกในใจหลายๆอย่างออก
ตั้งแต่ตอนประถม-มัธยมต้น ผมนั้นคิดมาเสมอว่า อยากให้พ่อแม่ภูมิใจ อยากเป็นคนที่ดีในสังคม ผมจำไม่ได้ว่าใครปลูกฝังผมไว้ว่า "โตขึ้นมาหนูต้องเป็นคนดีของสังคม หนูต้องช่วยเหลือพ่อแม่ ประเทศชาติ และโลกใบนี้ไว้นะ" จนถึงตอนนี้ผมยังจำได้ขึ้นใจ ตั้งแต่ตอนเด็ก ผมมักจะเห็นพ่อแม่ที่มีลูกที่สอบได้ที่หนึ่ง พ่อแม่ที่มีลูกได้รับรางวัลต่างๆ มักจะดีใจที่มีลูกแบบนั้น นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ผมต้องการที่จะเป็นที่หนึ่ง และเอาชนะคนอื่นมาตลอด แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง ก็เริ่มมีคำถามว่า ถ้าเราเก่งที่สุดในห้อง แล้วระดับภูมิภาคล่ะ ระดับประเทศล่ะ ถ้าต้องไปแข่งกับคนต่างชาติล่ะ? นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดมาหลายปี ผมยังจำได้ว่า ตอนประถม ผมได้เรียนเป็นอันดับต้นๆในระดับชั้น แต่ด้วยความสงสัยในเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว วันหนึ่ง ตอนนั้นผมอยู่ป.4 หรือ ป.5 ผมได้เปิดโทรทัศน์เจอ น้องธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี ซึ่งเป็นคนที่เก่งมาก และอายุน้อยกว่าผม ในตอนนั้นผมได้เกิดความสงสัย ความกดดัน ความเครียด หลายๆอย่างรวมกัน สงสัยว่า ทำอย่างไรจะเก่งกว่าเขาได้ ถ้าทุกคนอยากเป็นที่หนึ่ง แล้วจะต้องมีคนผิดหวัง เราควรจะทำอย่างไรกันคนที่ผิดหวัง สงสาร เห็นใจ? ปลอบใจอย่างไร? ความกดดันและความเครียดที่อยากจะเก่งกว่าเขา เราจะเก่งกว่าเขาได้อย่างไร? เราจะไปหาคอร์สเรียน หนังสือแบบเขาจากที่ไหน ถ้าเราเริ่มอ่านหนังสือตอนนี้ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าในอนาคตเราจะเก่งที่สุด ผมจำได้ว่าที่บ้านเลี้ยงไก่ไว้จำนวนหนึ่ง วันนั้นผมได้เข้าไปในสวนแล้ววิ่งไล่ไก่ในขณะที่กำลังกัดฟันและหน้าเคร่งเครียด
ต้องบอกไว้ว่า ผมมีนิสัยที่น่ารังเกียจอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ผมมักจะประชดชีวิตตัวเองถ้าผมนึกเรื่องพวกนี้ได้ ด้วยการเล่นเกม ดูหนัง การ์ตูน ฟังเพลง หลายครั้งที่ผมนึกในใจว่า "ถ้าgu เก่งไม่ได้ gu เป็นคนดีของสังคมไม่ได้ gu ขอเป็นอีกขั้วก็แล้วกัน" มีบางครั้งที่ผมคิดถึงขั้นจะเป็นคนที่มั่วสุม กินเหล้า ทำเรื่องไม่ดี เพื่อประชดตัวเอง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ทำ
จนกระทั่งตอนม.ต้น คำถามในใจ และความกดดันมันเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นผมได้รู้จักนักเรียนทุนเมืองนอก และนักเรียนโอลิมปิกวิชาการ ทำให้ผมเริ่มมองพวกเขาเป็นไอดอล พวกเขาเหล่านั้นเก่งจังเลย พวกเขาช่างคู่ควรที่จะพัฒนาประเทศชาติ พัฒนาโลก อย่างที่ผมเคยถูกปลูกฝังมา พวกเขาเก่งที่สอบทุนที่รับเพียงไม่กี่คนได้(เช่น ทุนเล่าเรียนหลวง , ทุนที่ให้นักเรียนตัวแทนประเทศไทยโอลิมปิกวิชาการ) พ่อแม่คงจะภูมิใจในตัวพวกเขา ผมจะเป็นอย่างพวกเขา ไม่สิ ต้องเก่งกว่าพวกเขาให้ได้ ต้องสอบทุนอย่างที่พวกเขาทำให้ได้ (ย่อหน้านี้สำคัญ เพราะจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวหลักต่อจากนี้)
หลังจากม.2 ผมกดดันตัวเองอย่างหนัก แทบจะทุกวัน ผมจะถามตัวเองว่า ใครเก่งกว่าบ้าง ถ้าแม้แต่เพื่อนในห้องยังสู้ไม่ได้ แล้วจะสู้กับนักเรียนทุน กับนักเรียนโอลิมปิก ได้อย่างไร ตอนนั้นเครียดมากๆ หลายครั้งก็อยากยอมแพ้ อยากฆ่าตัวตาย สุขภาพจิตป่นปี้ ตอนนั้นผมเพิ่งจะรู้จักโรงเรียนที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น มหิดลวิทยานุสรณ์ กำเนิดวิทย์ เตรียมอุดม ผมเตรียมตัวไม่ทันจนสอบไม่ได้โรงเรียนกำเนิดวิทย์ สำหรับคนอื่น ถ้าสอบไม่ได้ก็คงจะไม่เป็นไร แต่สำหรับผมที่คิดมากอยู่แล้วในตอนนั้น การสอบไม่ได้สำหรับผมคือการบอกอย่างนัยว่า " mung ไม่คู่ควรที่จะสอบติดทุน ไม่คู่ควรที่จะช่วยเหลือประเทศชาติและโลก ไม่คู่ควรที่จะให้พ่อแม่ภูมิใจ" ผมคิดแบบนี้ตลอดจนจบม.6 แน่นอนว่าความกดดันมหาศาลและความเครียด ผมก็ไม่ได้เรียนที่มหิดลวิทยานุสรณ์และเตรียมอุดม
ช่วงม.ปลายน่าจะเรียกว่าเป็นช่วงที่ทรมานที่สุดสำหรับผม ทุกวันคือการตอกย้ำตัวเองด้วยข้อความจากย่อหน้าที่แล้ว และมีหลายครั้งที่ผมได้แต่ถามตัวเองว่า ไม่ได้เรียนที่โรงเรียนเหล่านั้นจะสอบทุนเล่าเรียนหลวงและเรียนต่อเมืองนอกได้ไหม จะทำได้อย่างที่ถูกปลูกฝังมาไหม (หลังจากจบม.6 ผมถึงได้รู้ว่า สอบได้ และชื่อโรงเรียนไม่ใช่ปัญหาด้วย นักเรียนที่ไม่ได้เรียนที่โรงเรียนชื่อดังก็เก่งได้เหมือนกัน ผมแค่คิดกดดันตัวเองไปเอง) ปัญหาสุขภาพจิตเริ่มรุนแรงมากขึ้น ผมกลายเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง กลายเป็นคนขี้ระแวง เห็นใครเรียนเก่งก็จะคิดไปก่อนว่า เขาจะสอบทุนเมืองนอกหรือเปล่านะ เขาจะเป็นคู่แข่งเราหรือเปล่านะ อนาคตถ้าเขามีการงานดีๆทำ เราจะสู้เขาได้หรือเปล่านะ โดยเฉพาะช่วงปลายม.5-จบม.6 แม้แต่คนที่เรียนกลางๆผมก็ระแวงด้วย (พูดง่ายๆคือ ระแวงไปหมด ระแวงไม่เลือกหน้า) ผมกลายเป็นยืนตัวตรงไม่ได้ ด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง ผมเดินย่อตัวก้มหน้า หรือหลบหลังเพื่อนตลอด สู้หน้าใครไม่ได้เลย บางวันผมตื่นขึ้นมา สิ่งที่คิดอย่างแรกคือ วันนี้จะฆ่าตัวตายวิธีไหน พ่อแม่ที่ผมอยากทำให้ท่านภูมิใจนักหนา ก็กลายเป็นทำให้ท่านผิดหวังแทน ผมเริ่มแก้ปัญหาไม่ถูกจุด จากที่เคยไล่ไก่ในวัยเด็ก ก็กลายเป็นการทำลายข้าวของ บางอย่างเป็นทรัพย์สินสาธารณะ ถึงขั้นที่ทางโรงเรียนต้องเรียกทางบ้านไปตักเตือนและเก็บเงิน โชคดีที่ยังไม่ได้ไปโรงพักตำรวจ เริ่มเกิดความไม่เข้าใจกับทางบ้าน จนกลายเป็นความไม่เข้าใจมาถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นมีหลายครั้งที่ผมอยากเป็นคนชั่วไปให้สุด ถ้าผมทำสิ่งที่ปลูกฝังมาไม่ได้ ผมจะขอเป็นขั้วตรงข้าม แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ทำ ถ้าผมทำคงไม่ได้พิมพ์กระทู้ในวันนี้
ท้ายที่สุด ผมจบม.6 ด้วยความล้มเหลว สำหรับผมมันคือความปราชัยที่สุดในชีวิตที่ผมไม่สามารถทำสิ่งที่ผมต้องการได้เลย บางอย่างอยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่ผมต้องการด้วยซ้ำไป ความรู้สึกเหมือนตัวเอกในการ์ตูนที่ถูกตัวร้ายเอาชนะได้อย่างง่ายดายแถมถ่มน้ำลายรดหน้าเยาะเย้ย อย่าว่าแต่ทุนเมืองนอกเลย มหาวิทยาลัยในไทยก็สอบไม่ได้ ต้องรับโควตาของมหาวิทยาลัยใกล้บ้านตอนนั้น ผมยอมแพ้ในชีวิตตัวเองไปแล้ว สิ้นหวังมากๆ แต่ผมให้โอกาสตัวเองครั้งสุดท้าย ถ้าครั้งนี้มองไม่เห็นปลายทาง ก็จะฆ่าตัวตายจริงๆ
ผมยังจำได้ดีว่า ตอนที่ผมเรียนที่มหาวิทยาลัยที่แรกนั้น เวลามองบนฟ้าก็จะนึกถึงหน้านักเรียนทุน นักเรียนโอลิมปิก ข่าวที่ตัวแทนนักเรียนนำเหรียญรางวัลวิชาต่างๆกลับมาที่เมืองไทย นึกถึงอดีตว่า ถ้าตอนนั้นได้เรียนที่มหิดลวิทยานุสรณ์หรือกำเนิดวิทย์จะเป็นอย่างไร พ่อแม่จะภูมิใจแค่ไหน พ่อแม่จะเอาลูกไปอวดคนรอบข้างแค่ไหน (เพิ่งนึกได้ว่าเรื่องนี้สำคัญกับเรื่องราวหลัก พ่อแม่ไม่เคยกดดันผมเลยในช่วงประถม-มัธยม มีแต่ผมที่กดดันตัวเองมหาศาล) นึกถึงทุนเมืองนอก ใช่แล้ว ทุนเมืองนอก ผมไม่เคยยอมแพ้เรื่องทุนเมืองนอกเลย ตลอดเวลาที่จบม.6 มา ผมยังนึกถึงการได้ไปเรียนต่อเมืองนอกตลอด ถึงขั้นที่ว่า ยังค้นหาทุนเมืองนอกสำหรับเด็กซิ่วอยู่
ผมเคยคิดถึงขั้นที่ว่า ผมจะไปเรียนต่อป.ตรี เมืองนอก อีกครั้ง หลังจากที่เรียนจบ ป.ตรีที่ไทยแล้ว แม้จะต้องใช้เงินกี่บาทก็ยอม จะต้องทำงานกี่ปีเพื่อหาเงินก็ยอม แม้จะอายุ 30 40 ก็จะไปให้ได้ แม้จะต้องหาเงินเป็น 10,000,000 บาทก็จะหามาให้ได้ (หลังจากที่ผมคิดได้ และมองย้อนกลับไป ผมนี่มันก็บ้าคิดอะไรไม่เข้าเรื่องจริงๆ ยังนึกอยู่เลยว่า ถ้าผมทำแบบนั้นจริงๆขึ้ยมาคงจะเสียดายเงินน่าดู เงินที่สามารถเอาไปทำอะไรได้มากมาย ให้พ่อแม่ก็ได้ บริจาคก็ได้ ใช้ตั้งตัวก็ได้ แต่กลับเอามาเพื่อที่จะสนองความคิดไปเองของตัวเอง ซึ่งผมจะเล่าที่ผมคิดได้ในย่อหน้าต่อๆไป)
แม้ว่าในตอนแรกผมได้ยอมแพ้ไปแล้ว แต่ว่าในภายหลัง ผมกลับทำใจไม่ได้ จนกระทั่งผมสอบเรียนต่อใหม่ในไทย แต่แน่นอนว่า ผมยังทำใจไม่ได้อยู่ดี ที่สอบทุนเรียนต่อเมืองนอกไม่ได้ ผมยังคงคิดฝันถึงการไปเรียนเมืองนอก จนผมไม่มีจิตใจเรียน ติด F จนกระทั่งผมรู้ตัวแล้วว่า ผมจะต้องจบช้าไปอีก 1 ปีถ้าผมเรียนตรงนี้ รวมเป็น 2 ปีหลังจากจบม.6 ที่ผมจะต้องช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่ตอนนั้นผมก็ยังหาทุนเรียนต่อเมืองนอกสำหรับเด็กซิ่วอยู่ดี ผมยังไม่สามารถทำใจได้เลยเรื่องเรียนเมืองนอก จนกระทั่งผมตัดสินในย่อหน้าก่อนหน้าอย่างจริงจังเรื่องเงิน 10,000,000 บาท ผมจึงสามารถเริ่มกลับมาพยายามเรียนในมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนในตอนนี้ได้ แต่ผมก็ยอมรับว่า ผมยังชอบส่องเฟสนักเรียนทุนเมืองนอก และยังตามอ่านกระทู้เรียนต่อเมืองนอกอยู่ จนเสียการเรียนอีกครั้ง
ภายหลัง ผมพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติม จนยืนยันกับตัวเองได้ว่า การสอบทุนเรียนเมืองนอกได้ ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอัจฉริยะเสมอไป คนเก่งจะพยายามหาความรู้เองได้ แม้ต้องเรียนมหาวิทยาลัยที่ไม่มีใครรู้จักก็ตาม แม้แต่ไม่มีโอกาสเรียนมหาวิทยาลัย ถ้าเขาใฝ่รู้จริงๆ เขาก็สามารถหาความรู้ได้ สามารถเก่งกว่านักเรียนทุนได้ จนผมเลิกหมกมุ่นเรื่องเรียนต่อเมืองนอก เงิน 10,000,000 บาทนั้น ผมไม่ต้องการแล้ว ถ้าหามาได้ ก็จะยกให้พ่อแม่ หรือบริจาคทำบุญทั้งหมด ผมคิดแบบนี้ได้ หลังจากจบม.6 ได้ ประมาณ 3 ปี สิ้นสุดกันเสียทีกับเรื่องเหล่านี้
แต่ผมเองก็นึกเสียใจนะ ที่จะต้องจบป.ตรีช้า ไป 2 ปี และรู้สึกผิดกับพ่อแม่ ที่ไม่เคยทำให้ท่านภูมิใจได้เลย ที่ทำให้ท่านต้องด่าว่าจนผิดใจกันทั้งสองฝ่ายมาตลอด
ในอนาคต ผมก็หวังลึกๆว่าท่านจะเข้าใจในเรื่องทั้งหมดที่ผมพิมพ์มาได้ (และอีกหลายๆอย่างที่ผมไม่ได้พิมพ์ เพ่าะจะทำให้กระทู้นี้ยาวจนอ่านไม่ไหว)