ทำไม “จีน” ถึงกลายเป็นยักษ์ ในอุตสาหกรรม “อีวี” โลก

ทำไม “จีน” ถึงกลายเป็นยักษ์ ในอุตสาหกรรม “อีวี” โลก (prachachat.net)
https://www.prachachat.net/world-news/news-1406808
-------------------------------------------------------------------------
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

การประกาศสอบสวนการอุดหนุนจากภาครัฐต่ออุตสาหกรรมยานยนต์จีนของสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ส่งผลสะเทือนออกไปในหลาย ๆ ด้าน
ในทางหนึ่งก่อให้เกิดสัญญาณส่อเค้าว่าจะเกิด “สงครามการค้า” ขึ้นในอีกไม่ช้าไม่นานในอนาคต หลังจากทางการจีนออกมาตอบโต้ทันควัน กล่าวหาว่ามาตรการของอียูเข้าข่ายเป็นการ “กีดกันทางการค้า” ซึ่งจะมี “ผลกระทบในทางลบ” ต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย
 
ในอีกทางหนึ่งก็ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์จีนถูกเพ่งเล็งในเชิงตรวจสอบมากยิ่งขึ้น ว่าเพราะเหตุใดถึงได้เติบใหญ่ขยายตัวรวดเร็วจนผิดปกติได้เช่นนี้
 
ข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติดังกล่าว คือตัวเลขการนำเข้าและส่งออกรถยนต์ของจีนที่แสดงให้เห็นว่า เพียงแค่ในปี 2021 นี่เอง จีนยังนำเข้ารถยนต์คิดเป็นมูลค่าแล้วสูงกว่าที่ส่งออกไปขายถึง 2 เท่า แต่พอถึงครึ่งแรกของปี 2023 เท่านั้น จีนกลับผงาดขึ้นมาแซงหน้าญี่ปุ่น กลายเป็นผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก  บริษัทจีนส่งรถยนต์ออกไปขายในต่างประเทศคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 35,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่มูลค่านำเข้าเท่ากับ 21,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้น  ข้อสงสัยก็คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐ จนอยู่ในสถานะได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในแง่ของราคา

“เอลิกซ์พาร์ตเนอร์” บริษัทที่ปรึกษาของรถเยอรมนีในตลาดจีน เคยประเมินไว้ว่า เฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวีได้รับอานิสงส์จากภาครัฐในรูปของภาษีและการอุดหนุน เมื่อซื้อรถรวมกันแล้วไม่น้อยกว่า 57,000 ล้านดอลลาร์  แต่การประเมินดังกล่าวต่างกันมากกับการหาหลักฐาน “พิสูจน์” ว่าทางการจีนให้การสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมนี้จนเข้าข่ายการทำการค้าไม่เป็นธรรม การช่วยเหลือจากภาครัฐของจีนในบางกรณี อย่าว่าแต่จะหาข้อพิสูจน์ ประเมินเป็นเม็ดเงินยังลำบากด้วยซ้ำไป  ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจก็คือ จีนเริ่มต้นผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2009 เมื่อครั้งที่ภาคอุตสาหกรรมนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับว่ามีอนาคต โดยการกระตุ้น ส่งเสริมให้มีการผลิตรถไฟฟ้าสำหรับใช้เป็นรถเท็กซี่และรถโดยสารประจำทาง ด้วยการจ่ายเงินสนับสนุนสูงสุดถึง 60,000 หยวนต่อคันในกรณีของแท็กซี่ และ 100,000 หยวนในกรณีของรถโดยสาร  ว่ากันว่า บีวายดี (BYD) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหมายเลข 1 ของจีนคือผู้ได้ประโยชน์สูงสุดจากมาตรการในเวลานั้น

ปี 2015 จีนขยายการอุดหนุนให้ครอบคลุมไปถึงอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่ ด้วยการกำหนดว่า ผู้บริโภคจะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลได้ก็ต่อเมื่อซื้อหารถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในจีนเท่านั้น  ผลจากมาตรการนี้ ไม่เพียงเอื้อต่อการเติบโตของ “บีวายดี” มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ยังส่งผลมหาศาลต่อบริษัท ซีเอทีแอล (CATL) ผู้ผลิตแบตเตอรี่สัญชาติจีนสำหรับรถอีวี ทำให้ในปี 2020 ซีเอทีแอล ผงาดขึ้นเป็นผู้นำในแวดวงแบตเตอรี่รถยนต์ของโลก แทนที่ พานาโซนิค ของญี่ปุ่นได้ในที่สุด  

ปี 2016 ทางการนครเซี่ยงไฮ้ ออกป้ายทะเบียนแบบใหม่ที่เป็นสีเขียวให้กับรถอีวีโดยเฉพาะ และประกาศให้รถอีวีที่ใช้ทะเบียนสีเขียวนี้ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องงดใช้ตามมาตรการจำกัดการใช้รถใช้ถนนของเซี่ยงไฮ้ ซึ่งบังคับใช้สำหรับรถใช้น้ำมันโดยทั่วไป
มาตรการนี้ได้รับความนิยมจนหลาย ๆ นครและมหานครในจีนนำเอาไปใช้ “สตีเฟน ดายเออร์” ผู้อำนวยการของเอลิกซ์พาร์ตเนอร์ ระบุว่า ผลลัพธ์ก็คือ ยอดขายรถอีวีในเมืองใหญ่เหล่านี้ของจีนถีบตัวสูงขึ้นพรวดพราด สูงกว่ายอดขายในเมืองทั่ว ๆ ไประหว่าง 3-5 เท่าตัว

ปี 2019 จีนยังออกมาตรการ “อุ้ม” อุตสาหกรรมรถอีวีของตนออกมาอีก ด้วยการกำหนดโควตาการผลิตเป็นสัดส่วนที่ชัดเจนระหว่างรถอีวีกับรถน้ำมัน ให้กับผู้ผลิตทั้งที่เป็นบริษัทจีนและบริษัทต่างชาติ
บริษัทไหนผลิตรถอีวีได้เกินโควตา รัฐบาลจะให้รางวัล แต่บริษัทไหนผลิตไม่ได้ตามโควตาจะถูกปรับเงิน ทั้งนี้ เพื่อถ่ายโอนการอุดหนุนจากภาครัฐกลับไปเป็นภาระของผู้ผลิตนั่นเอง

นอกจากมาตรการเหล่านี้แล้ว ทางการจีนทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐบาลกลาง ยังอุดหนุนภาคอุตสาหกรรมอีวีของตนอีกหลากหลายรูปแบบ ทั้งการจ่ายเงินส่วนลดแทนผู้ซื้อ, การให้ทุนเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา, รวมไปถึงการจัดสรรที่ดินหรือขายไฟฟ้าให้ในราคาถูก เรื่อยไปจนถึงการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมาก ๆ เป็นต้น

ยังคงมีปัจจัยอื่น ๆ ในรายละเอียดอีกไม่ใช่น้อยในแง่ของการให้การสนับสนุน ส่งเสริมอุตสาหกรรมอีวีของจีน ซึ่งกำลังผลิดอกออกผลอยู่ในเวลานี้
ทำให้ ณ สิ้นปี 2022 บีวายดี โค่นโฟล์คสวาเกน กลายเป็นรถที่ขายดีที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในจีน
และพอถึงปีนี้ “บีวายดี” ขายรถอีวีออกไปแล้วรวม 1.4 ล้านคัน มากกว่าแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง “เทสลา” ถึง 500,000 คัน

*ยังมีหัวข้อข่าวอื่นๆ เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าอีก 3-4 ข่าวนะครับ ลองคลิกเข้าไปที่เว็บประชาชาติเค้าดูละกัน
- เส้นทางครองโลกของ “EV จีน” มีขวากหนาม เมื่อยุโรปเล็งตั้งกำแพงภาษี
https://www.prachachat.net/world-news/news-1393930
- ผวา “สงครามการค้า” รอบใหม่ “แบตเตอรี่ วอร์” อียู-จีน
https://www.prachachat.net/world-news/news-1396454
- EV จีนกินแชร์ส่งออกพุ่ง เป็นไม่กี่ “ความหวัง” ของพญามังกรในเวลานี้
https://www.prachachat.net/world-news/news-1385972
- BYD ยอดขายรถเดือนสิงหาคม 2023 ทำนิวไฮ 274,386 คัน โตพุ่ง 57.5%
https://www.prachachat.net/motoring/electric-vehicles/news-1385450
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่