Hyundai เตรียมนำเข้ารถไฟฟ้า - ตัวแรงตระกูล N สร้างสีสันในไทย ก่อนลุ้นรถใหม่จากอาเซียน

• เตรียมเปิดตัวรถไฟฟ้า-ตัวแรงสาย N

• เล็งหาสินค้าใหม่เพิ่มจากอาเซียน

• ขยาย H-Space 80 สาขาคลุมทั่วประเทศ

หลังจากที่บริษัทแม่เข้ามาดำเนินกิจการในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ดูเหมือนว่าแบรนด์ Hyundai (ฮุนได) จะมีการบุกตลาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดศูนย์บริการแฟล็กชิปสาขาแรก H-Space บนถนนวิภาวดี-รังสิต พร้อมกับการเปิดตัวรถยนต์ใหม่อย่าง Hyundai Straglazer X (ฮุนได สตาร์เกลเซอร์ เอ็กซ์) และรุ่นสุดท้ายของ Hyundai H-1 (ฮุนได เอช-วัน) ไปก่อนหน้านี้

วัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมที่จะเข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ในปีนี้ พร้อมกับการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่นเพื่อสร้างสีสันให้กับตลาดในประเทศไทย โดยจะมีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ รวมไปถึงรถยนต์ตัวแรงในตระกูล N ของฮุนได ซึ่งเป็นการประกาศว่าฮุนไดพร้อมที่จะกลับเข้าสู่ตลาดประเทศไทยเต็มรูปแบบ

"การเข้ามาเปิดตลาดของฮุนไดในครั้งนี้ แน่นอนว่าเราตั้งเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ด้วยเป้าหมายการขึ้นเป็นท็อป 5 ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยภายใน 10 ปี ซึ่งเรามองว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะต้องมียอดขายในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 4-4.5 หมื่นคันต่อปี แต่ก็จะต้องใช้เวลาในการผลักดันตลาด รวมถึงการหาสินค้าใหม่ ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่องเช่นกันนับจากนี้"

ไม่มีโรงงานไทย แต่รอบบ้านเราเพียบ

แน่นอนว่าฮุนไดไม่เคยพูดถึงแผนการเปิดโรงงานในประเทศไทย เนื่องจากพวกเขามีโรงงานที่อินโดนีเซีย ที่เป็นฐานการผลิตเอช-1 สตาร์เกลเซอร์ Hyundao Staria (ฮุนได สตาเรีย) และ Hyundai Creta (ฮุนได ครีต้า) อยู่แล้ว และยังมีการผลิต IONIQ 5 (ไอโอนิค 5) รวมถึง Hyundai Palisade (ฮุนได พาลิเสด) ด้วยกำลังการผลิตปีละ 1.5 แสนคัน รวมถึงโรงงานในมาเลเซียที่มีแผนจะผลิต Hyundai Santa Fe (ฮุนได ซานตาเฟ่) ซึ่งหากกำลังผลิตไม่ถูกใช้จนเต็ม ก็อาจจะไม่เห็นการเปิดโรงงานแห่งใหม่ในประเทศไทยแน่นอน ในประเทศไทยจึงมองไปที่การหารถยนต์ที่เหมาะสมเข้ามาทำตลาดมากกว่า

ความยุ่งยากในการหารถยนต์เข้ามาทำตลาด

แน่นอนว่าปัญหาของการเป็นรถยนต์นำเข้านั้น หากไม่มีการผลิตและใช้ชิ้นส่วนเกิน 40% ในโรงงานเพื่อนบ้านก็ไม่สามารถนำเข้ามาทำราคาจำหน่ายให้ถูกลงได้ เป็นสาเหตุให้ฮุนได ประเทศไทย ไม่สามารถนำไอโอนิคและพาลิเสดเข้ามาทำตลาดได้ และหากจะใช้วิธีการเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนในภูมิภาคแบบที่เคยทำกับเอช-วัน ก็ต้องมาดูความคุ้มค่าอีกที และราคาก็อาจจะแพงขึ้นกว่า 25% เมื่อเทียบกับการผลิตในปัจจุบัน ส่วนโรงงานของมาเลเซียที่มีข่าวจะผลิตซานตาเฟ่นั้น ก็เป็นรุ่นปัจจุบันที่ยังไม่มีการปรับโฉมเหมือนกับในตลาดโลก จึงต้องพิจารณาเรื่องแผนการทำตลาดกันอีกครั้ง

เล็งขยายศูนย์บริการรูปแบบใหม่ 80 แห่งใน 3 ปี

สำหรับศูนย์บริการรูปแบบใหม่ H-Space ที่ได้ทำการปรับโฉมสำนักงานใหญ่บนถนนวิภาวดีเป็นต้นแบบไปนั้น ตัวแทนจำหน่ายทุกรายจะต้องทำการปรับรูปแบบและการให้บริการตามต้นแบบทั้งหมด โดยคาดว่าจะใช้เวลา 3 ปี หรือภายในปี 2569 ก็จะสามารถปรับโฉมโชว์รูมทั้ง 80 แห่งทั่วประเทศเป็นแบบนี้ได้ โดยหากเป็นโชว์รูมเดิมที่มีอยู่คาดว่าจะใช้งบประมาณราว 5 ล้านบาทต่อแห่ง ซึ่งนอกจากความสวยงามแล้ว โชว์รูมเหล่านี้จะรองรับการให้บริการทั้งการซ่อมบำรุง งานสีและตัวถัง รวมไปถึงศูนย์ซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าและศูนย์ซ่อมขุมพลังไฟฟ้าแรงสูง ที่จะพร้อมให้บริการลูกค้าทุกราย

Pisan
AutoFun






แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่