ทำไมคนเราถึงได้เกลียดแม่ตัวเองได้...

กระทู้คำถาม
ตามหัวข้อด้านบนเลยค่ะ (เป็นกระทู้แรกนะคะ ถ้ามีข้อความหรือสิ่งใดผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ)
ย้อนความไปเมื่อ3 ปีก่อนพ่อเราตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วจะเดินไปห้องน้ำ ปรากฏว่าขาไม่มีแรง แล้วล้มลงกับพื้น เราจึงรีบเรียกรถพยาบาลไปหาหมอทันที หมอบอกว่าน่าจะกล้ามเนื้ออ่อนแรงฉับพลัน ก็เลยได้ยามาแล้วกลับบ้าน แล้วนัดไปทำกายภาพทุกสัปดาห์ แต่พอไปหาหมออีกครั้งหมออีกคนสงสัยว่าน่าจะเป็นอาการทางระบบประสาท คืบเส้นเลือดในสมองตีบ(พ่อเป็นความดันต่ำ)จึงมีอาการคล้ายอัมพาตช่วงล่าง(ด้านบนขยับได้ แต่ตั้งแต่เอวขยับแทบไม่ได้)เรากับแฟนก็ซื้อของใช้ที่จำเป็นและอำนวยความสะดวกให้พ่อทุกอย่าง จนเรามาคุยกับแฟนว่าเราจะลาออกมาดูพ่อ คอยทำกายภาพ หัดเดิน เพราะแม่บอกตลอดว่าดูพ่อไม่ไหว เราจึงได้ลาออกมาดูพ่อ จนพ่อเริ่มกลับมาเดินเองได้บ้างในระยะใกล้ๆ เริ่มอยากเข้าห้องน้ำเอง(ก่อนหน้านี้พ่อฉี่ใส่แพมเพิส หรือไม่ก็กระบอกฉี่ แล้วเราเอาไปเทให้) แต่ที่สังเกตได้คือแม่ยังคงเหมือนเดิมคือ แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเราเลยสักอย่าง ยังคงนอน และก็ตื่นออกไปซื้อขนมกินแค่ของตัวเอง จนพ่อเริ่มดีขึ้นมาก พ่อจึงบอกให้เราไปหางานทำจะได้ช่วยแบ่งเบภาระแฟนด้วย เราจึงได้ไปสมัครงาน และได้ทำงานที่เดียวกับแฟน ทีนี้แม่ก็จะต้องอยู่กับพ่อสองคน คอยดูพ่อ แล้วพอลูกเรากลับจากโรงเรียนก็จะคอยมาอยู่เป็นเพื่อนตา เวลาเรากลับจากที่ทำงานเราก็จะได้ยินแม่บ่นทุกวันว่าเบื่อ ไม่ได้นอนเลยต้องคอยดูพ่อตลอด ซึ่งลูกเราก็จะบอกว่าไม่จริงยายนอนตลอด แทบจะไม่รู้เลยว่าพ่อทำอะไรบ้างวันๆ วึ่งพ่อก็บอกเหมือนที่ลูกเราบอก แต่ด้วยความที่พ่อเริ่มเดินได้เองมากขึ้น เวลาเค้าปวดฉี่ก็อยากที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำเอง แต่กว่าจะถึงห้องน้ำก็ค่อนข้างใช้เวลา จนพ่อเริ่มมีอาการปวดท้องน้อย ฉี่แสบๆขัดๆ เราจึงพาไปหาหมอ ก็ได้ยาขับฉี่มากิน จนอยู่มาวันนึงพ่อมีอาการเหนื่อย ซึม ไม่มีแรง ตัวเริ่มร้อน แล้วก็ไม่ตอบสนอง เราจึงรีบเรียกรถพยาบาล พอเจ้าหน้าที่มาก็ปฐมพยาบาลกันสักพักใหญ่ เพราะพ่อแทบหายใจเองไม่ได้ ไม่ค่อยรู้สึกตัว จนมาถึงโรงพยาบาลหมอเจาะเลือไปตรวจ ให้ออกซิเจน แล้วก็พ่นยา จนผลเลือดออกหมอบอกว่าพ่อติดเชื้อในกระแสเลือด เนื่องด้วยมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ จนเชื้อมันลามเข้ากระแสเลือด หมอเลยขอใส่ท่อช่วยหายใจ เพระพ่อหายใจเองไม่ไหว เหนื่อย เราได้ยินเสียงพ่อตอนหมอใส่ท่อ เราร้องไห้แทบจะไม่มีกำลังใจอะไรเลย กลัวพ่อจะเป็นอะไรไป หมอส่งพ่อเราไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจังหวัด พอไปถึงพ่อก็ถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉิน ตอนนั้นโควิดระบาด เค้าเลยไม่ให้เฝ้า หมอให้เรากลับบ้าน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ เรากับแฟนกลับบ้านตอนตี4 กลับมาถึงบ้านได้แต่ร้องให้แล้วก็กลัวว่าจะไม่ได้เจอพ่ออีก เรากลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ออกไปหาพ่อเลย แต่โชคดีที่พ่อสามารถตอบสนองกับยาได้ดีจนพ่ออาการดีขึ้น ถอดเครื่องช่วยหายใจ สามารถหายใจเองได้ แต่พยายามอย่าให้เหนื่อย ต้องคอยพ่นยาอยู่บ่อยๆ แล้วได้ย้ายมาพักฝื้นห้องธรรมดา แต่อาการข้างเคียงคือความจำเริ่มสั้นลง ความทรงจำต่างๆเริ่มลดเลือนลง พ่อจะจำหรือถามหาแต่กับแฟนเรา ซึ่งตอนยังดีๆคือแทบจะไม่ค่อยได้คุยกันเลย แต่เวลาพยาบาลถามถึงครอบครัวก็จะบอกว่าแฟนเราคือลูกชายเค้าตลอดเวลา พ่อไม่เคยถามถึงแม่เลยสักครั้ง แต่ถามถึงทุกคนที่บ้าน หรือแม้ว่าแม่ไปเยี่ยมที่รพ.ก็แทบจะไม่สนใจเลย จะมองหาและถามหาแต่แฟนกับลูกเราตลอดระยะเวลาที่พ่ออยู่รพ.เกือบเดือนกว่า (แม่ไปเยี่ยมพ่อแค่ 2 ครั้ง) จนพ่อได้กลับมาพักที่บ้าน มีสายฉี่ติดมาด้วยเพราะว่าพ่อกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง เนื่องจากนอนนาน ร่างกายไม่ได้ขยับเดิน แต่สามารถพลิกซ้าย-ขวาเองได้แต่ต้องมีคนช่วยพยุง เราซื้อเตียงคนไข้ เพื่อความสะดวกสบายของพ่อเอง แล้วก็คนดูแลด้วย เรายังคงต้องทำงาน ก็จะมีแม่คอยอยู่ดูพ่อ ตอนเช้าเราจะคอยเตรียมข้าว ยา เช็ดตัว แล้วก็ทำแผลกดทับให้พ่อก่อนไปทำงานทุกวัน แต่ดีที่ช่วงนั้นปิดเทอมลูกเราเลยช่วยดูแลตาได้ดี คอยป้อยข้าว ป้อนยา ทำแผล เช็ดทำความสะอาด เปลี่ยนแพมเพิส เทฉี่ ทำแทบทุกอย่างระหว่างวันที่เราไปทำงาน(พ่อคอยพูดให้ฟังตลอด)ส่วนแม่พอมีคนทำให้ก็กลับมานอนเหมือนเดิม จนลูกเราเปิดเทอม ทีนี้ก็เหลือแต่แม่เราที่ต้องดูพ่อ จนลูกเรากลับมาจากโรงเรียนก็จะโทรมาบอกว่ายายไม่ยอมเปลี่ยนแพมเพิสให้ตา ไม่ยอมช่วยตาพลิกซ้าย-ขวา ให้ตากินแต่ข้าวต้ม กับซอส(ซึ่งเราทำอาหารสำหรับพ่อไว้ให้ทุกวัน ทุกมื้อ) เราจึงคุยกับแม่ว่าทำแบบนี้ไม่ได้ เพราะพ่อเป็นแผลกดทับต้องคอยทำความสะอาดบ่อยๆ คอยพลิกตัวบ่อยๆ แม่ก็บอกว่าจะทำเท่าที่ทำได้แล้วกัน จนเรารู้สึกโกรธว่าทำไมแค่นี้ทำให้พ่อไม่ได้ ทำไมไม่นึกถึงตอนที่ตัวเองป่วย ต้องนอนรพ. พ่อไปเฝ้า ไปเยี่ยมทุกวัน หรือแม้กระทั่งตอนที่พ่อเดินไม่ค่อยไหว พ่อยังนั่งรถเข็นมาเยี่ยมแม่เลย จนมาวันนึงเราหยุดงาน เราก็คอยดูแลพ่อตลอด จนพ่อกินข้าวเที่ยงเสร็จ เราก็ให้พ่อนั่งเอนหลังสักพัก เราก็คุยเล่นกับพ่อว่าเดี๋ยวถ้ามีแรงมากกว่านี้จะพามาหัดเดิน พ่อก็ยังหัวเราะ เพราะเค้าอยากกลับมาเดินได้ แล้วพ่อก็พูดแซวแม่ว่าแม่ไม่ลุกไปไหนบ้างนอนอย่างเดียวเลย ช่วยลูกทำอะไรบ้าง แม่ก็สวนพ่อกลับมาเลยว่าชั้นนอนเดี๋ยวชั้นก็ลุกเดินไปนู่นนี่ แต่แกนอนติดเตียงอยู่อย่างนั้นไปไหนไม่ได้ เราได้ยินเรารีบหันไปมองแม่เลยว่าทำไมถึงพูดแบบนี้ พอหันไปหาพ่อพ่อก็ร้องไห้แล้ว เราก็ได้แต่ปลอบพ่อว่าไม่เป็นไรไม่ต้องไปฟังแม่ เดี๋ยวพ่อก็ดีขึ้นถ้าพ่อทำตามที่หนูบอก ทำตามที่หมอบอก พ่อก็ได้แต่พยักหน้าแล้วก็ร้องไห้ เราเลยไม่รู้จะทำยังไงได้แต่กอดพ่อแล้วร้องไห้ไปกับพ่ออยู่อย่างนั้น เราโกรธแม่มาก เพราะพ่อเพิ่งจะดีขึ้นแล้วมีกำลังใจจะลุกขึ้นเดินอต่ต้องมาหมดกำลังใจด้วยคำพูดของคนที่เค้ารักมากคนนึง หลังจากนั้นพ่อก็เริ่มไปค่อยพูด ขี้หงุดหงิด โวยวาย ซึม และเริ่มไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการพลิกตัวหรือขยับตัวออกกำลังกายเลย จนอยู่มาได้สัก2อาทิตย์พ่อเราก็เสีย โดยที่เราเช็ดตัวทำแผลให้เสร็จ แล้วพ่อก็นอนหลับไปเฉยๆเลย เราเสียใจมากได้แต่คิดว่าเราดูแลพ่อดีหรือยัง แล้วก็ได้แต่ย้อนนึกถึงคำพูดแม่ที่พูดกับพ่อ มันทำให้เราคิดว่าเป็นเพราะคำพูดนั้นหรือเปล่าทำให้พ่อเราตรอมใจ จนต้องตาย ยิ่งเราคิดเราก็ยิ่งโกรธแม่ จนผ่านไปเกือบ2ปีที่พ่อเสีย เรามาซื้อบ้านใหม่แล้วพาแม่มาอยู่ด้วย แม่ก็เริ่มมีอาการแปลกๆชอบเรียกร้องความสนใจต่างๆ อย่างมีอยู่วันนึงเรากลับมาจากทำงานเกือบเที่ยงคืนแล้ว แม่เข้านอนแล้ว เราก็เลยเข้าไปดูว่าแม่เป็นยังไงบ้าง เหมือนแม่รอเราอยู่ แล้วเค้าก็บอกว่าตาเค้าจะบอดแล้ว มองไม่เห็นเลย เราก็เลยถามว่าแล้วรู้ได้ยังไงว่าเป็นเราเข้ามาถ้ามองไม่เห็นต้องไม่รู้สิว่าใครเข้าห้องมา เค้าก็เหมือนเถียงไม่ได้ เราเลยเดินออกมาบอกว่าจะไปนอนแล้วเหนื่อย ทีนี้ลูกเราลุกไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็เรียกเราให้ไปดูยายบอกว่ายายมาทำะไรไม่รู้ เราก็เลยเดินมาดู แม่เค้าก็พูดเหมือนเดิมว่าตาจะบอดแล้วมองไม่เห็น เราก็เลยบอกว่าถ้ามองไม่เห็นแล้วเดินออกมาจากห้องได้ยังไงมืดๆแถมไม่ตกบันไดด้วย แล้วยังเดินมาห้องเราถูกด้วย เรก็เลยให้กลับไปนอนเราเหนื่อยมากแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าต้องตื่นไปทำงานอีก เค้าก็ไม่ยอมกลับไปและก็ยังคงยืนยันว่ามองไม่เห็น แล้วก็ทำเป็นนั่งแล้วค่อยๆแกล้งถัดลงบันไดให้เราคิดว่าเค้ามองไม่เห็นแล้วเดินตกบันได ซึ่งเราเห็นทุกอย่างว่าเค้าแกล้งทำ เราจึงพาเค้ากลับไปคุยที่ห้อง ทีนี้เริ่มไปกันใหญ่เริ่มแสดงว่าเป็นนู่นนี่ พอเราบอกว่าแม่แค่อายุเยอะอาจจะมีตาพร่ามัวได้ แต่ตาไม่ได้บอด เราก็พยายามอธิบาย แต่เค้าไม่ฟังบอกว่าตาจะบอดให้เราพาไปหาหมอ พอเราจับตัวเค้าบอกว่าให้หยุดทำแบบนี้เค้าก็ยิ่งดิ้นจิกหัวตัวเอง จิกเสื้อ แล้วก็ค่อยๆกลิ้งจากเตียงไปนอนที่พื้น เราก็เลยเรียกแฟนมาดู(เรานอนคนละห้องกับแฟน)แล้วก็เล่าทุกอย่างที่แม่แกล้งทำให้แฟนฟัง พอแม่เห็นแฟนเราอาการเค้าเริ่มนิ่งลง แฟนเราเลยบอกว่างั้นก็พาไปหาหมอเลยแล้วก็บอกหมอด้วยเลยว่าอาการเค้าเป็นยังไง คืนนั้นเราก็พาแม่ไปหาหมอเลย สรุปหมอบอกว่าแม่ไม่ได้มองไม่เห็นยังเห็นอยู่ตาไม่ได้บอด แต่เป็นเพียงอาการจอประสาทตาเสื่อมตามอายุที่มากขึ้น เราก็เลยขอปรึกษาอาการของแม่กับหมอโดยที่ไม่มีแม่ฟังอยู่ด้วย หมอบอกว่าให้เราสังเกตอาการของเค้า อาจจะเป็นเพราะความวิตกกังวลจนเกินเหตุ จนเรียกร้องความสนใจจากเรา หรืออาจจะมีอาการป่วยทางจิตจริงๆก็ได้ ระหว่างที่แม่หาหมอหรืออยู่บนรถเค้านิ่งมากคุยรู้เรื่องรับฟังทุกอย่าง ทำเหมือนเข้าใจทุกอย่าง พอผ่านไปได้2วันเริ่มทำเหมือนเดิมเราก็เลยคุยกับเค้าเลยว่าเดี๋ยวจะพาไปหาหมอเฉพาะเรื่องตาเลย ถ้าหมอเค้าว่ายังไงก็ต้องตามนั้นเลยนะ ไม่ต้องทำแบบนี้อีก ต้องเชื่อหมอ พอไปหาหมอก็เหมือนเดิมหมอพูดเหมือนกับหมอคนแรกที่ไปหาเลย พอถึงบ้านก็นิ่งลงแต่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงก็เอาอีก โวยวายว่าตาจะต้องบอด รักษาไม่หาย อยากมองเห็น เราเริ่มไม่ไหวจนเราร้องไห้แล้วโทรปรึกษากรมสุขภาพจิตเลยว่าควรทำยังไงดี พอเริ่มตั้งสติได้เราก็ไปรพ.เพื่อนัดหมอสุขภาพจิตให้แม่เลย แล้ววันนัดก็มาถึง เราก็ไม่ได้บอกว่าจะพามาหาหมอจิตเวช แต่เหมือนเค้าน่าจะรู้ พอถึงคิวตรวจ อาการเค้าปกติมาก ฟังหมอทุกอย่าง หมอบอกว่าเกิดจากความกังวล ไม่ต้องคิดมาก ตาไม่บอดแน่นอน พอนั่งรถกลับเค้าก็บอกว่าแม่ไม่คิดมากแล้ว แม่เชื่อหมอ แต่หมอให้ยาคลายเครียดมากิน แล้วก็ยารักษาอาการทางจิตหลายตัวอยู่ เพื่อให้เค้าหลับ พอได้กินยาไปสักพักก็เหมือนจะดีขึ้น แต่มักชอบทำอะไรที่มันสกปรกๆเช่น เวลาเข้าห้องน้ำถ่ายหนักถ่ายยากเค้าจะเอานิ้วจิ้มที่ก้น แล้วเอาเศษอึมาป้ายตามผนังห้องน้ำ เราเคยเจอในอ่างล่างหน้าเป็นก้อนเลย เราถามเค้าว่าทำแบบนั้นทำไมเค้าบอกว่าแม่ตาไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่ามันติดนิ้ว เราก็เลยให้เค้าล้างเอง คือทำเองก็ล้างเอง(ครั้งแรกที่เจอเราล้าง)แต่พอมันบ่อยเข้าก็ไม่ไหวเหมือนเค้ารู้ว่าถ้าทำแบบนี้เราจะต้องคอยเก็บทำความสะอาดให้ตลอด เราเลยปล่อยทีนี้เค้าก็ไม่ทำอีกเลย จนหลายๆอย่างที่เค้าทำเค้าพูดเราไม่อยากฝังเลยเราจะคอยเดินหนีตลอด เพราะยิ่งเราตอบโต้กับเค้ามันยิ่งไม่จบเค้ายิ่งพูดให้เรารู้สึกเหนื่อยมาก พอบ่นก็ทำเสียงเหมือนจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตานะ แล้วชอบเอาเราไม่พูดด่าเสียๆหายให้ญาติพี่น้องตัวเองฟัง จนเราต้องโทรไปคุยทำความเข้าใจใหม่ว่าเรื่องมันเป็นยังไง จนญาติเค้าเข้าใจ และเค้าบอกว่าเค้ารู้ว่าแม่เาเป็นคนยังไง พอนานๆเข้าเรายิ่งรู้สึกว่าแม่เค้ารักแต่ตัวเอง ไม่เคยนึกถึงคนอื่นเลย ไม่ว่าจะเรื่องกิน เรื่องความรู้สึกหรืออะไรก็แล้วแต่ เช่นเราทำกับข้าวไว้ให้เค้ากับลูกเรากิน เราบอกว่ากินแล้วเหลือไว้ให้หลานด้วยนะ เค้าก็กินทุกอย่างหมด จนลูกเราไม่ได้กินข้าวเลย หรือแม้กระทั่งเราปวดท้องมากเพราะเราเป็นซีสที่รังไข่เราก็ไม่บอกเค้าต้องคอยเก็บอาการ เพราะถ้าเค้ารู้ว่าคนในบ้านเป็นอะไรเค้าก็จะต้องเป็นนู่รชนเป็นนี่บ้างทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอะไรเลย จนหลายครั้งเวลาทะเลาะกับเค้าเราจะพูดเสมอว่าเค้าเป็นคนที่ทำให้พ่อต้องตาย เพราะคำพูดของเค้าเพราะสิ่งที่เค้าทำกับพ่อ จนเราเริ่มรู้สึกไม่อยากคุยไม่อยากได้ยินหรือไม่อยากเห็นหน้าเค้าเลย จนเก็บไปร้องไห้คิดถึงแต่พ่อว่าถ้าพ่อยังอยู่คงดีกว่านี้เยอะ จนคิดไปคิดมาก็คิดว่าช่างมันเถอะยังไงเค้าก็คือแม่เรา แต่พอเริ่มดี เค้าก็กลับมาทำตัวเหมือนเดิม จนเราเริ่มเบื่อจนทุกวันนี้ไม่ไหวแล้ว ปล่อยเค้าจะทำอะไรก็ทำไม่สนใจแล้ว เราคิดว่าความรู้สึกแบบนี้มันน่าจะสะสมมาเรื่อยๆจนมาถึงตอนที่เค้าพูดกับพ่อมันเป็นคำพูดที่ทำให้เรารู้สึกโกรธเค้ามาก จนมาถึงทุกวันนี้ และด้วยสิ่งต่างๆที่เค้าทำมันทำให้ร็สึกไม่ดีกับเค้าเลย บางทีเราก็ไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย อยากอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่มันทำไม่ได้ เราเคยว่าเค้าแรงๆ เค้าก็บอกว่าระวังตกนรก เราเลยบอกว่าเราไม่กลัวแล้วนรกอ่ะ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นอยู่แล้ว เราไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไงดี เราเลยอยากมาระบายให้ฟัง เผื่อมีคนเข้ามาอ่านแล้วพอจะแนะนำหรือมีวิธีใหนแนะนำให้เราหลุดไปจากตรงนี้ได้บ้าง ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ปัญหาครอบครัว
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่