ระหว่างดาบคาตานะ กับดาบอัศวิน อันไหนเจ๋งกว่า

การได้เปรียบเสียเปรียบเป็นอย่างไร ในแง่วิชา และดาบ
[youtube]https://youtube.com/shorts/s8xy-iWYfXQ?si=WYvF4IAw19C3nElK/youtube]
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
เรากำลังพูดถึงอัศวินยุโรปยุคกลางใช่มั้ย   โห้ นี่เรากำลังพูดเรื่องเทคนิคการผลิต ที่กว้างมากๆ ของยุคกลางยุโรปที่มีอายุ 1000 ปีและก็มีเทคนิดต่างกันตั้งแต่ สเปน  ไปจนถึงรัสเซีย


                   แร่เหล็ก  หรือทรายเหล็กที่ใช้ในการตีคาตานะและดาบญี่ปุ่นอื่นๆ มีคุณภาพต่ำและเทคนิคของญี่ปุ่นตอนนั้น ช่างตีดาบไม่สามารถขจัดสิ่งเจือปนทั้งหมดในเหล็กได้           (  จีนเริ่มมีเทคนิค เตาหลอมเหล็กให้บริสุทธิ์มากขึ้น ประมาณ 800 – 900 CE  ที่ช้าเพราะจีนมีแร่เหล็กที่มีคุณภาพดีกว่าญี่ปุ่นมีสิ่งเจือปนน้อยกว่า และเทคนิคการทำสงครามที่จีนทำสงครามกับชนเผ่านักรบขี่ม้าทางเหนือทำให้ การพัฒนาดาบของจีนแทบจะไม่มีความจำเป็นเลย กับกองทหารม้าที่เคลื่อนที่รวดเร็ว เกราะแบบใหม่ๆที่พวกนี้ใช้ มันทำให้ดาบลดความสำคัญลงไป จีนเลยต้องเน้นการพัฒนากลยุทธ์รับมือแทน )
  
              สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้นอกจากสิ่งเจือปนในเหล็กของญี่ปุ่นที่สูงยังทำให้มีการกระจายตัวของคาร์บอนไม่สม่ำเสมอ    วิธีที่ช่างตีดาบชาวญี่ปุ่นคิดค้นขึ้นมาเพื่อจัดการกับวัตถุดิบที่ไม่ได้คุณภาพนี้คือการตีพับเหล็กและการชุบแข็งแบบต่าง ๆ   การตีพับเหล็กก็เพื่อกระจายสิ่งเจือปนที่กระบวนการถลุงของญี่ปุ่นในยุคนั้นทำไม่ได้  เพื่อให้กระจายออกไปทั่วทั้งชิ้นงานแทนที่จะกระจุกอยู่ที่เดียวแล้วทำให้ดาบมีจุดเสีย   ( แต่สิ่งเจือปนก็ไม่ได้ไม่ดีกับดาบเสมอไป ในยุคที่เรายังไม่รู้จัก อัลลอย   ว่าคือกระบวนการที่เราใส่แร่ต่างๆเข้าไปเพิ่ม เพื่อสร้างโลหะที่ได้คุณสมบัติที่เราต้องการให้มันเป็น  )
                     ที่ดาบญี่ปุ่นมีเรื่องเล่าของ ช่างตีดาบสำนักนู่น สำนักนี้ทำดาบแบบกินเลือดคนใช้ หรือดาบป้องกันชีวิต  จริงๆ มันเกิดจากช่วงกระบวนการตีดาบที่ตีพับแล้วแร่มันกระจายตัวไปทั่วชิ้นงานทำให้เกิด การผสนามชิ้นโลหะแบบต่างๆขึ้น ที่ได้คุณสมบัติเพิ่มแบบ ฟลุ๊กๆ ขึ้นมาใหม่  จากแร่ก้อนใกล้ๆกัน  ถ้าพูดแบบสมัยใหม่คือ ไม่ผ่าน QC เพราะไม่ได้มาตราฐานเท่ากันทุกเล่ม  แร่เหล็กบ่อนี้อาจจะได้คุณสมบัติอย่าง เลยไปอีก บ่ออาจจะเป็นอีกอย่าง


ดาบของยุโรป (  ส่วนใหญ่ที่เหลือรอดมาจากยุคกลางตอนปลายๆ จนถึงยุคเรเนซอง   ) ทำด้วยเหล็กที่ผ่านการหลอมให้มีความบริสุทธิ์สูงแล้วจึงนำไปชุบแข็งแบบสปริง  ดาบไม่จำเป็นต้องตีพับเพื่อให้แร่ที่ไม่ต้องการกระจายไปทั่วใบดาบแบบ ดาบญี่ปุ่น

ในด้านคุณภาพโดยรวม ดาบญี่ปุ่นและยุโรปค่อนข้างจะเทียบเคียงได้ แต่แตกต่างกันในทางลักษณะ

                   - ดาบยุโรปมีสองคม ซึ่งทำให้คุณสามารถที่จะอยู่รอดในสนามรบได้นานกว่า ดาบคมเดียว  

                   - ดาบยุโรปมีปลายแหลมเพื่อเอาไว้แทง ข้อต่อเกราะอัศวินและดาบยุโรปส่วนมากด้ามดาบกับใบดาบมักเป็นชิ้นเดียวกัน ขณะที่ดาบญี่ปุ่นด้ามดาบใช้ไม้หุ้ม   

                    - ดาบยุโรปมักจะหุ้มขนแกะชุบน้ำมันไว้ที่คอปลอกดาบ เพื่อให้เวลาชักดาบ เข้าหรือออก  ใบดาบจะถูกน้ำมันเคลือบไว้ตลอดเวลา   ตรงด้ามดาบออกแบบให้มีตุ้มเหล็กไว้ทุบเกราะหรือทุบเกราะถักของพวกกองทัพมุสลิม

                    - กั้นมือที่ยาวสองด้านของ ดาบยุโรป มีเอกสารบันทึกว่าป้องกันได้ดีกว่าในการรบแบบตะลุมบอน แถมเอามาใช้เป็นอาวุธได้ด้วยด้วยการเกี่ยว หรือ กระแทกตรงๆ

เพลงดาบของยุโรปจึงดูไม่มีรูปแบบที่ตายตัวและค่อนข้างอันตราย เพราะมันมีความหลากหลายรูปแบบในการเข้าปะทะ

ขณะที่ดาบญี่ปุ่น ด้วยความที่ช่างต้องออกแบบคมดาบให้แข็งมากๆ และสันดาบที่อ่อนเพื่อให้ใบดาบยังยืดหยุ่นได้บ้างไม่หักระหว่างฟัน ปัจจัยเปล่านี้ทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถสร้างดาบแบบมีสองคมได้  นักดาบญี่ปุ่นจึงต้องออกแบบ   " เพลงดาบแบบวาด - ตัด "   (   Battojutsu และ Iaijutsu ) เพื่อให้จบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว รักษาคมดาบที่มีคมเดียวไม่ใช่ฟันพร่ำเพรือและเวลาอยู่ในสนามรบคมดาบคมเดียวจะต้องถูกรักษาให้สามารถอยู่ได้นานมากที่สุดไม่บิ่นจนหมดคมไปซะก่อน

เพลงดาบของญี่ปุ่นจึงจำเป็นที่คนเรียนรู้จะต้องมีทักษะที่สูง    ในแง่ของการเรียนรู้การใช้อาวุธให้เชี่ยวชาญ คาตานะน่าจะยากกว่า ใช้เวลานานกว่า


https://swordsmith-fusayuki.com/tsukurikata22.html
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่