คุยกับ ‘เด็จพี่ พร้อมพงศ์’ ไม่มีตำแหน่ง มาสร้างตำนาน และคำแนะนำถึงพรรคก้าวไกล


THE STANDARD สัมภาษณ์ พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ผู้มีฉายา ‘เด็จพี่’ อดีตดารานักแสดงทั้งจอเงินจอแก้วในสมัยก่อนมีโซเชียลมีเดีย อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทยยุคก่อนรัฐประหาร 2557 อดีตนักโทษในคดีหมิ่นประมาท วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ 

ล่าสุด ‘เด็จพี่’ ปรากฏตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หลังพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ โดยร่วมคณะกับ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อม นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในภารกิจแรกๆ ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย คือลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตในฐานะ ‘เด็จพี่’ เป็นนักการเมืองพื้นที่ภาคใต้ แม้ปัจจุบันจะถูกตัดสิทธิ 10 ปี เหลืออีก 2 ปีจึงจะสามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อีกครั้ง

เป็นนักแสดง ก่อนมาเป็นนักการเมือง 

 

ผมเกิดปี 2504 คือยุคผมเมื่อก่อนแรกๆ ตอนอายุประมาณ 21-22 ปี ยุคแรกภาพยนตร์จอเงินคือโรงหนัง ส่วนจอแก้วยังมีไม่เท่าไรนะ 
พอยุคต่อมาเทคโนโลยีเริ่มเปลี่ยน คนก็เริ่มมาดูจอแก้วคือทีวี ส่วนจอเงินคือโรงหนังคนดูน้อยลง โลกเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน มีการดิสรัปต์กัน พอหนังน้อยลง นักแสดงก็มาเล่นละครทีวีกัน ดาราภาพยนตร์ไทยก็มาเล่นละครในทีวี เพราะทีวีผู้ชมดูฟรี ส่วนภาพยนตร์ต้องไปดูที่โรงหนัง ต้องไปซื้อตั๋ว ต้องไปเข้าคิว ความสะดวกแตกต่างกัน สมัยก่อนหนังผมเวลาไปโชว์ตัวมีคนดูเยอะมากเพราะคนเห็นตัวได้ยาก

ยุคผมเล่นหนังกับ จารุณี สุขสวัสดิ์ เขาเรียกคู่ขวัญ ยุคแรก มิตร ชัยบัญชา ที่เล่นหนัง อินทรีแดง แสดงหนังรุ่นอาวุโสเลย ดังมาก เริ่มจากมิตร ชัยบัญชาก่อน
ต่อมา สมบัติ เมทะนี – เพชรา เชาวราษฎร์ 
ต่อมา สรพงศ์ ชาตรี – เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์
แล้วก็มี ทูน หิรัญทรัพย์ – จารุณี สุขสวัสดิ์
แล้วยุคผม พร้อมพงศ์ – จารุณี ในยุคหนึ่ง 
แล้วก็มี สันติสุข พรหมศิริ – จินตหรา สุขพัฒน์ ต่อกันเป็นยุคๆ

ผมมาในยุคลูกศิษย์พี่เอก-สรพงศ์ ชาตรี

เมื่อก่อนเล่นจอเงินภาพยนตร์ไทย ตอนหลังมาเล่นเป็นจอแก้ว ก็หลากหลายช่อง นักแสดงก็แบ่งเป็นช่องเลยทีนี้ ผมอยู่ช่อง 7 เป็นหลัก แล้วก็มีไปช่องอื่นบ้าง 
 
เล่นหนังเล่นละครมา 29 ปี เล่นไป 129 เรื่อง


เล่นหนังเล่นละครมาเยอะ ไม่ใช่เฉพาะละครจักรๆ วงศ์ๆ 
 
เยอะเลยละครตอนเย็นบ้าง กลางคืนบ้าง ละครหลังข่าวก็มี เล่นหมด หลักๆ อยู่ช่อง 7 แล้วข้ามไปช่อง 3 บ้าง 
 
เล่นละครหลากหลาย แต่ตอนหลังเขาอาจเห็นหน้าผมเป็นไทยๆ อาหรั่ง-ไพรัช สังวริบุตร ก็ดึงผมไปเล่นจักรๆ วงศ์ๆ เขามองว่าหน้าดูไทยๆ 


ที่มาฉายา ‘เด็จพี่’
 
จริงๆ แล้วไม่ได้ถูกเรียกมาตั้งแต่เล่นละคร แต่มาถูกเรียกช่วงเป็นโฆษกพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นฝ่ายค้านยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนปี 2552-2553 ตอนนั้นม็อบคนเสื้อแดงชุมนุมให้อภิสิทธิ์ยุบสภา แล้วรัฐบาลออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีทหารล้อมเต็มทำเนียบ แล้วผมเป็นโฆษกพรรคเพื่อไทย ก็ไปยื่นหนังสือ 
 
แถลงข่าววันนี้พรุ่งนี้ผมก็ไปยื่น ถูกกีดกันไม่ให้เข้าทำเนียบรัฐบาล แต่ผมก็โผล่ไปทุกครั้ง ตอนนั้นผมก็ถูกนักข่าวเรียก ‘เด็จพี่’ บางช่วงเป็น ‘พร้อมพงศ์พร้อมซอง’ คือตอนนั้นถือหนังสือต่างๆ ไปยื่นแทบทุกวัน เรียกร้องให้ยุบสภา ไม่ให้รัฐบาลจำกัดสิทธิประชาชน 

ผมเดินถือซองเข้าไปทั้งที่มีทหารพร้อมปืน ช่วงพ.ร.ก.ฉุกเฉิน


เข้าพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ยุคไหน
 
ผมมีความศรัทธาพรรคตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ซึ่งมี ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำ ทำให้ประชาธิปไตยกินได้ 
 
ผมมองประชาธิปัตย์เป็นแนวอนุรักษนิยม ส่วนพรรคไทยรักไทยเป็นเสรีนิยม 

ตอนแรกเข้ามาไทยรักไทย ผมช่วยอยู่ในทีมท่านยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำไทยรักไทย ก่อนจะถูกรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้วหลังรัฐประหาร พรรคไทยรักไทยถูกยุบ ก็เกิดพรรคพลังประชาชน 
 
ผมก็เข้ามาเป็นสมาชิก ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส. เขตที่จังหวัดพังงา ปี 2550 ครั้งนั้นยังไม่ได้เป็น สส. แต่ได้คะแนนอันดับ 3 ส่วนอันดับ 1-2 คือประชาธิปัตย์
 
ผู้ใหญ่ในพรรคก็บอกว่าคนใต้กระแสแรง คนเลือกประชาธิปัตย์ ความจริงมีคนอยากให้ผมลงที่กรุงเทพฯ ผมเป็นดาราเล่นหนังเล่นละครมา 29 ปี เล่นไป 129 เรื่อง ถ้าลงกรุงเทพฯ คนจะรู้จัก แต่ตอนนั้นผมก็อยากลงในพื้นที่บ้านเกิด อยากพัฒนาบ้านเกิดตัวเอง
 
ตอนพลังประชาชนถูกยุบ สมัคร สุนทรเวช นายกฯ ทำกับข้าวออกทีวี 
 
หลังจากนั้น สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ มาถูกยุบพรรคอีก ผมก็มาอยู่พรรคเพื่อไทย โดยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มีการตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ในค่ายทหาร 

กรรมการบริหารและโฆษกพรรคเพื่อไทย ก่อนรัฐประหาร 2557
 
ผมเป็นกรรมการบริหารและโฆษกพรรคเพื่อไทยในยุคแรก เคยเป็น สส. ปี 2554-2557 อยู่มาจนถึงรัฐประหาร ถูกรัฐประหาร 2557 ต่อมาผมโดนคดีปี 2558 คืออยู่พรรคเพื่อไทยมาตลอด แม้หัวหน้าพรรคเปลี่ยนหลายคน เลขาธิการพรรคเปลี่ยนหลายคน แต่ผมอยู่ตำแหน่งเดิมมาตลอด 
 
ปี 2557 ถูกจับไปขังในค่ายทหารที่จังหวัดปราจีนบุรี วันรัฐประหารผมก็อยู่ในห้องประชุมที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจ 
 
ตอนนั้นผมไปกับ ท่าน อ.ชัยเกษม นิติสิริ, ท่านวราเทพ รัตนากร, ท่านเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช, ท่าน อ.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ตอนนั้นเป็น รมว.คมนาคม และท่านทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รวม 6 คน ถูกมัดมือ ถุงคลุมหัวเป็นผ้าสีดำมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น หายใจได้แต่อึดอัด 

เขาเอาไปขัง แล้วก็ลากขึ้นรถ ชุดผมเรียกว่า VVIP ผมเป็นตัวแทนพรรค แต่ถูกจับไปพร้อม ครม. คือ ครม. มี 5 บวกผมอีกคนเป็น 6 
 
เขาเอาไปขังในห้องสี่เหลี่ยมติดผ้าดำหมด ไม่มีพัดลม ถามอะไรทหารเขาก็ไม่ตอบ เขาคงได้รับคำสั่ง เราถามว่าจะติดต่อทางบ้านได้ไหม จะติดต่อญาติได้ไหม เรารู้ว่าการถูกควบคุมตัวจากการรัฐประหารกฎหมายให้คุมตัวได้ 7 วัน ซึ่งเราต้องได้รับสิทธิบ้าง แต่ตอนนั้นเขาก็ไม่ตอบ เขาขังรวมอยู่แบบนั้น 6 วัน พอวันที่ 7 ถึงเจอท่าน อ.ชัชชาติ บ้านที่ผมถูกขังจะมีผม มีท่านชัชชาติ แล้วก็ท่านทนุศักดิ์ เล็กอุทัย บ้านผมอยู่  3 คน รู้ว่ามีใครบ้าง เพราะได้ยินเสียงเคาะผนังบอกทหารว่าจะขอเข้าห้องน้ำ เราได้ยินเสียงท่านชัชชาติ ท่านทนุศักดิ์ เราจำเสียงได้ 
 
เขาแบ่งบ้านเป็น 2 หลัง บ้านที่ขัง อ.ชัยเกษม จะเป็นอีกหลังหนึ่ง
 
บ้านที่ขังเขาปิดหมด เขาไม่ต้องการให้เรารู้ว่าอยู่ที่ไหน เครื่องมือสื่อสารเราก็ถูกยึด ในวันที่ 7 เมื่อจับแกนนำได้หมดสถานการณ์คงจะผ่อนคลาย เขาก็ให้เราลงไปเจอกันตอนไปกินข้าวข้างล่าง แต่ยังถูกควบคุมโดยทหาร 24 ชั่วโมง 6 วันแรกไม่ได้เจอกัน เพียงแต่รู้ว่าอยู่คนละห้องเพราะได้ยินเสียงเคาะเรียกทหาร 
 
วันที่ 7 ก็มีการทยอยปล่อยออกจากที่ควบคุมตัว ซึ่งเป็นบ้านพักทหาร ในค่ายทหาร บ้านผมก็มีท่านทนุศักดิ์กับท่านชัชชาติได้รับการปล่อยตัวไปก่อน ส่วนผมคุมตัวเกินไปอีก 1 วัน ได้รับการปล่อยวันที่ 8 โดยทหารบอกว่าเขาลืม ไม่รู้เขาแกล้งพูดหรือเปล่า ผมคิดว่าเขาอาจรอคำสั่ง 
 
ตอนกลับเขาก็คลุมหัวกลับเหมือนกัน แต่ผมคาดว่าเป็นค่ายทหารในจังหวัดปราจีนบุรี 

คดีที่จำคุกปี 2558 ถูกตัดสิทธิ 10 ปี 
 
คดีที่ผมถูกตัดสิน ผมสู้เรื่องความยุติธรรม 2 มาตรฐาน พูดเรื่องพรรคประชาธิปัตย์ แล้วโดนคดีหมิ่นประมาท โจทก์คือ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ 
 
หลังรัฐประหาร 2557 ในยุครัฐบาล คสช. ปี 2558 ผมถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 1 ปี ติดคุก 9 เดือน ได้รับการพักโทษ ตอนนั้นไม่มีช่วงพระราชทานอภัยโทษ ในคุกรุ่นนั้นเจอ จ่าประสิทธิ์ ไชยศรีษะ, สมยศ พฤกษาเกษมสุข, ฝ่ายพันธมิตรฯ ก็มี ไทกร พลสุวรรณ อยู่เรือนจำแดนเดียวกัน แล้วก็เจอ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์, เสธ.หิมาลัย ผิวพรรณ
 
ส่วนหมอเลี้ยบ-สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ก็เข้าไปเรือนจำทีหลัง 
 
ผมเข้าไปก่อนรุ่นหมอเลี้ยบ และก่อนรุ่น รังสิมันต์ โรม กับ ไผ่ ดาวดิน จะเข้าไป 
 

หลังเลือกตั้ง 2566 ด้วยเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญและผลคะแนน ทำให้เพื่อไทยเป็นรัฐบาลผสม โดยจับมือกับพรรคที่เคยอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ส่วนตัวมองอย่างไร เปลี่ยนขั้วเปลี่ยนอุดมการณ์ไปแล้วหรือไม่ 
 
ผมมองว่าฝ่ายอำนาจนิยมเขาวางกับดักไว้ในรัฐธรรมนูญ เราก็เห็นว่ามี สว. 250 เสียง เปรียบง่ายๆ เหมือนกับพรรคหนึ่ง เป็นพรรคของฝ่ายอำนาจนิยมเขา เพราะฉะนั้นวันนี้เราชนะอย่างไรถ้าไม่ได้ถึง 400 เสียงไม่ชนะ 376 เสียงฝ่ายประชาธิปไตยเราก็เป็นรัฐบาลไม่ได้
 
หลักเกณฑ์เราก็เห็นแล้วว่า เรารวม 8 พรรคแล้ว ย้อนไปปี 2562 เราก็เป็นแบบนี้ เราก็ทำก่อน ตอนนั้นเพื่อไทยได้ สส. ที่ 1 ด้วยนะ 
 
อนาคตใหม่ได้ สส. อันดับ 3 แต่พอเรารวมเสียงแล้วเราสู้ 3 ป. พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ได้ เพราะเขามี สว. เหมือนเป็นอีกพรรคหนึ่ง เพราะกฎหมายกำหนดว่าต้องรวมเสียงสมาชิกรัฐสภาให้ได้ 376 เสียง แล้วจึงจะเป็นนายกฯ เราก็รวมแล้วสู้ไม่ได้ 
 
ตอนนั้นปี 2562 พรรคเพื่อไทยก็โหวตให้คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พรรคอนาคตใหม่ เป็นนายกฯ ทั้งที่เรามีแคนดิเดตครบ 3 คนนะ เรามีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, อ.ชัยเกษม และ อ.ชัชชาติ 
 
แต่เราก็มีวุฒิภาวะให้ความร่วมมือพรรคอนาคตใหม่ แม้เรารู้ว่าโหวตอย่างไรฝ่ายนี้ก็ยังไม่ผ่าน เราก็โหวตให้คุณธนาธร สุดท้ายก็ไม่ผ่าน 
 
พอปี 2566 ก็อีหรอบเดิม พอรวม 8 พรรคก็ยังไม่ถึง 376 เสียง พรรคเพื่อไทยโหวตให้คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แล้วในการประชุมรัฐสภาครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ก็โหวตให้หมออ๋อง-ปดิพัทธ์ สันติภาดา เป็นรองประธานคนที่ 1 แล้ว 
 
แล้วเราไม่ใช่ตระบัดสัตย์หรือสลายขั้ว เขาต้องเข้าใจบริบทว่าวันนี้ทำแล้วทำไม่ได้ คือฝ่ายที่เขาถืออำนาจอย่าง สว. เขาบอกว่าถ้าก้าวไกลไม่ยกเลิกการแก้มาตรา 112 เขาไม่โหวตให้ แต่ก้าวไกลยังยืนยันแก้ไขมาตรา 112 อยู่ 
 
ส่วนกลุ่มพรรครัฐบาลเดิมเขาก็บอกถ้าก้าวไกลไม่ถอย 112 เขาไม่โหวตให้ แล้วก้าวไกลมีคนที่มีแนวคิดจะเปลี่ยนวันชาติอีก เป็นเหตุการณ์ระหว่างจัดตั้งรัฐบาลกัน ก็ทำให้ฝ่ายนั้นเกิดความระแวง 
 
แล้วตอนก้าวไกลเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล 8 พรรค ก็มีข่าวคุณพิธายืนยันเสียงครบ คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ก็ยืนยันเสียงพอ คุณศิริกัญญา ตันสกุล ก็บอกว่าครบ ได้เสียงถึงแน่ 
 
ทางเราฟังแล้วก็มั่นใจ บวกกับทางฝ่ายพรรคเพื่อไทยก็ช่วยเจรจาเพื่อเพิ่มเสียงในสภา อย่างผม อย่างคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ช่วยเจรจา สว. หรือสนิทกับใครเราก็ช่วยเจรจา เพราะคนทำการเมืองต้องมีพี่มีน้อง การเมืองต้องนกมีขน คนมีเพื่อน มีพรรคพวก

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่