ผมชื่อ ตั้น เรื่องที่จะถ่ายทอดเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผมและเพื่อน ช่วงปีไม่แน่ชัดเท่าที่จำได้ น่าจะช่วงปี 2541- 2543 ผมทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียนเนื่องจากครอบครัวแตกแยกตั้งแต่ยังอายุ 16 เลยต้องดิ้นรน แต่ดีหน่อยที่รู้จักพี่น้องในโบสถ์คริสต์ช่วยดูแล แต่ว่าเขาช่วยแค่เรื่องที่อยู่ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวเราต้องดูแลเอง ผมจึงต้องทำงานไปด้วยแล้วเรียนรามไปด้วย งานที่เลือกทำส่วนใหญ่จะเลือกทำกลางคืน เพื่อที่จะมีเวลาไปเรียน จนมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งไปสมัครงานแถวพระโขนง เป็นบริษัทเอาท์ซอร์ต ที่เน้นเรื่องแม่บ้าน และ รปภ แต่ก็มีส่วนอื่นๆเหมือนกัน ลักษณะงานเป็นจ๊อบๆ ผมเลือกที่จะลงเป็นพนักงานนับสินค้า จัดเรียงสินค้า เราเห็นว่าทำดึกได้เลย 4 - 6 ชั่วโมง เหมาะกับเราดี ลักษณะงานที่ทำ คือส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นต์ ต้องทำงานช่วงเวลาห้างกำลังจะปิดราว สามทุ่มครึ่ง เข้าไปตรวจสินค้าตาม list ที่หัวหน้าให้มา และจัดเรียงสินค้าเก่าใหม่ในชั้นขายของ ผมทำเป็นประจำจนหัวหน้างานเขาบันทึกรายชื่อไว้ว่า ขาประจำ ไม่เกี่ยงงาน ไม่ขาด ไม่อู้งาน และก็มีเพื่อนผมคนนึงชื่อยุท
เราทำงานที่บริษัทนั้นมาประมาณ 6-7 เดือนเข้าทำงานดึกตลอดคือหลังสามทุ่มครึ่ง จนเป็นเรื่องปกติของเรามีบ้างที่นานๆครั้งจะเข้า 9 โมงเช้า เลิก 5 ห้าโมงเย็น เรียกได้ว่านับครั้งได้เลย จนมาคืนวันหนึ่งหัวหน้างานโทรเรียก ผมกับเพื่อนเพื่อนัดไปทำงาน นัดเจอที่บริษัท 8 โมงครึ่ง เพื่อบรีฟงาน งานนี้เป็นงานจ็อบพิเศษ เขาเห็นว่าผมกับเพื่อนผม ตั้งใจทำงานเลยโยนงานนี่ให้ เพราะเป็นงานนับสินค้า และถ่ายรูปและบันทึกจำนวนสินค้า จริงๆแล้วจะเรียกว่าสินค้าก็ไม่ได้ ต้องใช้คำว่า ทรัพย์สิน ถึงจะถูก เพราะไม่ได้มีไว้จำหน่ายในทางปกติ แต่มีไว้เพื่อบังคับคดี หัวหน้าให้ check list ทรัพย์สินมา และให้กล้อง digital ตอนนั้นน่าจะเป็นรุ่นแรกๆเลย ความละเอียดไม่เท่าไร พร้อมทั้งพวงกุญแจที่ใช้กับโกดัง โดยวิธีการทำงานคือ ถ่ายรูปทรัพย์สินในโกดัง แล้วดูจำนวนว่าตรงตาม check list หรือไม่ ถ้าไม่ตรงก็บันทึกการเปลี่ยนแปลงไว้ ถ้าเห็นอะไรเพิ่มเติมก็ถ่ายรูปไว้ บันทึกว่ามีกี่ชิ้นโดยละเอียด สถานที่ทำงานคือ โกดังของอดีตการ์เมนต์แห่งหนึ่งที่โดนพิษต้มยำกุ้งทำให้ปิดตัวไปมีลักษณะเป็นตึกแถวอาคารพาณิชย์ 5 ชั้น สามแถวติดกันแถวถนนสายไหม "ไปได้แล้ว" หัวหน้าบอก ผมกับเพื่อนรับงานเดินออกจากบริษัทแล้วก็นัดกันทันทีว่าเจอกัน สามทุ่มครึ่ง
เวลาสามทุ่มครึ่งเราเจอกันที่ถนนสายไหมซอยอะไร ผมขอไม่บอกละกันเพราะปัจจุบันนี้ยังอยู่และอยู๋ในสภาพเดิมคือร้างเหมือนเดิม ผมกับเพื่อนนัดกันหน้าซอยแล้วเดินเข้าไปในซอย ซอยน่าจะลึกประมาณ ไม่เกิน 200 เมตรเป็นซอยตัน โกดังอาคารพาณิชย์ อยู่ซ้ายมือ สามหลังสุดท้าย บริเวณหน้าซอยซ้ายขาวบ้าน เป็นกำแพง บริษัทหรือโรงงานอะไรสักอย่าง กลางซอยเป็นซอยเล็กๆ สามารถเดินตัดไปอีกซอยได้ และมีโคมไฟส่องถนนติดๆดับๆ อยู่กลางซอย บรรยากาศตอนนั้น เป็นหน้าฝน ลมแรงมาก ฟ้าร้องเสียงดัง แต่ฝนยังไม่ตกมีแต่เสียงฟ้าคำรามดัง ครืนๆ พร้อมกับเสียงหมาเห่าหอนตลอดเวลา ผมกับเพื่อนเดินไปจนถึงหน้ารั้วอาคารโกดังแห่งนั้น ถ้าตัดความมืดออก ตัดเสียงลมเสียงฟ้าร้องเสียงหมาออก มันก็ไม่น่ากลัวเท่าไรเพราะเรามองย้อนไปก็เห็นถนนใหญ่ชัดเจนไม่ไกลมาก ถ้าเดินออกซอยแล้วย้อนขึ้นถนนไปไม่กี่โลก็เป็นทางตัดถนนวิภาวดี แต่เนื่องจากย้อนไป 20 กว่าปีที่แล้วแถวนั้นเงียบมาก พึ่งกำลังทำถนนใหม่เลย ผมกับเพื่อนซึ่งเตรียมไฟฉายมาส่องเพราะโกดังไฟอาจจะโดยตัดเพราะหัวหน้าบอกว่าร้าง ผมใช้ไฟส่องไล่จากด้านล่างจนถึงชั้นบนสุดบริเวณภายนอกโกดังอาคารพาณิชย์ที่ยืนตระหง่านจ้องผมกับเพื่อนราวกับว่ามีชีวิต ท่ามกลางเสียงลม เสียงฟ้าที่คำรามเป็นระยะ
ผมกับเพื่อนจึงมองหน้ากันสักพักเหมือนเข้าใจกันลึกๆว่า รีบทำรีบกลับ เราเดินไปไขรั้วที่กั้นระหว่างหน้าโกดัง แล้วเดินเข้าไขประตูเหล็กม้วน เสียงดังกังวานมาก ท่ามกลางความมืดและเงียบ จากนั้นเพื่อนผมก็ส่องไปฉายไปบริเวณรอบๆมืดมาก โครงสร้างอาคารชั้นล่างตีกำแพงทะลุจนเป็นพื้นที่เดียวกัน มีแต่เสาภายในตึกที่บังสายตาเป็นช่วงๆเท่านั้น ผมบอกเพื่อนว่าให้ลองส่องหาสะพานไฟดูเผื่อยังใช้ได้ หาดูแถวกำแพงนี่แหละน่าอยู๋แถวนั้นครั้นยกไฟฉายส่องไฟฉายดับทันที พยายามเคาะท้ายกระบอกก็ไม่ติด พวกเราเปิดประตูเหล็กม้วนให้สุดเพื่อพึ่งแสงจะด้านนอก และยืนนิ่งๆกันสักพักเพื่อให้สายตาปรับความมืด พอปรับได้ผมก็เอามือค่อยๆคลำ กำแพงไปเรื่อยๆ ไปยังตำแหน่งที่คิดว่าสะพานไฟน่าจะอยู่แถวนั้น ระหว่างที่ใช้มือคลำไปเรื่อย ไปโดนสิ่งหนึ่งที่ผมนึกว่าสวิตซ์ไฟจึงกดลงไป ทันใดนั้นมีเสียงดังตอบกลับมา ตั๊กแก ตั๊กแกๆ
เราตกใจร้องโวยวายกันสักพัก จริงๆแล้วไม่ได้เป็นคนกลัวตุ๊กแกทั้งคู่ แต่ว่าด้วยความไม่ทันตั้งตัวจึงรับไม่ได้ เมื่อได้สติประกอบกับไฟฉายติดอีกครั้งเลยส่องไปทั่วๆชั้นหนึ่ง ก็เห็นบริเวณที่น่าจะเป็นตู้ไฟหลัก ซึ่งโดนถอดออกเรียบร้อยแล้ว ผมกับเพื่อนจึงตกลงใช้กล้องถ่ายรูปตาม check list ทันทีชั้นหนึ่งไม่มีอะไรนอกจากโต๊ะสำนักงานเก้าอี้สำนักงานที่น่าจะใช้คู่กับโต๊ะนั้น มีห้องกระจกที่น่าจะต่อเติมทีหลัง ภายในไม่มีอะไร แล้วเดินไปด้านหลังปกติจะไว้เป็นซักล้าง แต่ว่าผมว่าตึกนี่แปลกตรงด้านหลังตึกนี้เป็นต้นโพธิ์ใหญ่มากและสูงมาก แต่ว่าต้นโพธิ์ไม่ได้อยู่ในบริเวณเดียวกับโกดังเพราะมีกำแพงโกดังกั้นอยู่ หลังโกดังนี้เป็นพื้นที่ร้าง ผมกับเพื่อนก็รีบถ่ายทุกมุมทุกซอก ทุกอย่างที่เจอแล้วบันทึกไว้จากนั้นก็ขึ้นชั้นสอง
เมื่อหัวพ้นขั้นบันไดบริเวณชั้นสองสิ่งที่เห็นคือโครงสร้างเหมือนชั้นหนึ่งคือทะลุถึงกันโล่ง สาดไฟฉายไปหัวใจแทบหยุด เพราะเจอลักษณะเหมือนคนครึ่งตัวล่างยืนอยู่ เราร้องเฮ้ยกันเสียงดังกว่าเสียงฟ้าคำรามอีก ตั้งสติกันสักพักส่องดูอีกครั้ง สิ่งนั้นคือ หุ่นลองเสื้อ ผมกับเพื่อนก็ลืมคิดไปว่า ที่แห่งนี้เป็นโกดังของบริษัทเย็บผ้า เป็นเรื่องปกติต้องมีหุ่น แต่ใน check list ไม่มีหุ่น เรารีบถ่ายรูปก็ขึ้นชั้นสามไปเลย
บริเวณชั้นสามที่เกิดเหตุที่ทุกวันนี้ผมยังไม่ลืม คือไม่เหมือนสองชั้นที่ผ่านมา เมื่อเท้าพ้นจากบันไดยืนบริเวณชั้นสาม เป็นห้องที่ต่อเติมเต็มพื้นที่ด้วยไม้อัด เราเดินไปเปิดประตูสิ่งที่เราเห็นคือบรรดาชิ้นส่วนหุ่นลองเสื้อ บ้างก็ไม่เต็มหุ่น บ้างก็ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย แสตนด์วางเต็มห้องไปหมด วิธีการที่ง่ายที่สุดในการนับคือ ประกอบหุ่นให้เยอะที่สุดจะได้นับง่าย เพราะถ้าเป็นหุ่นเราถ่ายรูปแล้วลงไปเลย 1 ตัว ดีกว่าตามเก็บชิ้นส่วนแต่ละส่วนมาถ่าย เพราะดูจากสายตาแล้วการประกอบหุ่นง่ายกว่า เพราะหุ่นหลายตัวขาดไม่กี่ส่วน เราจึงลงมือช่วยกันประกอบหุ่นท่ามกลาง เสียงลม ฟ้าคะนอง เสียงหมาหอนและความมืดสลัว แสงจากด้านนอกเพียงเล็กน้อยผ่านจากด้านนอกเข้ามาผ่านหน้าต่างแตก มีต้นโพธิ์ อยู่ด้านนอก ซึ่งผมไม่ชอบต้นนี้เลย มีเหล็กดัดกันขโมยไว้ เรารีบประกอบแล้วได้ทั้งหมด 29 ตัว เราเรียงหุ่นหน้ากระดาน 5 ตัว แถวยาวลึก 6 ตัวแล้วถ่ายรูปไว้และมีชิ้นส่วนอื่นบ้างที่ไม่เข้าพวกอีกนิดหน่อย ถ่ายรูปแล้วลงบันทึกไว้ แล้วเราเดินอออกจากห้องปิดประตูไว้ เพื่อจะเดินไปชั้นสี่
ทันใดที่ประตูปิดผมกับเพื่อนได้ยินเสียง จุ๋ๆ เหมือนมีเสียงคน จุ๊ปาก สองครั้งดังจากในห้องที่เรียงหุ่นไว้ ผมกับเพื่อนมองหน้ากันแล้วตัดสินใจเปิดไปดูก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หุ่นอยู่ที่เดิม ตำแหน่งเดิม ท่าเดิม กำลังจะปิดประตู เสียงก็มาอีก จุ๋ๆ ผมกับเพื่อนก็มองตำแหน่งเสียงที่เกิดนั่นคืออยู่หลังหุ่นที่เราเรียงกันแถวสุดท้าย เพื่อนกระซิบบอกผม "มีอะไรแปลกๆว่ะ" ผมถาม "แปลกยังไง" "ก็ ดูรอบๆสิ มันเกินมาตัวหนึ่ง มันมี 29 ไม่ใช่เหรอ" เพื่อนตอบ ผมมองตาเพื่อน บริเวณนั้นปกติก็เงียบอยู่แล้ว คำพูดเพื่อนผมยิ่งทำให้ความเงียบดิ่งลงไปอีก ผมค่อยๆเลื่อนสายตาไปบริเวณแถวสุดท้ายซึ่งมันต้องแหว่งไป แต่สิ่งที่เห็นคือมีหุ่นอีกตัวยืนอยู่ ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ผ่าแรงมากจนตึกสะเทือนทำให้หุ่นล้มเป็นโดมิโน แต่หุ่นตัวสุดท้ายไม่หล่น แล้วเสียง จุ๋ๆ ดังก้องในหู เท่านั้นแหละผมกับเพื่อนรีบวิ่งออกมาแบบลืมตาย ร้องโวยวายออกไปถนนใหญ่ พอถึงถนนใหญ่ ตั้งสติกันสักพัก บอกเพื่อนว่าโทรหาหัวหน้าที เราก็เดินหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ ตอนนั้นประมาณ สี่ทุ่มกว่าๆ หัวหน้ากำลังอยู่ไซต์งานนับสินค้าที่อื่นอยู่ เราบอกว่าเจออะไรบ้างที่ตึกนั้น หัวหน้าด่าเรากลับว่า " ไปทำอะไรเวลานี้ ที่ให้ไปน่ะให้ไปตอนเช้าหลัง บรีฟงานจบ " ส่วนเรื่องแปลกๆ หัวหน้าก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะรับงานนอกมาให้ รู้แต่ว่าล้มละลาย หลังจากนั้นผมกับเพื่อนก็ไปที่ตึกนี้ต่อพร้อมกับเพื่อนที่ว่างจากที่ทำงานอีกสามคนรวมเป็นห้า ในตอนสายๆ ทุกอย่างยังเหมือนเดิมจากเมื่อคืน เพราะเราวิ่งหนีมาไม่ได้ปิดอะไรให้เรียบร้อย เราตรงขึ้นไปถ่ายชั้นสี่ ชั้นห้า แล้วลงมาที่ห้องชั้นสามข้างในห้อง หุ่นล้มเหมือนตอนฟ้าผ่า แต่ไม่มีหุ่นไหนที่ไม่ล้มเลยและนับจำนวนหุ่นทั้งหมดมี 29 ตัว ทุกวันนี้แม้ผ่านไป 20 กว่าปี ผมกับเพื่อนยังจำและคุยกันถึงเรื่องที่เจอ นั่นเพราะเรานับผิด นับซ้อนกัน หรือ เพราะแสงมันมืด หรือเพราะอะไร ยังหาคำตอบไม่ได้เลย
เรื่องเล่า พนักงานนับสินค้า
เราทำงานที่บริษัทนั้นมาประมาณ 6-7 เดือนเข้าทำงานดึกตลอดคือหลังสามทุ่มครึ่ง จนเป็นเรื่องปกติของเรามีบ้างที่นานๆครั้งจะเข้า 9 โมงเช้า เลิก 5 ห้าโมงเย็น เรียกได้ว่านับครั้งได้เลย จนมาคืนวันหนึ่งหัวหน้างานโทรเรียก ผมกับเพื่อนเพื่อนัดไปทำงาน นัดเจอที่บริษัท 8 โมงครึ่ง เพื่อบรีฟงาน งานนี้เป็นงานจ็อบพิเศษ เขาเห็นว่าผมกับเพื่อนผม ตั้งใจทำงานเลยโยนงานนี่ให้ เพราะเป็นงานนับสินค้า และถ่ายรูปและบันทึกจำนวนสินค้า จริงๆแล้วจะเรียกว่าสินค้าก็ไม่ได้ ต้องใช้คำว่า ทรัพย์สิน ถึงจะถูก เพราะไม่ได้มีไว้จำหน่ายในทางปกติ แต่มีไว้เพื่อบังคับคดี หัวหน้าให้ check list ทรัพย์สินมา และให้กล้อง digital ตอนนั้นน่าจะเป็นรุ่นแรกๆเลย ความละเอียดไม่เท่าไร พร้อมทั้งพวงกุญแจที่ใช้กับโกดัง โดยวิธีการทำงานคือ ถ่ายรูปทรัพย์สินในโกดัง แล้วดูจำนวนว่าตรงตาม check list หรือไม่ ถ้าไม่ตรงก็บันทึกการเปลี่ยนแปลงไว้ ถ้าเห็นอะไรเพิ่มเติมก็ถ่ายรูปไว้ บันทึกว่ามีกี่ชิ้นโดยละเอียด สถานที่ทำงานคือ โกดังของอดีตการ์เมนต์แห่งหนึ่งที่โดนพิษต้มยำกุ้งทำให้ปิดตัวไปมีลักษณะเป็นตึกแถวอาคารพาณิชย์ 5 ชั้น สามแถวติดกันแถวถนนสายไหม "ไปได้แล้ว" หัวหน้าบอก ผมกับเพื่อนรับงานเดินออกจากบริษัทแล้วก็นัดกันทันทีว่าเจอกัน สามทุ่มครึ่ง
เวลาสามทุ่มครึ่งเราเจอกันที่ถนนสายไหมซอยอะไร ผมขอไม่บอกละกันเพราะปัจจุบันนี้ยังอยู่และอยู๋ในสภาพเดิมคือร้างเหมือนเดิม ผมกับเพื่อนนัดกันหน้าซอยแล้วเดินเข้าไปในซอย ซอยน่าจะลึกประมาณ ไม่เกิน 200 เมตรเป็นซอยตัน โกดังอาคารพาณิชย์ อยู่ซ้ายมือ สามหลังสุดท้าย บริเวณหน้าซอยซ้ายขาวบ้าน เป็นกำแพง บริษัทหรือโรงงานอะไรสักอย่าง กลางซอยเป็นซอยเล็กๆ สามารถเดินตัดไปอีกซอยได้ และมีโคมไฟส่องถนนติดๆดับๆ อยู่กลางซอย บรรยากาศตอนนั้น เป็นหน้าฝน ลมแรงมาก ฟ้าร้องเสียงดัง แต่ฝนยังไม่ตกมีแต่เสียงฟ้าคำรามดัง ครืนๆ พร้อมกับเสียงหมาเห่าหอนตลอดเวลา ผมกับเพื่อนเดินไปจนถึงหน้ารั้วอาคารโกดังแห่งนั้น ถ้าตัดความมืดออก ตัดเสียงลมเสียงฟ้าร้องเสียงหมาออก มันก็ไม่น่ากลัวเท่าไรเพราะเรามองย้อนไปก็เห็นถนนใหญ่ชัดเจนไม่ไกลมาก ถ้าเดินออกซอยแล้วย้อนขึ้นถนนไปไม่กี่โลก็เป็นทางตัดถนนวิภาวดี แต่เนื่องจากย้อนไป 20 กว่าปีที่แล้วแถวนั้นเงียบมาก พึ่งกำลังทำถนนใหม่เลย ผมกับเพื่อนซึ่งเตรียมไฟฉายมาส่องเพราะโกดังไฟอาจจะโดยตัดเพราะหัวหน้าบอกว่าร้าง ผมใช้ไฟส่องไล่จากด้านล่างจนถึงชั้นบนสุดบริเวณภายนอกโกดังอาคารพาณิชย์ที่ยืนตระหง่านจ้องผมกับเพื่อนราวกับว่ามีชีวิต ท่ามกลางเสียงลม เสียงฟ้าที่คำรามเป็นระยะ
ผมกับเพื่อนจึงมองหน้ากันสักพักเหมือนเข้าใจกันลึกๆว่า รีบทำรีบกลับ เราเดินไปไขรั้วที่กั้นระหว่างหน้าโกดัง แล้วเดินเข้าไขประตูเหล็กม้วน เสียงดังกังวานมาก ท่ามกลางความมืดและเงียบ จากนั้นเพื่อนผมก็ส่องไปฉายไปบริเวณรอบๆมืดมาก โครงสร้างอาคารชั้นล่างตีกำแพงทะลุจนเป็นพื้นที่เดียวกัน มีแต่เสาภายในตึกที่บังสายตาเป็นช่วงๆเท่านั้น ผมบอกเพื่อนว่าให้ลองส่องหาสะพานไฟดูเผื่อยังใช้ได้ หาดูแถวกำแพงนี่แหละน่าอยู๋แถวนั้นครั้นยกไฟฉายส่องไฟฉายดับทันที พยายามเคาะท้ายกระบอกก็ไม่ติด พวกเราเปิดประตูเหล็กม้วนให้สุดเพื่อพึ่งแสงจะด้านนอก และยืนนิ่งๆกันสักพักเพื่อให้สายตาปรับความมืด พอปรับได้ผมก็เอามือค่อยๆคลำ กำแพงไปเรื่อยๆ ไปยังตำแหน่งที่คิดว่าสะพานไฟน่าจะอยู่แถวนั้น ระหว่างที่ใช้มือคลำไปเรื่อย ไปโดนสิ่งหนึ่งที่ผมนึกว่าสวิตซ์ไฟจึงกดลงไป ทันใดนั้นมีเสียงดังตอบกลับมา ตั๊กแก ตั๊กแกๆ
เราตกใจร้องโวยวายกันสักพัก จริงๆแล้วไม่ได้เป็นคนกลัวตุ๊กแกทั้งคู่ แต่ว่าด้วยความไม่ทันตั้งตัวจึงรับไม่ได้ เมื่อได้สติประกอบกับไฟฉายติดอีกครั้งเลยส่องไปทั่วๆชั้นหนึ่ง ก็เห็นบริเวณที่น่าจะเป็นตู้ไฟหลัก ซึ่งโดนถอดออกเรียบร้อยแล้ว ผมกับเพื่อนจึงตกลงใช้กล้องถ่ายรูปตาม check list ทันทีชั้นหนึ่งไม่มีอะไรนอกจากโต๊ะสำนักงานเก้าอี้สำนักงานที่น่าจะใช้คู่กับโต๊ะนั้น มีห้องกระจกที่น่าจะต่อเติมทีหลัง ภายในไม่มีอะไร แล้วเดินไปด้านหลังปกติจะไว้เป็นซักล้าง แต่ว่าผมว่าตึกนี่แปลกตรงด้านหลังตึกนี้เป็นต้นโพธิ์ใหญ่มากและสูงมาก แต่ว่าต้นโพธิ์ไม่ได้อยู่ในบริเวณเดียวกับโกดังเพราะมีกำแพงโกดังกั้นอยู่ หลังโกดังนี้เป็นพื้นที่ร้าง ผมกับเพื่อนก็รีบถ่ายทุกมุมทุกซอก ทุกอย่างที่เจอแล้วบันทึกไว้จากนั้นก็ขึ้นชั้นสอง
เมื่อหัวพ้นขั้นบันไดบริเวณชั้นสองสิ่งที่เห็นคือโครงสร้างเหมือนชั้นหนึ่งคือทะลุถึงกันโล่ง สาดไฟฉายไปหัวใจแทบหยุด เพราะเจอลักษณะเหมือนคนครึ่งตัวล่างยืนอยู่ เราร้องเฮ้ยกันเสียงดังกว่าเสียงฟ้าคำรามอีก ตั้งสติกันสักพักส่องดูอีกครั้ง สิ่งนั้นคือ หุ่นลองเสื้อ ผมกับเพื่อนก็ลืมคิดไปว่า ที่แห่งนี้เป็นโกดังของบริษัทเย็บผ้า เป็นเรื่องปกติต้องมีหุ่น แต่ใน check list ไม่มีหุ่น เรารีบถ่ายรูปก็ขึ้นชั้นสามไปเลย
บริเวณชั้นสามที่เกิดเหตุที่ทุกวันนี้ผมยังไม่ลืม คือไม่เหมือนสองชั้นที่ผ่านมา เมื่อเท้าพ้นจากบันไดยืนบริเวณชั้นสาม เป็นห้องที่ต่อเติมเต็มพื้นที่ด้วยไม้อัด เราเดินไปเปิดประตูสิ่งที่เราเห็นคือบรรดาชิ้นส่วนหุ่นลองเสื้อ บ้างก็ไม่เต็มหุ่น บ้างก็ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย แสตนด์วางเต็มห้องไปหมด วิธีการที่ง่ายที่สุดในการนับคือ ประกอบหุ่นให้เยอะที่สุดจะได้นับง่าย เพราะถ้าเป็นหุ่นเราถ่ายรูปแล้วลงไปเลย 1 ตัว ดีกว่าตามเก็บชิ้นส่วนแต่ละส่วนมาถ่าย เพราะดูจากสายตาแล้วการประกอบหุ่นง่ายกว่า เพราะหุ่นหลายตัวขาดไม่กี่ส่วน เราจึงลงมือช่วยกันประกอบหุ่นท่ามกลาง เสียงลม ฟ้าคะนอง เสียงหมาหอนและความมืดสลัว แสงจากด้านนอกเพียงเล็กน้อยผ่านจากด้านนอกเข้ามาผ่านหน้าต่างแตก มีต้นโพธิ์ อยู่ด้านนอก ซึ่งผมไม่ชอบต้นนี้เลย มีเหล็กดัดกันขโมยไว้ เรารีบประกอบแล้วได้ทั้งหมด 29 ตัว เราเรียงหุ่นหน้ากระดาน 5 ตัว แถวยาวลึก 6 ตัวแล้วถ่ายรูปไว้และมีชิ้นส่วนอื่นบ้างที่ไม่เข้าพวกอีกนิดหน่อย ถ่ายรูปแล้วลงบันทึกไว้ แล้วเราเดินอออกจากห้องปิดประตูไว้ เพื่อจะเดินไปชั้นสี่
ทันใดที่ประตูปิดผมกับเพื่อนได้ยินเสียง จุ๋ๆ เหมือนมีเสียงคน จุ๊ปาก สองครั้งดังจากในห้องที่เรียงหุ่นไว้ ผมกับเพื่อนมองหน้ากันแล้วตัดสินใจเปิดไปดูก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หุ่นอยู่ที่เดิม ตำแหน่งเดิม ท่าเดิม กำลังจะปิดประตู เสียงก็มาอีก จุ๋ๆ ผมกับเพื่อนก็มองตำแหน่งเสียงที่เกิดนั่นคืออยู่หลังหุ่นที่เราเรียงกันแถวสุดท้าย เพื่อนกระซิบบอกผม "มีอะไรแปลกๆว่ะ" ผมถาม "แปลกยังไง" "ก็ ดูรอบๆสิ มันเกินมาตัวหนึ่ง มันมี 29 ไม่ใช่เหรอ" เพื่อนตอบ ผมมองตาเพื่อน บริเวณนั้นปกติก็เงียบอยู่แล้ว คำพูดเพื่อนผมยิ่งทำให้ความเงียบดิ่งลงไปอีก ผมค่อยๆเลื่อนสายตาไปบริเวณแถวสุดท้ายซึ่งมันต้องแหว่งไป แต่สิ่งที่เห็นคือมีหุ่นอีกตัวยืนอยู่ ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ผ่าแรงมากจนตึกสะเทือนทำให้หุ่นล้มเป็นโดมิโน แต่หุ่นตัวสุดท้ายไม่หล่น แล้วเสียง จุ๋ๆ ดังก้องในหู เท่านั้นแหละผมกับเพื่อนรีบวิ่งออกมาแบบลืมตาย ร้องโวยวายออกไปถนนใหญ่ พอถึงถนนใหญ่ ตั้งสติกันสักพัก บอกเพื่อนว่าโทรหาหัวหน้าที เราก็เดินหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ ตอนนั้นประมาณ สี่ทุ่มกว่าๆ หัวหน้ากำลังอยู่ไซต์งานนับสินค้าที่อื่นอยู่ เราบอกว่าเจออะไรบ้างที่ตึกนั้น หัวหน้าด่าเรากลับว่า " ไปทำอะไรเวลานี้ ที่ให้ไปน่ะให้ไปตอนเช้าหลัง บรีฟงานจบ " ส่วนเรื่องแปลกๆ หัวหน้าก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะรับงานนอกมาให้ รู้แต่ว่าล้มละลาย หลังจากนั้นผมกับเพื่อนก็ไปที่ตึกนี้ต่อพร้อมกับเพื่อนที่ว่างจากที่ทำงานอีกสามคนรวมเป็นห้า ในตอนสายๆ ทุกอย่างยังเหมือนเดิมจากเมื่อคืน เพราะเราวิ่งหนีมาไม่ได้ปิดอะไรให้เรียบร้อย เราตรงขึ้นไปถ่ายชั้นสี่ ชั้นห้า แล้วลงมาที่ห้องชั้นสามข้างในห้อง หุ่นล้มเหมือนตอนฟ้าผ่า แต่ไม่มีหุ่นไหนที่ไม่ล้มเลยและนับจำนวนหุ่นทั้งหมดมี 29 ตัว ทุกวันนี้แม้ผ่านไป 20 กว่าปี ผมกับเพื่อนยังจำและคุยกันถึงเรื่องที่เจอ นั่นเพราะเรานับผิด นับซ้อนกัน หรือ เพราะแสงมันมืด หรือเพราะอะไร ยังหาคำตอบไม่ได้เลย