ผู้หญิงและเด็กชาวปาเลสไตน์ที่หลบหนีออกจากบ้านเรือนของพวกเขาท่ามกลางการถล่มโจมตีของอิสราเอล เข้าไปพักพิงอาศัยที่โรงเรียนซึ่งดำเนินการโดยสหประชาชาติแห่งหนึ่ง ในเมืองข่านยูนิส ทางตอนใต้ของดินแดนกาซา เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ทั้งนี้รายงานข่าวระบุว่า ที่โรงเรียนซึ่งดำเนินการโดยยูเอ็นทางตอนเหนือของกาซา ก็มีชาวปาเลสไตน์หลายครอบครัวอพยพไปพิงพิงเหมือนกัน หลังอิสราเอลสั่งให้ชาวกาซากว่าล้านคนต้องอพยพลงใต้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ที่โรงพยาบาล อัล-ชิฟา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งสำคัญที่สุดของนครกาซาซิตี้ มีผู้หญิงและแด็กๆ ซึ่งพวกเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ประมาณการว่า อยู่ในราว 35,000 คนเข้ามาอยู่กันแออัดตามห้องโถงและระเบียงที่ยงเต็มไปด้วยคราบเลือด รวมทั้งอยู่กันตามพื้นดินของโรงพยาบาล บางส่วนนั่งกันตามใต้ต้นไม้ ตลอดจนภายในห้องล็อบบี้ของอาคารโรงพยาบาล ด้วยความวาดหวังว่าจะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากการสู้รบ
เดอีร์ อัล-บาเลาะห์, ฉนวนกาซา (เอพี) – ชาวปาเลสไตน์ที่อยู่ในอาการเข้าตาจน พากันดิ้นรนหาทางหลบหนีออกจากดินแดนฉนวนกาซาในวันเสาร์ (14 ต.ค.) หรือไปเบียดเสียดกันเป็นหมื่นๆ คนอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่ซึ่งตกเป็นเป้าหมาย ด้วยความหวังว่ามันจะได้รับการยกเว้นไม่ถูกโจมตี ขณะที่อิสราเอลยิ่งเพิ่มทวีคำเตือนจะยกกำลังทหารบุกใหญ่ทั้งทางอากาศ, ภาคพื้นดิน, และทางทะเล ภายหลังพวกนักรบฮามาสบุกเข้าไปโจมตีเข่นฆ่าในอิสราเอลเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน
เวลาเดียวกับที่พวกผู้ทำงานในค่ายทหารอิสราเอลแห่งหนึ่งยังคงใช้ความพยายามต่อไปตลอดวันหยุดงานตามหลักศาสนายิว เพื่อตรวจสอบพิสูจน์อัตลักษณ์ของผู้คนกว่า 1,300 คนที่ถูกสังหารไปจากการโจมตีของฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ฝ่ายทหารอิสราเอลก็ได้ทิ้งใบปลิวจากทางอากาศและเน้นย้ำคำเตือนผ่านทางสื่อสังคมให้ชาวบ้านชาวเมืองผู้พำนักอยู่ทางตอนเหนือของดินแดนฉนวนกาซามากกว่า 1 ล้านคน ต้องอพยพโยกย้ายลงไปทางใต้
ฝ่ายทหารอิสราเอลประกาศว่ากำลังพยายามเคลียร์พลเรือนออกไป ก่อนหน้าการเปิดปฏิบัติการแบบรวมศูนย์กำลังเพื่อโจมตีเล่นงานพวกนักรบฮามาสในตอนเหนือของกาซา รวมไปถึงในบริเวณที่อิสราเอลอ้างว่าเป็นพื้นที่หลบซ่อนใต้ดินในเมืองกาซาซิตี้ ขณะที่กลุ่มฮามาสก็รบเร้าประชาชนให้อยู่รักษาบ้านเรือนของพวกเขาต่อไป
ทางด้านสหประชาชาติและกลุ่มให้ความช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ บอกว่า การให้ประชาชนจำนวนมหาศาลอพยพภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ บวกกับการที่อิสราเอลดำเนินการปิดล้อมพื้นที่เหล่านี้อยู่ จะก่อให้เกิดสถานการณ์ความทุกข์ยากเดือดร้อนของมนุษย์อย่างชนิดที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน องค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงว่า การอพยพเช่นนี้ “สามารถที่จะหมายถึงคำสั่งประหารชีวิต”สำหรับคนไข้กว่า 2,000 คนในโรงพยาบาลต่างๆ ทางตอนเหนือ รวมทั้งทารกแรกเกิดในตู้อบและผู้ป่วยในหน่วยดูแลผู้ป่วยหนัก
วิกฤตการณ์มนุษยธรรมที่กาซาได้เพิ่มความน่าเกลียดน่าขนลุกขึ้นอยู่แล้วในวันเสาร์ (14) ท่ามกลางสภาพการขาดแคลนน้ำและหยูกยาข้าวของทางการแพทย์ที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การปิดล้อมอย่างสมบูรณ์ของอิสราเอลซึ่งดำเนินมาเกือบ 1 สัปดาห์แล้ว โดยที่ยังมีการบังคับให้โรงไฟฟ้าต่างๆ ต้องปิดทำการเนื่องจากขาดแคลนเชื้อเพลิง
ในเมืองกาซาซิตี้ ไฮฟา ไฮฟา คามิส อัล-ชูราฟา (Haifa Khamis al-Shurafa) เบียดเข้าไปในรถยนต์คันหนึ่งพร้อมกับสมาชิกในครอบครัว 6 คน เพื่อหลบหนีไปทางใต้ท่ามกลางความมืดมิด
“พวกเราไม่สมควรที่จะต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้” ชูราฟา กล่าว ก่อนอำลาจากเมืองเกิดของเธอ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซา “พวกเราไม่ได้ฆ่าใครเลย” เธออุทธรณ์
การสั่งอพยพครั้งนี้ครอบคลุมชาวบ้านชาวเมืองประมาณ 1.1 ล้านคน หรือราวครึ่งหนึ่งของประชากรในดินแดนแห่งนี้ กองทัพอิสราเอลแถลงว่ามีชาวปาเลสไตน์ “หลายแสนคน” ได้กระทำตามคำเตือนและมุ่งหน้าลงใต้กันแล้ว ทั้งนี้ฝ่ายทหารอิสราเอลให้เวลาชาวปาเลสไตน์ 6 ชั่วโมงซึ่งสิ้นสุดลงในตอนบ่ายวันเสาร์ (14) สำหรับการเดินทางได้อย่างปลอดภัยภายในดินแดนกาซาตามเส้นทางหลักๆ 2 เส้นทาง
เวลาเดียวกัน ในอิสราเอล พวกคนทำงานในค่ายทหารแห่งหนึ่งได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้ยังคงทำงานต่อไปได้ สำหรับการระบุอัตลักษณ์ศพจำนวนมากกว่า 1,300 ศพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือน ที่ถูกพวกฮามาสสังหารไป ปกติแล้วการประกอบกิจการงานทั้งหลายในอิสราเอลจะต้องหยุดกันในวันเสาร์ ซึ่งถือเป็นวันหยุดงานประจำสัปดาห์ตามหลักศาสนายิวเพื่อการประกอบพิธีทางศาสนาและหยุดพักผ่อน
นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ได้เดินทางไปเยือนนิคมบีริ (Beeri) และนิคมคฟาร์ อัซซา (Kfar Azza) สองชุมชนเกษตรกรรมของอิสราเอลที่อยู่ติดชายแดนภาคใต้ ซึ่งพวกนักรบฮามาสได้บุกเข้าไปเข่นฆ่าสังหารชาวอิสราเอลตายหลายสิบคน เพื่อตรวจเยี่ยมพบปะพวกทหารและดูซากหักพังเสียหายของบ้านเรือนที่เกิดการนองเลือดขึ้นมา ทั้งนี้เนทันยาฮูเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนักว่ารัฐบาลของเขาไม่ได้ทำอะไรอย่างเพียงพอในการพบปะปลอบขวัญพวกญาติๆ ของเหยื่อที่ถูกสังหาร
มีญาติๆ หลายร้อยคนของผู้คนจำนวนหลายสิบที่ถูกกลุ่มฮามาสจับกุมและนำตัวไปยังกาซา ไปชุมนุมกันอยู่ด้านนอกของกระทรวงกลาโหมอิสราเอลในนครเทลอาวีฟ เรียกร้องให้หาทางทำให้บุคคลซึ่งเป็นที่รักของพวกเขาได้รับการปล่อยตัว พวกผู้ประท้วงเหล่านี้ช่วยกันแจกจ่ายใบปลิวที่มีใบหน้าและชื่อของญาติๆ ของพวกเขาภายใต้ตัวหนังสือตัวโตๆ ว่า “ถูกจับเป็นตัวประกัน”
“นี่คือการที่ผมออกมาวิงวอนร้องขอต่อโลก ได้โปรดช่วยนำพวกเขากลับมา ครอบครัวของผม, เมียผม, และลูกอีก 3 คน” เป็นคำกล่าวของ อวิไฮ บรอดซ์ (Avihai Brodtz)
ซึ่งพำนักอยู่ที่ คฟาร์ อัซซา หลายๆ คนแสดงความโกรธเกรี้ยวใส่รัฐบาล บอกว่าพวกเขายังคงไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารใดๆ เกี่ยวกับญาติๆ ของพวกเขากันเลย
ระหว่างการแถลงข่าวที่มีการแพร่ภาพและกระจายเสียงไปทั่วประเทศเมื่อคืนวันเสาร์ (14) พล.ร.ต.แดเนียล ฮาการี (Daniel Hagari) โฆษกของกองทัพอิสราเอลกล่าวหาฮามาสว่ากำลังพยายามที่จะใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ พร้อมกับเรียกร้องชาวบ้านชาวเมืองกาซาอีกครั้งให้อพยพไปทางใต้
“เรากำลังจะเข้าโจมตีเมืองกาซาซิตี้อย่างใหญ่โตกว้างขวางมากๆ ในเร็วๆ นี้” เขากล่าว โดยไม่ได้ให้ตารางเวลาการเข้าโจมตีดินแดนที่มีขนาดเล็กมากแห่งนี้ ซึ่งมีความยาวตั้งแต่ตอนเหนือลงมาจรดใต้เพียงแค่ 40 กิโลเมตร แต่เป็นที่พำนักอาศัยของประชากรราว 2.3 ล้านคน
ทางด้าน จอห์น คอนริคัส (John Conricus) โฆษกคนหนึ่งของฝ่ายทหารอิสราเอล แถลงสำทับว่า “พลเรือนชาวปาเลสไตน์ในกาซาไม่ใช่ศัตรูของเรา เราไม่ได้ประเมินพวกเขาแบบนั้น และเราไม่ได้ตั้งเป้าหมายเล่นงานพวกเขาแบบนั้น เรากำลังพยายามทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
อิสราเอลได้เรียกระดมกำลังทหารสำรองจำนวนราว 360,000 คนแล้ว และชุมนุมกองทหารพร้อมรถถังตามแนวชายแดนติดต่อกับกาซา รัฐมนตรีกลาโหม ลอยด์ ออสติน ของสหรัฐฯ แถลงในคืนวันเสาร์ (14) ว่า สหรัฐฯกำลังเคลื่อนหมู่เรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีหมู่ที่ 2 ซึ่งคราวนี้นำโดยเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ไปยังตะวันออกกลาง เพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้ตัวแสดงระดับภูมิภาคใดๆ หาทางขยายสงครามคราวนี้
พวกนักรบปาเลสไตน์นั้นได้ยิงจรวดเข้ามายังอิสราเอลมากกว่า 5,500 ลูกแล้วนับตั้งแต่ที่การสู้รบครั้งนี้ปะทุขึ้น ฝ่ายทหารอิสราเอลแถลงเอาไว้เช่นนี้
ทางฝ่ายฮามาสยังคงมีท่าทีท้าทายไม่ยอมจำนน ในการกล่าวปราศรัยทางทีวีเมื่อวันเสาร์ (14) เช่นกัน อิสมาอิล ฮานิเยะห์ (Ismail Haniyeh) เจ้าหน้าที่ในระดับท็อปผู้หนึ่งของฮามาส กล่าวว่า “การสังหารหมู่ทั้งหลายทั้งปวง” จะไม่สามารถทำให้ประชาชนชาวปาเลสไตน์แตกหักพังครืนลง
สำหรับในเวลานี้ การสู้รบยังคงดำเนินต่อไปในช่วงเวลาก่อนหน้าการรุกใหญ่ของฝ่ายอิสราเอลตามที่คาดหมายกันไว้ โดยที่ฮามาสได้ยิงจรวดเข้าไปในอิสราเอล และอิสราเอลก็ถล่มโจมตีเป้าหมายต่างๆ ในกาซา
การโจมตีทางอากาศของฝ่ายอิสราเอลหนหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นใกล้ๆ ค่ายผู้ลี้ภัยจาบาลิยะ (Jabaliya) ทางตอนเหนือของกาซา ได้สังหารผู้คนไปอย้างน้อย 27 คน และบาดเจ็บอีก 80 คน พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุขในกาซาบอก
เหยื่อเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กๆ พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบระบุ ขณะที่พวกแพทย์จากโรงพยาบาลคามัล เอดวาน (Kamal Edwan Hospital) ได้โพสต์วิดีโอซึ่งมองเห็นศพหลายศพที่ถูกไฟเผาดำเกรียมและอยู่ในลักษณะผิดรูปผิดร่าง
อ่านเนื้อหาข่าวเพิ่มเติมได้ที่
https://mgronline.com/around/detail/9660000092899
หดหู่! ชาวปาเลสไตน์หาทางอพยพหนีตายจากตอนเหนือกาซา ขณะอิสราเอลคุกคามหนักขึ้นเรื่อยๆ จะยกทัพใหญ่โจมตีภาคพื้นดิน
ที่โรงพยาบาล อัล-ชิฟา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งสำคัญที่สุดของนครกาซาซิตี้ มีผู้หญิงและแด็กๆ ซึ่งพวกเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ประมาณการว่า อยู่ในราว 35,000 คนเข้ามาอยู่กันแออัดตามห้องโถงและระเบียงที่ยงเต็มไปด้วยคราบเลือด รวมทั้งอยู่กันตามพื้นดินของโรงพยาบาล บางส่วนนั่งกันตามใต้ต้นไม้ ตลอดจนภายในห้องล็อบบี้ของอาคารโรงพยาบาล ด้วยความวาดหวังว่าจะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากการสู้รบ
เดอีร์ อัล-บาเลาะห์, ฉนวนกาซา (เอพี) – ชาวปาเลสไตน์ที่อยู่ในอาการเข้าตาจน พากันดิ้นรนหาทางหลบหนีออกจากดินแดนฉนวนกาซาในวันเสาร์ (14 ต.ค.) หรือไปเบียดเสียดกันเป็นหมื่นๆ คนอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่ซึ่งตกเป็นเป้าหมาย ด้วยความหวังว่ามันจะได้รับการยกเว้นไม่ถูกโจมตี ขณะที่อิสราเอลยิ่งเพิ่มทวีคำเตือนจะยกกำลังทหารบุกใหญ่ทั้งทางอากาศ, ภาคพื้นดิน, และทางทะเล ภายหลังพวกนักรบฮามาสบุกเข้าไปโจมตีเข่นฆ่าในอิสราเอลเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน
เวลาเดียวกับที่พวกผู้ทำงานในค่ายทหารอิสราเอลแห่งหนึ่งยังคงใช้ความพยายามต่อไปตลอดวันหยุดงานตามหลักศาสนายิว เพื่อตรวจสอบพิสูจน์อัตลักษณ์ของผู้คนกว่า 1,300 คนที่ถูกสังหารไปจากการโจมตีของฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ฝ่ายทหารอิสราเอลก็ได้ทิ้งใบปลิวจากทางอากาศและเน้นย้ำคำเตือนผ่านทางสื่อสังคมให้ชาวบ้านชาวเมืองผู้พำนักอยู่ทางตอนเหนือของดินแดนฉนวนกาซามากกว่า 1 ล้านคน ต้องอพยพโยกย้ายลงไปทางใต้
ฝ่ายทหารอิสราเอลประกาศว่ากำลังพยายามเคลียร์พลเรือนออกไป ก่อนหน้าการเปิดปฏิบัติการแบบรวมศูนย์กำลังเพื่อโจมตีเล่นงานพวกนักรบฮามาสในตอนเหนือของกาซา รวมไปถึงในบริเวณที่อิสราเอลอ้างว่าเป็นพื้นที่หลบซ่อนใต้ดินในเมืองกาซาซิตี้ ขณะที่กลุ่มฮามาสก็รบเร้าประชาชนให้อยู่รักษาบ้านเรือนของพวกเขาต่อไป
ทางด้านสหประชาชาติและกลุ่มให้ความช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ บอกว่า การให้ประชาชนจำนวนมหาศาลอพยพภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ บวกกับการที่อิสราเอลดำเนินการปิดล้อมพื้นที่เหล่านี้อยู่ จะก่อให้เกิดสถานการณ์ความทุกข์ยากเดือดร้อนของมนุษย์อย่างชนิดที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน องค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงว่า การอพยพเช่นนี้ “สามารถที่จะหมายถึงคำสั่งประหารชีวิต”สำหรับคนไข้กว่า 2,000 คนในโรงพยาบาลต่างๆ ทางตอนเหนือ รวมทั้งทารกแรกเกิดในตู้อบและผู้ป่วยในหน่วยดูแลผู้ป่วยหนัก
วิกฤตการณ์มนุษยธรรมที่กาซาได้เพิ่มความน่าเกลียดน่าขนลุกขึ้นอยู่แล้วในวันเสาร์ (14) ท่ามกลางสภาพการขาดแคลนน้ำและหยูกยาข้าวของทางการแพทย์ที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การปิดล้อมอย่างสมบูรณ์ของอิสราเอลซึ่งดำเนินมาเกือบ 1 สัปดาห์แล้ว โดยที่ยังมีการบังคับให้โรงไฟฟ้าต่างๆ ต้องปิดทำการเนื่องจากขาดแคลนเชื้อเพลิง
ในเมืองกาซาซิตี้ ไฮฟา ไฮฟา คามิส อัล-ชูราฟา (Haifa Khamis al-Shurafa) เบียดเข้าไปในรถยนต์คันหนึ่งพร้อมกับสมาชิกในครอบครัว 6 คน เพื่อหลบหนีไปทางใต้ท่ามกลางความมืดมิด
“พวกเราไม่สมควรที่จะต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้” ชูราฟา กล่าว ก่อนอำลาจากเมืองเกิดของเธอ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซา “พวกเราไม่ได้ฆ่าใครเลย” เธออุทธรณ์
การสั่งอพยพครั้งนี้ครอบคลุมชาวบ้านชาวเมืองประมาณ 1.1 ล้านคน หรือราวครึ่งหนึ่งของประชากรในดินแดนแห่งนี้ กองทัพอิสราเอลแถลงว่ามีชาวปาเลสไตน์ “หลายแสนคน” ได้กระทำตามคำเตือนและมุ่งหน้าลงใต้กันแล้ว ทั้งนี้ฝ่ายทหารอิสราเอลให้เวลาชาวปาเลสไตน์ 6 ชั่วโมงซึ่งสิ้นสุดลงในตอนบ่ายวันเสาร์ (14) สำหรับการเดินทางได้อย่างปลอดภัยภายในดินแดนกาซาตามเส้นทางหลักๆ 2 เส้นทาง
เวลาเดียวกัน ในอิสราเอล พวกคนทำงานในค่ายทหารแห่งหนึ่งได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้ยังคงทำงานต่อไปได้ สำหรับการระบุอัตลักษณ์ศพจำนวนมากกว่า 1,300 ศพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือน ที่ถูกพวกฮามาสสังหารไป ปกติแล้วการประกอบกิจการงานทั้งหลายในอิสราเอลจะต้องหยุดกันในวันเสาร์ ซึ่งถือเป็นวันหยุดงานประจำสัปดาห์ตามหลักศาสนายิวเพื่อการประกอบพิธีทางศาสนาและหยุดพักผ่อน
นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ได้เดินทางไปเยือนนิคมบีริ (Beeri) และนิคมคฟาร์ อัซซา (Kfar Azza) สองชุมชนเกษตรกรรมของอิสราเอลที่อยู่ติดชายแดนภาคใต้ ซึ่งพวกนักรบฮามาสได้บุกเข้าไปเข่นฆ่าสังหารชาวอิสราเอลตายหลายสิบคน เพื่อตรวจเยี่ยมพบปะพวกทหารและดูซากหักพังเสียหายของบ้านเรือนที่เกิดการนองเลือดขึ้นมา ทั้งนี้เนทันยาฮูเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนักว่ารัฐบาลของเขาไม่ได้ทำอะไรอย่างเพียงพอในการพบปะปลอบขวัญพวกญาติๆ ของเหยื่อที่ถูกสังหาร
มีญาติๆ หลายร้อยคนของผู้คนจำนวนหลายสิบที่ถูกกลุ่มฮามาสจับกุมและนำตัวไปยังกาซา ไปชุมนุมกันอยู่ด้านนอกของกระทรวงกลาโหมอิสราเอลในนครเทลอาวีฟ เรียกร้องให้หาทางทำให้บุคคลซึ่งเป็นที่รักของพวกเขาได้รับการปล่อยตัว พวกผู้ประท้วงเหล่านี้ช่วยกันแจกจ่ายใบปลิวที่มีใบหน้าและชื่อของญาติๆ ของพวกเขาภายใต้ตัวหนังสือตัวโตๆ ว่า “ถูกจับเป็นตัวประกัน”
“นี่คือการที่ผมออกมาวิงวอนร้องขอต่อโลก ได้โปรดช่วยนำพวกเขากลับมา ครอบครัวของผม, เมียผม, และลูกอีก 3 คน” เป็นคำกล่าวของ อวิไฮ บรอดซ์ (Avihai Brodtz)
ซึ่งพำนักอยู่ที่ คฟาร์ อัซซา หลายๆ คนแสดงความโกรธเกรี้ยวใส่รัฐบาล บอกว่าพวกเขายังคงไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารใดๆ เกี่ยวกับญาติๆ ของพวกเขากันเลย
ระหว่างการแถลงข่าวที่มีการแพร่ภาพและกระจายเสียงไปทั่วประเทศเมื่อคืนวันเสาร์ (14) พล.ร.ต.แดเนียล ฮาการี (Daniel Hagari) โฆษกของกองทัพอิสราเอลกล่าวหาฮามาสว่ากำลังพยายามที่จะใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ พร้อมกับเรียกร้องชาวบ้านชาวเมืองกาซาอีกครั้งให้อพยพไปทางใต้
“เรากำลังจะเข้าโจมตีเมืองกาซาซิตี้อย่างใหญ่โตกว้างขวางมากๆ ในเร็วๆ นี้” เขากล่าว โดยไม่ได้ให้ตารางเวลาการเข้าโจมตีดินแดนที่มีขนาดเล็กมากแห่งนี้ ซึ่งมีความยาวตั้งแต่ตอนเหนือลงมาจรดใต้เพียงแค่ 40 กิโลเมตร แต่เป็นที่พำนักอาศัยของประชากรราว 2.3 ล้านคน
ทางด้าน จอห์น คอนริคัส (John Conricus) โฆษกคนหนึ่งของฝ่ายทหารอิสราเอล แถลงสำทับว่า “พลเรือนชาวปาเลสไตน์ในกาซาไม่ใช่ศัตรูของเรา เราไม่ได้ประเมินพวกเขาแบบนั้น และเราไม่ได้ตั้งเป้าหมายเล่นงานพวกเขาแบบนั้น เรากำลังพยายามทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
อิสราเอลได้เรียกระดมกำลังทหารสำรองจำนวนราว 360,000 คนแล้ว และชุมนุมกองทหารพร้อมรถถังตามแนวชายแดนติดต่อกับกาซา รัฐมนตรีกลาโหม ลอยด์ ออสติน ของสหรัฐฯ แถลงในคืนวันเสาร์ (14) ว่า สหรัฐฯกำลังเคลื่อนหมู่เรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีหมู่ที่ 2 ซึ่งคราวนี้นำโดยเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ไปยังตะวันออกกลาง เพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้ตัวแสดงระดับภูมิภาคใดๆ หาทางขยายสงครามคราวนี้
พวกนักรบปาเลสไตน์นั้นได้ยิงจรวดเข้ามายังอิสราเอลมากกว่า 5,500 ลูกแล้วนับตั้งแต่ที่การสู้รบครั้งนี้ปะทุขึ้น ฝ่ายทหารอิสราเอลแถลงเอาไว้เช่นนี้
ทางฝ่ายฮามาสยังคงมีท่าทีท้าทายไม่ยอมจำนน ในการกล่าวปราศรัยทางทีวีเมื่อวันเสาร์ (14) เช่นกัน อิสมาอิล ฮานิเยะห์ (Ismail Haniyeh) เจ้าหน้าที่ในระดับท็อปผู้หนึ่งของฮามาส กล่าวว่า “การสังหารหมู่ทั้งหลายทั้งปวง” จะไม่สามารถทำให้ประชาชนชาวปาเลสไตน์แตกหักพังครืนลง
สำหรับในเวลานี้ การสู้รบยังคงดำเนินต่อไปในช่วงเวลาก่อนหน้าการรุกใหญ่ของฝ่ายอิสราเอลตามที่คาดหมายกันไว้ โดยที่ฮามาสได้ยิงจรวดเข้าไปในอิสราเอล และอิสราเอลก็ถล่มโจมตีเป้าหมายต่างๆ ในกาซา
การโจมตีทางอากาศของฝ่ายอิสราเอลหนหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นใกล้ๆ ค่ายผู้ลี้ภัยจาบาลิยะ (Jabaliya) ทางตอนเหนือของกาซา ได้สังหารผู้คนไปอย้างน้อย 27 คน และบาดเจ็บอีก 80 คน พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุขในกาซาบอก
เหยื่อเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กๆ พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบระบุ ขณะที่พวกแพทย์จากโรงพยาบาลคามัล เอดวาน (Kamal Edwan Hospital) ได้โพสต์วิดีโอซึ่งมองเห็นศพหลายศพที่ถูกไฟเผาดำเกรียมและอยู่ในลักษณะผิดรูปผิดร่าง
อ่านเนื้อหาข่าวเพิ่มเติมได้ที่ https://mgronline.com/around/detail/9660000092899