- สมกับชื่อเรื่องว่า ART จริง ๆ เพราะว่า ART แล้ว ART อยู่ ART ต่อ ART แบบไม่เกรงใจใครไปกับผลงานละครเวทีแนว Comedy ระดับรางวัล Tony Awards สาขา Best Play เมื่อปี 1998 ผ่านฝีมือการแสดงของ 3 นักแสดงชั้นครูของวงการละครไทย อาทิเช่น คุณป้อม ปวิตร ( ที่ไม่ใช่ลุงยืมนาฬิกาเพื่อน) อดีตอาจารย์ภาควิชาศิลปะการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ อดีตผู้อำนวยการหอศิลปะวัฒนธรรมแห่งชาติกรุงเทพ , คุณดำเกิง ศิลปินศิลปาธรปี 2562 สาขาศิลปะการแสดง อดีตอาจารย์สาขาศิลปะการแสดง คณะมนุษยศาสตร์และประยุกต์ศิลป์ ม.หอการค้าไทย และ คุณนิกร ศิลปินศิลปาธรปี 2553 สาขาศิลปะการแสดง นักแสดงละคร , ผู้กำกับละครเวที และ ผู้เขียนบทคณะละครแปดคูณแปด ไปตั้งแต่ต้นจนจบภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาทีที่ดูเหมือนนานแต่รู้สึกจริง ๆ ว่าไม่ได้นานขนาดนั้น ส่วนหนึ่งเพราะการออกแบบ Character ของแต่ละคนมีภาพจำที่ชัดเจน มีปมมี Story เป็นของตนเองที่ไม่ทับซ้อน Timeline ในส่วนประเด็นหลักให้เสียอรรถรสต่อการเดินเรื่องตามบทละครอย่างซื่อตรงทำให้เราจูนติดกับเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ขณะนั่งดูไปเหมือนว่านั่งดูพวกเขาเม้ามอยหอยสังข์เรื่องราวเหจุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันจริง ๆ มากกว่านั่งดูพวกเขาแสดงกันซะอีก
- เรื่องราวที่ทางผู้กำกับ คุณ ภัทรสุดา อนุมานราชธน ผู้กำกับและนักแสดงมากความสามารถชื่อดังของไทย หยิบยกบางส่วนจากบทละครของ ยาสมินา เรซ่า (Yasmina Reza) นักเขียนบทชาวฝรั่งเศส มาถ่ายทอดให้เราได้รับชมเป็นเรื่องราวระหว่างมิตรภาพความเป็นเพื่อนทั้ง 3 คน ที่ได้กลับมาเจออีกครั้งในรอบหลายปีหลังจากต่างคนต่างแยกย้ายไปใช้ชีวิตทางของตนเองโดยมีศิลปะเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ที่ห่างเหินให้กลับมาลึกซึ้งไปถึงความชอบที่ต่างกันระหว่างศิลปะสมัยใหม่กับแบบดั้งเดิม จากความสนุกสนานในการถกเถียงของทั้ง 3 ที่มีต่อภาพวาดสีขาวว่างเปล่าของศิลปินชื่อดังด้วยราคา 1 ล้าน 2 แสน ที่มาผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเพื่อนที่ไปเข้าสังคมใหม่ ความล้มเหลวในด้านต่าง ๆ และ การเยียวยาความสัมพันธ์ที่สั่นคลอนจากภาพวาดเจ้าปัญหาชิ้นนี้ ซึ่งเรื่องราวชลมุนวุ่นรักทั้งหลายจะเกิดขึ้นภายในบ้านของคุณป้อมเป็นหลักโดยมีเรื่องราวของแต่ละคนเข้ามาแทรกให้เกิดความวุ่นวายเข้าไปใหญ่
- ความยากของละครเวทีที่ผมสัมผัสได้คือ การแสดง ONE MAN SHOW สด ๆ ต่อหน้าคนดูหลายร้อยคนด้วยสายตาที่จ้องมองไปที่เวทีลูกเดียว แถมบทพูด Dialogue ที่ยาวเหยียดจนบางทีต้องด้นสดออกนอกทางไปอย่างเร่งรีบเพื่อให้แนบเนียนกับเรื่องที่สุด ถ้าเกิดสะดุดขึ้นมานิดนึงเมื่อไหร่จะทำให้คนดูเห็นความผิดปกติจนเกิดอาการประหม่าได้ แต่ด้วยประสบการณ์จากการแสดงระดับชั้นครูของทั้ง 3 ท่านที่รับ-ส่งอินเนอร์ร่วมกันเป็นธรรมชาติไม่โอเวอร์และไม่ดร็อปเกินไป Balance ระหว่าง Part ตลกกับ Part ดราม่าได้พอดี ตัดด้วย Scene Action เสริมเข้ามาพอกรุบกริบ จนสามารถกลบข้อด้อยที่ได้ยกตัวอย่างไปทั้งหมดจนคนดูอย่างผมไม่ทันได้สังเกตุข้อผิดพลาดแม้แต่นาทีเดียว นี่คือความอัจฉริยะอย่างหนึ่งของนักแสดงระดับปรมาจารย์ระดับนี้
- Scene ที่ผมติดใจมากคือ ตอนที่คุณนิกรอ่านจดหมายให้คุณป้อมกับคุณดำเกิงฟังขณะพักยกจากการปะทะคารมภาพวาดศิลปะแล้วพูดว่า ถ้าผมเป็นผม เพราะว่าคุณเป็นคุณ แล้วถ้าคุณเป็นคุณก็เพราะผมเป็นผม โอโห้ ช่างเป็น Dialogue ที่ล้ำลึกซะเหลือเกิน แม้แต่เสด็จพ่อ Christopher Nolan ได้ยินยังต้องทึ่งกับสิ่งนี้
- สรุป ชอบมาก สนุกมาก ทั้งขำกับมุกตลกในความจิกกัดยำใหญ่ใส่สารพัดโลกศิลปะและทราบซึ้งในมิตรภาพของพวกเขาทั้ง 3 คน ถึงไม่เคยอ่านตัววรรณกรรมหรือดูเวอร์ชั่นเก่ามาก่อนก็เข้าใจได้ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เป็นประสบการณ์การรับชมละครเวทีที่ดีต่อใจเป็นพิเศษ ประทับใจในการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดงทั้ง 3 ท่านที่มีความใส่ใจ Details ทุกอย่างแม้แต่เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มีการนำมาพูดถึงแล้วยังทุ่มเทแสดง Scene อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตัวเอง Service คนดูด้วยการถอดจริง อาบจริง ใส่เสื้อจริง นอนชิล ๆ โดยไม่ต้องใช้สแตนอิน ไม่ต้องใช้นักแสดงแทนแต่อย่างใด รวมทั้งมีการพูดถึงเมืองหาดใหญ่บ้านเราเป็นกิมมิคเล็ก ๆ เช่น ถนนเสน่หานุสรณ์ สาย 1-2-3 , โรงแรมลีการ์เด้นส์ , ร้านอาหารในรู หรือกระทั่งเพจใน Facebook อย่าง Sanehar Paradiso ก็มีการ Promote ด้วยก็ตาม พอได้ยินแล้วรู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูกว่าบ้านเราก็มี Signature ไม่แพ้บ้านอื่นเขาหรอก รวมถึงให้ข้อคิดอะไรหลายอย่างหลังจากดูละครเวทีเรื่องนี้จบโดยเฉพาะเรื่องราวมิตรภาพของเพื่อนที่เป็นอะไรมากกว่าคำว่า ศิลปะ แล้วได้ร่วมพูดคุยเสวนากับนักแสดง ผู้กำกับ และทีมงานทุกท่านอย่างเป็นกันเองจนนำเก็บไปคิดต่อกันด้วยความมั่นใจว่า ทีการเมืองยังพูดถึงได้ แล้วทำไมศิลปะจะพูดถึงบ้างไม่ได้ ถึงแม้ไม่ได้เรียนมาก็สามารถพูดได้วิจารณ์ได้โดยไม่จำเป็นต้องเกลียดกันเพียงเพราะเหตุผลที่ต่างกัน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.63 ART : เรื่องว้าวุ่นของโหมเด็กอาร์ต
- สมกับชื่อเรื่องว่า ART จริง ๆ เพราะว่า ART แล้ว ART อยู่ ART ต่อ ART แบบไม่เกรงใจใครไปกับผลงานละครเวทีแนว Comedy ระดับรางวัล Tony Awards สาขา Best Play เมื่อปี 1998 ผ่านฝีมือการแสดงของ 3 นักแสดงชั้นครูของวงการละครไทย อาทิเช่น คุณป้อม ปวิตร ( ที่ไม่ใช่ลุงยืมนาฬิกาเพื่อน) อดีตอาจารย์ภาควิชาศิลปะการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ อดีตผู้อำนวยการหอศิลปะวัฒนธรรมแห่งชาติกรุงเทพ , คุณดำเกิง ศิลปินศิลปาธรปี 2562 สาขาศิลปะการแสดง อดีตอาจารย์สาขาศิลปะการแสดง คณะมนุษยศาสตร์และประยุกต์ศิลป์ ม.หอการค้าไทย และ คุณนิกร ศิลปินศิลปาธรปี 2553 สาขาศิลปะการแสดง นักแสดงละคร , ผู้กำกับละครเวที และ ผู้เขียนบทคณะละครแปดคูณแปด ไปตั้งแต่ต้นจนจบภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาทีที่ดูเหมือนนานแต่รู้สึกจริง ๆ ว่าไม่ได้นานขนาดนั้น ส่วนหนึ่งเพราะการออกแบบ Character ของแต่ละคนมีภาพจำที่ชัดเจน มีปมมี Story เป็นของตนเองที่ไม่ทับซ้อน Timeline ในส่วนประเด็นหลักให้เสียอรรถรสต่อการเดินเรื่องตามบทละครอย่างซื่อตรงทำให้เราจูนติดกับเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ขณะนั่งดูไปเหมือนว่านั่งดูพวกเขาเม้ามอยหอยสังข์เรื่องราวเหจุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันจริง ๆ มากกว่านั่งดูพวกเขาแสดงกันซะอีก
- เรื่องราวที่ทางผู้กำกับ คุณ ภัทรสุดา อนุมานราชธน ผู้กำกับและนักแสดงมากความสามารถชื่อดังของไทย หยิบยกบางส่วนจากบทละครของ ยาสมินา เรซ่า (Yasmina Reza) นักเขียนบทชาวฝรั่งเศส มาถ่ายทอดให้เราได้รับชมเป็นเรื่องราวระหว่างมิตรภาพความเป็นเพื่อนทั้ง 3 คน ที่ได้กลับมาเจออีกครั้งในรอบหลายปีหลังจากต่างคนต่างแยกย้ายไปใช้ชีวิตทางของตนเองโดยมีศิลปะเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ที่ห่างเหินให้กลับมาลึกซึ้งไปถึงความชอบที่ต่างกันระหว่างศิลปะสมัยใหม่กับแบบดั้งเดิม จากความสนุกสนานในการถกเถียงของทั้ง 3 ที่มีต่อภาพวาดสีขาวว่างเปล่าของศิลปินชื่อดังด้วยราคา 1 ล้าน 2 แสน ที่มาผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเพื่อนที่ไปเข้าสังคมใหม่ ความล้มเหลวในด้านต่าง ๆ และ การเยียวยาความสัมพันธ์ที่สั่นคลอนจากภาพวาดเจ้าปัญหาชิ้นนี้ ซึ่งเรื่องราวชลมุนวุ่นรักทั้งหลายจะเกิดขึ้นภายในบ้านของคุณป้อมเป็นหลักโดยมีเรื่องราวของแต่ละคนเข้ามาแทรกให้เกิดความวุ่นวายเข้าไปใหญ่
- ความยากของละครเวทีที่ผมสัมผัสได้คือ การแสดง ONE MAN SHOW สด ๆ ต่อหน้าคนดูหลายร้อยคนด้วยสายตาที่จ้องมองไปที่เวทีลูกเดียว แถมบทพูด Dialogue ที่ยาวเหยียดจนบางทีต้องด้นสดออกนอกทางไปอย่างเร่งรีบเพื่อให้แนบเนียนกับเรื่องที่สุด ถ้าเกิดสะดุดขึ้นมานิดนึงเมื่อไหร่จะทำให้คนดูเห็นความผิดปกติจนเกิดอาการประหม่าได้ แต่ด้วยประสบการณ์จากการแสดงระดับชั้นครูของทั้ง 3 ท่านที่รับ-ส่งอินเนอร์ร่วมกันเป็นธรรมชาติไม่โอเวอร์และไม่ดร็อปเกินไป Balance ระหว่าง Part ตลกกับ Part ดราม่าได้พอดี ตัดด้วย Scene Action เสริมเข้ามาพอกรุบกริบ จนสามารถกลบข้อด้อยที่ได้ยกตัวอย่างไปทั้งหมดจนคนดูอย่างผมไม่ทันได้สังเกตุข้อผิดพลาดแม้แต่นาทีเดียว นี่คือความอัจฉริยะอย่างหนึ่งของนักแสดงระดับปรมาจารย์ระดับนี้
- Scene ที่ผมติดใจมากคือ ตอนที่คุณนิกรอ่านจดหมายให้คุณป้อมกับคุณดำเกิงฟังขณะพักยกจากการปะทะคารมภาพวาดศิลปะแล้วพูดว่า ถ้าผมเป็นผม เพราะว่าคุณเป็นคุณ แล้วถ้าคุณเป็นคุณก็เพราะผมเป็นผม โอโห้ ช่างเป็น Dialogue ที่ล้ำลึกซะเหลือเกิน แม้แต่เสด็จพ่อ Christopher Nolan ได้ยินยังต้องทึ่งกับสิ่งนี้
- สรุป ชอบมาก สนุกมาก ทั้งขำกับมุกตลกในความจิกกัดยำใหญ่ใส่สารพัดโลกศิลปะและทราบซึ้งในมิตรภาพของพวกเขาทั้ง 3 คน ถึงไม่เคยอ่านตัววรรณกรรมหรือดูเวอร์ชั่นเก่ามาก่อนก็เข้าใจได้ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เป็นประสบการณ์การรับชมละครเวทีที่ดีต่อใจเป็นพิเศษ ประทับใจในการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดงทั้ง 3 ท่านที่มีความใส่ใจ Details ทุกอย่างแม้แต่เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มีการนำมาพูดถึงแล้วยังทุ่มเทแสดง Scene อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตัวเอง Service คนดูด้วยการถอดจริง อาบจริง ใส่เสื้อจริง นอนชิล ๆ โดยไม่ต้องใช้สแตนอิน ไม่ต้องใช้นักแสดงแทนแต่อย่างใด รวมทั้งมีการพูดถึงเมืองหาดใหญ่บ้านเราเป็นกิมมิคเล็ก ๆ เช่น ถนนเสน่หานุสรณ์ สาย 1-2-3 , โรงแรมลีการ์เด้นส์ , ร้านอาหารในรู หรือกระทั่งเพจใน Facebook อย่าง Sanehar Paradiso ก็มีการ Promote ด้วยก็ตาม พอได้ยินแล้วรู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูกว่าบ้านเราก็มี Signature ไม่แพ้บ้านอื่นเขาหรอก รวมถึงให้ข้อคิดอะไรหลายอย่างหลังจากดูละครเวทีเรื่องนี้จบโดยเฉพาะเรื่องราวมิตรภาพของเพื่อนที่เป็นอะไรมากกว่าคำว่า ศิลปะ แล้วได้ร่วมพูดคุยเสวนากับนักแสดง ผู้กำกับ และทีมงานทุกท่านอย่างเป็นกันเองจนนำเก็บไปคิดต่อกันด้วยความมั่นใจว่า ทีการเมืองยังพูดถึงได้ แล้วทำไมศิลปะจะพูดถึงบ้างไม่ได้ ถึงแม้ไม่ได้เรียนมาก็สามารถพูดได้วิจารณ์ได้โดยไม่จำเป็นต้องเกลียดกันเพียงเพราะเหตุผลที่ต่างกัน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้