คุยกับนักเขียนบทประพันธ์ และผู้จัดละครสุดปัง ภาคต่อ "บุพเพสันนิวาส" ปลุกกระแส "ออเจ้า" ให้กลับมาดังกระหึ่มอีกครั้งในเรื่อง "พรหมลิขิต"
วันที่ 20 ต.ค. 2566 ใน "NewsRoom" รายการทอล์กคุยข่าวใหญ่ ทางไทยรัฐออนไลน์ ดำเนินรายการโดย คิงส์ พีระวัฒน์ อัฐนาค และ กาย พงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ วันนี้เป็นการพูดคุยกันในประเด็นของละครเรื่อง "พรหมลิขิต" ที่ได้ปลุกกระแส "ออเจ้า" ดังกระหึ่มอีกครั้ง
คุณจันทร์ยวีร์ สมปรีดา หรือ คุณอุ้ย (รอมแพง) ผู้เขียนบทประพันธ์เรื่องพรหมลิขิต ได้เผยถึงเรตติ้งของละครหลังจากได้ออนแอร์ไป 2 ตอนว่า ก็เป็นไปตามสิ่งที่ควรเป็น เพราะทางทีมงานละครทุ่มเทกันเยอะ
โดยเหตุผลที่เขียนนิยายเรื่องนี้ เพราะตนเองสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ มีความรู้สึกอยากจะเขียนเรื่องราวย้อนยุค แล้วก็เห็นว่าเรื่องราวในสมัยพระนารายณ์น่าสนใจ ซึ่งปกติตนก็จะสะสมความรู้ในด้านประวัติศาสตร์ระดับหนึ่งอยู่แล้ว
สำหรับการหาข้อมูลในการเขียน บุพเพสันนิวาส ใช้เวลา 3 ปี ส่วนพรหมลิขิต ใช้เวลานานกว่านั้น เพราะมีข้อมูลน้อยกว่าเรื่องราวในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ สำหรับเกณฑ์ในการเลือกข้อมูล ก็เลือกตามที่ตนเองชอบใจ โดยได้ไปอ่านที่เป็นพงศาวดารเรื่องเล่าของชีปะขาว และเห็นว่าน่าสนใจดี ก็นำมาเขียนเป็นนิยาย
สำหรับความยากง่าย ด้วยความที่เราเป็นคนยุคปัจจุบัน จึงไม่รู้ว่าอันไหนเป็นเรื่องจริงบ้าง จึงต้องเลือกอะไรที่ไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่รู้กันมา ส่วนสิ่งที่ง่าย คือ ประวัติศาสตร์ มันไม่ปะติดปะต่อ ทำให้เรียงลำดับไทม์ไลน์ และสอดแทรกความเป็นพุดตาล และตัวละครอื่นๆ ได้ สำหรับคนที่ติติง ก็อยากจจะบอกว่า เพราะประวัติศาสตร์มีหลายกระแส
ที่เราจับมาเขียนก็เป็นอีกหนึ่งกระแส ที่มีในพงศาวดาร จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่มีใครตอบได้ แต่ด้วยความที่เราเขียนนิยายโรแมนติก จะเลือกเอาเรื่องราวที่โหดๆ มามาก มันก็จะไม่โรแมนติกและคอมเมดี้ ก็ต้องเลือกมาให้เหมาะสม โดยทั้ง 2 เรื่อง ก่อนที่จะเขียนก็ไปที่อยุธยา ซึ่งเป็นสถานที่จริงหลายรอบ แต่ระยะเวลาการเขียนบทประพันธ์ พรหมลิขิตนี่ใช้ 2 ปี แต่บุพเพสันนิวาส คือเดือนนิดๆ
สำหรับเรื่องราวของตัวละคร คุณอุ้ย กล่าวว่า หากไม่ตามมาตั้งแต่แรก ก็ดูรู้เรื่อง เพราะมีการเท้าความถึงตอนเก่าๆ ซึ่งในเรื่องพรหมลิขิต ตัวละครพุดตาลนั้น เป็นญาติกับเกศสุรางค์แบบห่างมากๆ แต่พออายุ 8 ขวบ ทั้งครอบครัวตาย แล้วการะเกดก็มาเข้าร่าง ซึ่งไม่ใช่การสิง ส่วนในประเด็นที่ป้ากับพุดตาล มีเรื่องการปะทะคารมกัน และโซเชียลวิเคราะห์ไปถึงเรื่องจิตวิทยาการเลี้ยงดูเด็กด้วย ก็มีส่วนไปแบบนั้น หรือคิดไปในเรื่องของเวรกรรมที่การะเกดสร้างขึ้นมาก็ได้
นอกจากนี้ คุณอุ้ย ยังกล่าวว่า ล่าสุดยอดขายนิยายตอนนี้ ก็มีการขายไปประมาณ 5 หมื่นเล่มแล้ว ยังไม่รวมอีบุ๊ก โดยในปัจจุบันนี้ความนิยมของนิยาย คิดว่าในอดีตน่าจะดีกว่า แต่ตอนนี้มีนิยายแปลเข้ามาแบ่งความสนใจของคนไปด้วย แต่ก็ไม่ได้กระทบมาก
ส่วนตัวละครอื่นๆ ที่เป็นกระแส และมีชื่อในประวัติศาสตร์ อย่างในพรหมลิขิต ที่มีการพูดถึงพระเจ้าเสือ หรือพระเพทราชา นิดหน่อย แต่บทละครก็มีการขยายความมากยิ่งขึ้น เพื่อปูความถึงเรื่องของพระเจ้าท้ายสระ อย่างตัวละครที่คุณก็อต จิรายุ เล่น ในบทประพันธ์แทบจะไม่มีการเขียนเลย ในละครก็เป็นไปตามต้นฉบับ หรือกรณีของท้าวทองกีบม้า ที่ตามประวัติศาสตร์จะเหลือลูกเพียงแค่ 1 คน เพราะลูกอีกคนหนึ่งเสียชีวิตแล้ว เราก็เขียนบทละครตามนั้น ที่มาจากการศึกษาตามประวัติศาสตร์
เมื่อถามถึงการเขียนบทประพันธ์พรหมลิขิต คุณอุ้ย เผยว่า ต้องบอกว่าพรมหลิขิต ตนเองคิดตามตัวละครเดิมเลย ซึ่งเป็นการเขียนที่แปลก เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีภาพในหัวเลย และประเด็นมนต์กฤษณกาลี ก็ต้องตอบว่าไม่มีจริง เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นมา สุดท้ายนี้ก็ต้องบอกว่า คนเขียน ทีมงาน นักแสดงทุกคนต่างร่วมมือ และพยายามทำงานให้ดีที่สุด ให้รอติดตาม เพราะทุกคนทำเต็มที่แล้วเพื่อคนดู
ด้าน คุณหน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์ ผู้จัดละครพรหมลิขิต และกรรมการผู้จัดการบริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด ได้เผยถึงความรู้สึกหลังจากละครออนแอร์ว่า ต้องบอกว่าทีมงานทุกคนตื่นเต้นมาก เพราะเราทำงานกันเกือบ 2 ปี และก็คิดว่าจะถูกใจทุกคนไหม พอออกมาแล้วก็อยากจะขอบคุณทุกคนเลย โดยในอาทิตย์หน้าก็จะเข้าสู่ในเรื่องของพรหมลิขิตจริงๆ แล้ว
สำหรับการออกอากาศใน 2 อาทิตย์แรก จะเป็นวันพุธ และพฤหัส ส่วนในเดือนพฤศจิกายน จะเริ่มออกอากาศ 3 วัน คือ จันทร์ อังคาร และพุธ ซึ่งการถ่ายทำละคร ยากหมดทุกอย่างเลย เพราะในภาคนี้ มีการเปลี่ยนรัชสมัย และสถานที่ต่างๆ ด้วย ที่จะทำให้หลายๆ คนได้เห็นกัน และจะเห็นว่ามีการสร้าง CG ที่ทีมงานทุกคนทุ่มเทสร้างงานออกมาให้หลายๆ คนได้ชมความสวยงามกับผังเมืองของอยุธยา
โดยทุนในการการสร้างนั้น ต้องบอกว่า การทำละครย้อนยุคและย้อนสมัย เป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นใหม่ ก็ลงทุนไปมากกว่าละครปกติแน่นอน โดยเฉพาะพรมหลิขิตมีการสร้างหลายฉาก ก็อยากให้ติดตามชมเพราะจะมีฉากใหญ่หลายๆ ฉากที่อลังการและน่าสนใจ โดยในเรื่องนี้ ความแตกต่างของละครอิงประวัติศาสตร์ที่มีมา คือ เราพยายามที่จะยึดตามบทประพันธ์ว่าเขาหยิบไปในประเด็นไหน อย่างในเรื่องนี้หยิบเรื่องของความรักโรแมนติกที่อิงประวัติศาสตร์ ก็อาจจะทำให้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ
เมื่อถามถึงสำหรับการทำละครไทยในยุคนี้ คุณหน่อง เผยว่า เพียงแค่จะทำเรื่องอะไรก็ยากแล้ว เพราะต้องคิดว่าทำคอนเทนต์อะไร ที่ดึงดูดใจผู้ชม เราต้องเข้าใจสถานการณ์ และโลกที่เปลี่ยนไป อย่างในภาคนี้เราได้ตัวละครมาเยอะ เพราะพยายามที่จะสร้างงาน เพื่อความสนุกสนานให้ออกมาสมบูรณ์
สำหรับประเด็นเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ของไทย ในเรื่องนี้ก็มีเยอะมาก ตั้งแต่เรื่องของชุด และเรื่องเมนูอาหาร และตอนนี้ก็ได้ขายลิขสิทธิ์การออนแอร์ละครไปกว่า 10 ประเทศแล้ว ล่าสุดก็มีสื่อไต้หวัน ใส่ชุดไทยมาสัมภาษณ์แล้ว รวมถึงอีกหลายสื่อ ที่เริ่มมาสัมภาษณ์ ก็เป็นเรื่องที่ตื่นเต้นแทนทีมงานและนักแสดงทุกคน ซึ่งสิ่งที่เราห่วงที่สุดก็คือเรื่องของความคาดหวัง แต่เท่าที่ผ่านมา เห็นว่าทุกคนก็ให้ความชื่นชอบ และยังรักในตัวละครมาให้ ก็ขอบคุณมากๆ และขอให้รอติดตามไปจนจบ
https://www.thairath.co.th/news/society/2734438
คุยกับผู้สร้างผลงานละครสุดปัง "พรหมลิขิต" ปลุกกระแส "ออเจ้า" ดังกระหึ่ม หน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์
คุยกับนักเขียนบทประพันธ์ และผู้จัดละครสุดปัง ภาคต่อ "บุพเพสันนิวาส" ปลุกกระแส "ออเจ้า" ให้กลับมาดังกระหึ่มอีกครั้งในเรื่อง "พรหมลิขิต"
วันที่ 20 ต.ค. 2566 ใน "NewsRoom" รายการทอล์กคุยข่าวใหญ่ ทางไทยรัฐออนไลน์ ดำเนินรายการโดย คิงส์ พีระวัฒน์ อัฐนาค และ กาย พงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ วันนี้เป็นการพูดคุยกันในประเด็นของละครเรื่อง "พรหมลิขิต" ที่ได้ปลุกกระแส "ออเจ้า" ดังกระหึ่มอีกครั้ง
คุณจันทร์ยวีร์ สมปรีดา หรือ คุณอุ้ย (รอมแพง) ผู้เขียนบทประพันธ์เรื่องพรหมลิขิต ได้เผยถึงเรตติ้งของละครหลังจากได้ออนแอร์ไป 2 ตอนว่า ก็เป็นไปตามสิ่งที่ควรเป็น เพราะทางทีมงานละครทุ่มเทกันเยอะ
โดยเหตุผลที่เขียนนิยายเรื่องนี้ เพราะตนเองสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ มีความรู้สึกอยากจะเขียนเรื่องราวย้อนยุค แล้วก็เห็นว่าเรื่องราวในสมัยพระนารายณ์น่าสนใจ ซึ่งปกติตนก็จะสะสมความรู้ในด้านประวัติศาสตร์ระดับหนึ่งอยู่แล้ว
สำหรับการหาข้อมูลในการเขียน บุพเพสันนิวาส ใช้เวลา 3 ปี ส่วนพรหมลิขิต ใช้เวลานานกว่านั้น เพราะมีข้อมูลน้อยกว่าเรื่องราวในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ สำหรับเกณฑ์ในการเลือกข้อมูล ก็เลือกตามที่ตนเองชอบใจ โดยได้ไปอ่านที่เป็นพงศาวดารเรื่องเล่าของชีปะขาว และเห็นว่าน่าสนใจดี ก็นำมาเขียนเป็นนิยาย
สำหรับความยากง่าย ด้วยความที่เราเป็นคนยุคปัจจุบัน จึงไม่รู้ว่าอันไหนเป็นเรื่องจริงบ้าง จึงต้องเลือกอะไรที่ไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่รู้กันมา ส่วนสิ่งที่ง่าย คือ ประวัติศาสตร์ มันไม่ปะติดปะต่อ ทำให้เรียงลำดับไทม์ไลน์ และสอดแทรกความเป็นพุดตาล และตัวละครอื่นๆ ได้ สำหรับคนที่ติติง ก็อยากจจะบอกว่า เพราะประวัติศาสตร์มีหลายกระแส
ที่เราจับมาเขียนก็เป็นอีกหนึ่งกระแส ที่มีในพงศาวดาร จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่มีใครตอบได้ แต่ด้วยความที่เราเขียนนิยายโรแมนติก จะเลือกเอาเรื่องราวที่โหดๆ มามาก มันก็จะไม่โรแมนติกและคอมเมดี้ ก็ต้องเลือกมาให้เหมาะสม โดยทั้ง 2 เรื่อง ก่อนที่จะเขียนก็ไปที่อยุธยา ซึ่งเป็นสถานที่จริงหลายรอบ แต่ระยะเวลาการเขียนบทประพันธ์ พรหมลิขิตนี่ใช้ 2 ปี แต่บุพเพสันนิวาส คือเดือนนิดๆ
สำหรับเรื่องราวของตัวละคร คุณอุ้ย กล่าวว่า หากไม่ตามมาตั้งแต่แรก ก็ดูรู้เรื่อง เพราะมีการเท้าความถึงตอนเก่าๆ ซึ่งในเรื่องพรหมลิขิต ตัวละครพุดตาลนั้น เป็นญาติกับเกศสุรางค์แบบห่างมากๆ แต่พออายุ 8 ขวบ ทั้งครอบครัวตาย แล้วการะเกดก็มาเข้าร่าง ซึ่งไม่ใช่การสิง ส่วนในประเด็นที่ป้ากับพุดตาล มีเรื่องการปะทะคารมกัน และโซเชียลวิเคราะห์ไปถึงเรื่องจิตวิทยาการเลี้ยงดูเด็กด้วย ก็มีส่วนไปแบบนั้น หรือคิดไปในเรื่องของเวรกรรมที่การะเกดสร้างขึ้นมาก็ได้
นอกจากนี้ คุณอุ้ย ยังกล่าวว่า ล่าสุดยอดขายนิยายตอนนี้ ก็มีการขายไปประมาณ 5 หมื่นเล่มแล้ว ยังไม่รวมอีบุ๊ก โดยในปัจจุบันนี้ความนิยมของนิยาย คิดว่าในอดีตน่าจะดีกว่า แต่ตอนนี้มีนิยายแปลเข้ามาแบ่งความสนใจของคนไปด้วย แต่ก็ไม่ได้กระทบมาก
ส่วนตัวละครอื่นๆ ที่เป็นกระแส และมีชื่อในประวัติศาสตร์ อย่างในพรหมลิขิต ที่มีการพูดถึงพระเจ้าเสือ หรือพระเพทราชา นิดหน่อย แต่บทละครก็มีการขยายความมากยิ่งขึ้น เพื่อปูความถึงเรื่องของพระเจ้าท้ายสระ อย่างตัวละครที่คุณก็อต จิรายุ เล่น ในบทประพันธ์แทบจะไม่มีการเขียนเลย ในละครก็เป็นไปตามต้นฉบับ หรือกรณีของท้าวทองกีบม้า ที่ตามประวัติศาสตร์จะเหลือลูกเพียงแค่ 1 คน เพราะลูกอีกคนหนึ่งเสียชีวิตแล้ว เราก็เขียนบทละครตามนั้น ที่มาจากการศึกษาตามประวัติศาสตร์
เมื่อถามถึงการเขียนบทประพันธ์พรหมลิขิต คุณอุ้ย เผยว่า ต้องบอกว่าพรมหลิขิต ตนเองคิดตามตัวละครเดิมเลย ซึ่งเป็นการเขียนที่แปลก เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีภาพในหัวเลย และประเด็นมนต์กฤษณกาลี ก็ต้องตอบว่าไม่มีจริง เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นมา สุดท้ายนี้ก็ต้องบอกว่า คนเขียน ทีมงาน นักแสดงทุกคนต่างร่วมมือ และพยายามทำงานให้ดีที่สุด ให้รอติดตาม เพราะทุกคนทำเต็มที่แล้วเพื่อคนดู
ด้าน คุณหน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์ ผู้จัดละครพรหมลิขิต และกรรมการผู้จัดการบริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด ได้เผยถึงความรู้สึกหลังจากละครออนแอร์ว่า ต้องบอกว่าทีมงานทุกคนตื่นเต้นมาก เพราะเราทำงานกันเกือบ 2 ปี และก็คิดว่าจะถูกใจทุกคนไหม พอออกมาแล้วก็อยากจะขอบคุณทุกคนเลย โดยในอาทิตย์หน้าก็จะเข้าสู่ในเรื่องของพรหมลิขิตจริงๆ แล้ว
สำหรับการออกอากาศใน 2 อาทิตย์แรก จะเป็นวันพุธ และพฤหัส ส่วนในเดือนพฤศจิกายน จะเริ่มออกอากาศ 3 วัน คือ จันทร์ อังคาร และพุธ ซึ่งการถ่ายทำละคร ยากหมดทุกอย่างเลย เพราะในภาคนี้ มีการเปลี่ยนรัชสมัย และสถานที่ต่างๆ ด้วย ที่จะทำให้หลายๆ คนได้เห็นกัน และจะเห็นว่ามีการสร้าง CG ที่ทีมงานทุกคนทุ่มเทสร้างงานออกมาให้หลายๆ คนได้ชมความสวยงามกับผังเมืองของอยุธยา
โดยทุนในการการสร้างนั้น ต้องบอกว่า การทำละครย้อนยุคและย้อนสมัย เป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นใหม่ ก็ลงทุนไปมากกว่าละครปกติแน่นอน โดยเฉพาะพรมหลิขิตมีการสร้างหลายฉาก ก็อยากให้ติดตามชมเพราะจะมีฉากใหญ่หลายๆ ฉากที่อลังการและน่าสนใจ โดยในเรื่องนี้ ความแตกต่างของละครอิงประวัติศาสตร์ที่มีมา คือ เราพยายามที่จะยึดตามบทประพันธ์ว่าเขาหยิบไปในประเด็นไหน อย่างในเรื่องนี้หยิบเรื่องของความรักโรแมนติกที่อิงประวัติศาสตร์ ก็อาจจะทำให้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ
เมื่อถามถึงสำหรับการทำละครไทยในยุคนี้ คุณหน่อง เผยว่า เพียงแค่จะทำเรื่องอะไรก็ยากแล้ว เพราะต้องคิดว่าทำคอนเทนต์อะไร ที่ดึงดูดใจผู้ชม เราต้องเข้าใจสถานการณ์ และโลกที่เปลี่ยนไป อย่างในภาคนี้เราได้ตัวละครมาเยอะ เพราะพยายามที่จะสร้างงาน เพื่อความสนุกสนานให้ออกมาสมบูรณ์
สำหรับประเด็นเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ของไทย ในเรื่องนี้ก็มีเยอะมาก ตั้งแต่เรื่องของชุด และเรื่องเมนูอาหาร และตอนนี้ก็ได้ขายลิขสิทธิ์การออนแอร์ละครไปกว่า 10 ประเทศแล้ว ล่าสุดก็มีสื่อไต้หวัน ใส่ชุดไทยมาสัมภาษณ์แล้ว รวมถึงอีกหลายสื่อ ที่เริ่มมาสัมภาษณ์ ก็เป็นเรื่องที่ตื่นเต้นแทนทีมงานและนักแสดงทุกคน ซึ่งสิ่งที่เราห่วงที่สุดก็คือเรื่องของความคาดหวัง แต่เท่าที่ผ่านมา เห็นว่าทุกคนก็ให้ความชื่นชอบ และยังรักในตัวละครมาให้ ก็ขอบคุณมากๆ และขอให้รอติดตามไปจนจบ
https://www.thairath.co.th/news/society/2734438