มีใครเคยกู้เงินมาเพื่อลดภาระหนี้ก่อนแล้วต่อด้วยการขอกู้บ้านเลยมั้ยครับ? จริงๆทำได้นะ ผมทำมาแล้วครับ

จริงๆก็คิดอยู่ครับว่ามันจะกลายเป็นกระทู้ริวิวสินเชื่อรึเปล่า แต่ผมแค่อยากจะแชร์ประสบการณ์ให้กับคนที่คิดหรือวางแผนที่จะซื้อบ้านแต่ติดว่าตัวเองยังมีภาระหนี้ที่เกินกว่าจะขอสินเชื่อบ้านผ่านได้ในตอนนี้ เอาเป็นว่าผมจะไม่ได้เน้นรายละเอียดลงลึกเกี่ยวกับการขอสินเชื่อมากมายครับ แต่จะไกด์ให้เฉพาะส่วนที่สำคัญๆจากประสบการณ์ตรง ของคนที่ยังมีภาระหนี้เยอะแต่พบหนทางที่ดีจนทำให้มีบ้านเป็นของตัวเองได้ในที่สุด ซึ่งผมใช้เวลาสั้นมากแบบที่ตัวเองก็คาดไม่ถึงครับ ถ้าใครชอบแบบสรุปๆ ก็ข้ามไปอ่านย่อหน้าสุดท้ายได้เลยครับ
     ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวสักหน่อยครับ ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนครับ อายุก็ใกล้ๆจะหลักสี่ล่ะแต่ยังโสดอยู่ ครอบครัวผมทั้งพ่อกับแม่นั้นท่านเสียไปนานล่ะ ทำให้ผมไม่มีภาระอะไรนอกจากเลี้ยงตัวเองกับเสียภาษี บริษัทที่ผมทำงานอยู่ จัดว่าเป็นบริษัทใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ครับ เมื่อก่อนเป็นของฝรั่ง แต่ตอนนี้เป็นของคนไทยล่ะ มีพนักงานหลายพันคน มีโบนัสทุกปีไม่เว้นแม้แต่ช่วงโควิตซึ่งก็ให้มากกว่าสองเดือนขึ้นไปนะครับ ถือว่าดีอยู่ แต่ในช่วงนั้นก็มีการลดพนักงานให้เห็นอยู่เหมือนกัน ผมทำงานที่นี่มามากกว่า 10 ปีแล้วครับ ปัจจุบันรายได้ประมาณ 70k ต่อเดือน ซี่งพอหักค่าภาษี ค่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ ประกันสังคม ผมจะเหลือสุทธิประมาณ 60k ต้นๆครับ ตามปกตินิสัยผมก็เป็นคนชอบสังสรรค์กับเพื่อนตลอดด้วยความที่ไม่มีใครต้องดูแล ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมได้พลาดสร้างหนี้ก้อนโตเอาไว้ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2018 ผมมีหนี้จากทั้งบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดรวมทั้งรถยนต์รวมกันประมาณ 1 ล้านต้นๆครับ แบ่งเป็นรถยนต์ยอดเหลือประมาณ 3 แสนบาท ที่เหลือเกือบๆ 8 แสนบาทเป็นบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด ด้วยรายได้ในตอนนั้นหักภาษี หักกองทุนสำรอง หักประกันสังคม เหลือสุทธิประมาณ 50k พอดี ต้องใช้หนี้รถยนต์ เดือนล่ะ 12,000 ใช้หนี้บัตรต่างๆรวมกันอีกประมาณ 30,000 ต่อเดือนครับ จึงเหลือใช้แค่เดือนล่ะประมาณ 8,000 - 9,000 บาทเท่านั้น ตอนนั้นรู้ตัวแล้วว่าแย่มาก เพราะค่าใช้จ่ายส่วนตัวเริ่มไม่พอ ดังนั้นจึงทำได้แค่จ่ายขั้นต่ำแล้วกดเงินในบัตรออกมาใช้วนไป เครียดครับตอนนั้น ยังดีที่โบนัสปลายปีออกมาช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้นมาบ้าง สรุป 2018-2019 ช่วงนั้นมีแต่หนี้รถยนต์ที่ลดลงทุกเดือน ส่วนหนี้บัตรลดลงบ้างจากโบนัสที่โป๊ะไป แต่ยังดีที่ผมไม่เคยเบี้ยวหนี้รึจ่ายล่าช้าเกินเดือนครับ มีบ้างบางทีที่ลืมจริงๆ แต่ก็อยู่ในเดือนจึงโดนค่าปรับไปตามระเบียบ 555 ช่วงปี 2019 - 2022 หลายคนอาจเจอผลกระทบจากสถานการณ์โควิด แต่สำหรับผมกลับกลายเป็นว่าในช่วงสองสามปีนี้โชคดีที่ ไม่ถูกลดเงินเดือนเลย โบนัสก็ได้ปกติ แต่ที่ดีมากๆคือตั้งแต่ตอนนั้นสถาบันการเงินต่างก็มีมาตรการปรับลดการจ่ายหนี้บัตรต่อเดือนลงครึ่งนึง โดยบัตรเครดิตลดจาก 10% เหลือ 5% ส่วนบัตรกดเงินสดจาก 5% เหลือ 2.5% และพักชำระหนี้รถยนต์ได้ด้วย ซึ่งผมเองก็เคยใช้สิทธิไป 4 เดือน และรอดจากช่วงนั้นมาได้เพราะสถานการณ์โควิดแท้ๆ จนในที่สุดหนี้รถยนต์หมดเมื่อปีที่แล้วครับ มาถึงช่วงต้นปีนี้ 2023 ก็เหลือแต่หนี้บัตรอยู่ประมาณสัก 6 แสนกว่าบาท โดยแบ่งเป็นบัตรเครดิต 2 ใบ รวมหนี้ประมาณ 240,000 ส่วนยอดอีก 380,000 เป็นนี้ของบัตรกดเงินสด 4 ใบครับ ผมแบ่งจ่ายขั้นต่ำให้บัตรเครดิตประมาณ 24,000 ต่อเดือน ให้บัตรกดเงินสดประมาณ 19,000 ต่อเดือน ผมจะเหลือเงินใช้จ่ายประมาณ 18,000 ต่อเดือน ถามว่าพอใช้มั้ย ก็พอนะครับ บอกเลยว่าผมแทบไม่ต้องกดบัตรมาใช้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว และบางเดือนก็เหลือเงินไปใช้หนี้บัตรบางใบเพิ่มด้วย ช่วงต้นปีที่ผ่านมาผมมองเอาไว้ว่าผมจะใช้เวลาอีก 2 ปีครึ่งที่จะเคลียร์ภาระหนี้ให้อยู่ในระดับที่พอจะกู้ซื้อบ้านราคา 3-4 ล้านสักหลังครับ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ฝันไว้ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
     วันที่ 8 พ.ค. 2023 วันนั้นจำได้ว่าผมมีคิวไปอบรมตามหลักสูตรของบริษัทที่สำนักงานใหญ่ อบรมเสร็จตอนบ่ายสามกว่าผมก็ขับรถกลับซึ่งวันนั้นผมใช้เส้นทางถนนอ่อนนุช-ลาดกระบัง ประมาณบ่ายสี่โมงเย็นผมแวะปั๊มปตท.แห่งหนึ่งเพื่อทำธุระส่วนตัว ในระหว่างเดินไปเข้าห้องน้ำผมเห็นว่ามีธนาคารออมสินอยู่ในปั๊มนี้ด้วยแต่ก็เดินเลยไปทำธุระก่อน ขากลับมาตอนเดินผ่านธนาคารอีกครั้ง ผมเห็นป้ายสีชมพูตั้งเด่นมีข้อความว่า “สินเชื่อกู้ได้สิบเท่าของเงินเดือน ผ่อนจ่ายได้ 84 เดือน” (ประมาณนี้ครับ ผมจำเป๊ะๆไม่ได้) แต่ก็ไม่ได้หยุดดูหรอกนะครับ เดินต่อไปจนถึงรถล่ะ สตาร์ทรถเปิดแอร์แล้วด้วย แต่ตอนนั้นด้วยอะไรก็ไม่รู้ดลใจ ทำให้ผมตัดสินใจดับเครื่องรถแล้วเดินเข้าธนาคารไปอย่างไว คิดในใจ... เอาว่ะ! ลองดูสักหน่อยล่ะกัน! พอเปิดประตูเข้าไปในธนาคาร วันนั้นผู้ใช้บริการบางตาครับ ผมเลยไม่ต้องรอต่อคิวเลย มีน้องผู้หญิงที่เป็นพนักงานท่าทางเหมือนพึ่งจบใหม่เดินมามาถามซึ่งเค้าได้แนะนำทุกอย่างดีมาก สรุปที่ผมเห็นป้ายหน้าธนาคาร มันคือสินเชื่อ Clean loan ครับ ซึ่งผมก็มีคุณสมบัติพอที่จะกู้ได้สิบเท่าของเงินเดือน(ไม่ต้องใช้คนค้ำ) แต่วงเงินกู้ให้ไม่เกินห้าแสนครับ ผ่อนจ่ายได้สูงสุด 84 เดือน ด้วยดอกเบี้ยประมาณ 15%ต่อปี น้องเค้าบอกถ้าผมจะกู้ให้ไปรวบรวมใบแจ้งหนี้บัตรมาให้ยอดครบ 5 แสนพร้อมหลักฐานประกอบการกู้ ผมถามน้องเค้าว่า ผมมีภาระหนี้เยอะอยู่นะ จะขอสินเชื่อนี้ผ่านเหรอ น้องเค้าก็บอกให้ลองดู วันนั้นผมก็เลยได้ถือใบสมัครสินเชื่อกลับมา พอมาถึงห้องพักตอนเย็น ก็มานั่งคิดอยู่พักนึง... สุดท้ายก็คิดว่าเอาหน่อยล่ะกันเผื่อได้ ผมก็กรอกข้อมูลในใบสมัครทั้งหมดตามที่น้องพนักงานเค้าติ๊กดินสอไว้ มาถึงตรงนี้ผมขอไกด์ให้ครับว่า ในใบสมัครสินเชื่อออมสินตัวนี้จะมีอยู่ช่องหนึ่งให้เรากรอกรายการทรัพย์สินของเราและมูลค่าด้วย ซึ่งควรต้องกรอกไม่ว่าจะมีมากมีน้อย ตอนนั้นผมกรอกเท่าที่มีจริงๆ เช่นรถยนต์, สลากออมสิน(มีแค่หลักพันครับ 555) และสุดท้ายที่ผมคิดว่ามันคือทรัพย์สินที่มีน้ำหนักเหมือนกัน คือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งตลอดสิบกว่าปีที่ทำงานผมไม่เคยทำอะไรกับยอดเงินนี้เลย ปล่อยให้มันงอกไปจนมีเกือบล้าน (ยอดส่วนตัวไม่เยอะหรอกครับ ไปเยอะที่ยอดบริษัทสมทบให้) ตอนนั้นผมใช้จดหมายจากกองทุนซึ่งนอนอยู่ในกระเป๋าแบบไม่มีประโยชน์มาหลายเดือน(รายงานยอด ณ เดือนธันวาคม 2022) แนบไปเป็นหลักฐานด้วย วันรุ่งขึ้นผมก็เอาเอกสารทั้งหมดไปทำเรื่องขอสินเชื่อ แอบอายเหมือนกันตอนที่น้องพนักงานเค้าแจ้งผมมาประมาณว่า “พี่...ยอดหนี้พี่เกินวงเงิน 5 แสนนะ ส่วนที่เหลือพี่ต้องหาจ่ายเองนะค่ะ” แล้วคือเสียงน้องเค้าดังจนคนแถวๆนั้นได้ยินกันหมด ทำเอาผมนี่ทำหน้าไม่ถูกเลย  หลังจากยื่นเอกสารกู้ไปประมาณหนึ่งเดือนจนผมแทบจะเลิกหวังล่ะ  ช่วงต้นเดือน มิ.ย. วันนั้นขณะที่ผมกำลังขับรถบนมอเตอร์เวย์กลับจากทริปพัทยา น้องพนักงานคนนั้นโทรมาบอกว่า สินเชื่อที่ผมขออนุมัติผ่านแล้วนะ ให้นัดวันเข้ามาทำสัญญาได้เลย ตอนนั้นผมนี่ดีใจจนขับรถแทบแหกโค้ง คุยนัดวันกับน้องเค้าด้วยความตื่นเต้น จนมาถึงวันเซ็นต์สัญญา ผมจำได้เลยว่าต้องเซ็นต์กันหลายที่มากๆ แต่ในระหว่างที่เซ็นต์เอกสารเหล่านั้น ผมแอบเห็นหลักฐานกองทุนสำรองที่เค้าไฮไลท์ยอดเงินรวมไว้ และมีโน๊ตอะไรสักอย่างประมาณ 2 บรรทัดซึ่งผมอ่านไม่ทัน แต่ผมว่าผมคิดถูกนะที่แนบมันไป มันน่าจะมีส่วนในการพิจารณาอยู่บ้างแหละ กลางเดือน มิ.ย. ผมไปรับเช็คที่ธนาคารออมสินแล้วก็ไปปิดยอดหนี้ที่ธนาคารต่างๆ จะบอกว่าก่อนหน้าที่ธนาคารออมสินจะออกเช็คให้เราปิดยอดหนี้ เรามีหน้าที่ต้องโทรไปหา call center ของแต่ล่ะธนาคารเพื่อถามว่าจะให้จ่าหน้าเช็คชื่ออะไร และขอตัวเลขประมาณการยอดหนี้ที่จะปิด แล้วเราจะต้องส่งข้อมูลไปให้ธนาคารออมสินเพื่อตีเช็ค ขอกำชับว่าให้ตรวจสอบชื่อที่จะสั่งจ่ายเช็คให้ดีนะครับห้ามผิด ส่วนยอดหนี้ที่ถาม call center มาอาจคลาดเคลื่อนได้นิดหน่อยไม่เป็นไร เพราะตีเช็คแต่ล่ะธนาคารขึ้นเงินใช้ระยะเวลาต่างกัน หลังจากที่ผมนำเช็คไปจ่ายหนี้ที่ธนาคารต่างๆแล้ว จริงๆต้องนำสลิปตัวจริงไปส่งให้ธนาคารออมสินนะ แต่น้องพนักงานที่สาขานั้นบอกให้ถ่ายรูปสลิปแล้วส่งให้เค้าทางไลน์ก็พอ แต่ผมก็ยังเก็บสลิปตัวจริงไว้จนถึงทุกวันนี้แหละ กลัวจะมาถามหาทีหลัง 555
     สรุปว่ายอดหนี้ผมไม่ได้ลดลงหรอกครับ แต่ผมได้ทำการย้ายหนี้จากบัตรเครดิตทั้งหมดกับบัตรกดเงินสดส่วนใหญ่ไปไว้ที่ออมสินแทนครับ โดยผมมีภาระต้องผ่อนออมสินเดือนล่ะ 9,700 บาททั้งหมด 84 เดือน ส่วนหนี้บัตรกดเงินสดอีกประมาณ 110,000 ที่ผมยังต้องเคลียร์เอง ผมตั้งใจไว้ว่าผมจะผ่อนเดือนล่ะ 30,000 บาทแทนการจ่ายขั้นต่ำเพื่อให้หนี้มันหมดโดยเร็ว ซึ่งผมก็พึ่งทำไปได้แค่เดือนเดียว คือต้นเดือน ก.ค. จ่ายออมสินไป 10,000 บาท จ่ายบัตรกดเงินสดไป 30,000 บาท เหลือไว้ใช้จ่ายประมาณ 21,000 บาทซึ่งตอนนั้นก็เหลือๆครับ
     ปลายเดือน ก.ค. วันนั้นไปนั่งสังสรรค์ที่บ้านเพื่อน เราชนแก้วกันไปสักพักใหญ่ๆ ก็มีเพี่อนอีกคนหนึ่งตามมาสมทบ ซึ่งไอ้เพื่อนคนนี้แหละครับ มันคุยว่าพึ่งไปดูบ้านมา บอกว่าจะซื้อเร็วๆนี้ล่ะ แล้วมันยื่นเอกสารการจองบ้านให้ผมดูแล้วถามว่า สนใจรึเปล่า ตอนนั้นก็สนใจอยู่นะ แต่ในใจคิดว่ามันยังไม่น่าใช่เวลาของผม ซึ่งผมก็บอกมันตรงๆ และแล้ววันต่อมาเพื่อนคนนั้นมันก็ขอแกมบังครับ ลากผมไปดูบ้านกับมันจนได้ ซึ่งเป็นโครงการแถวๆ ฉลองกรุงครับ ระหว่างที่ดูบ้านอยู่ เซลล์เดินมาทักผมว่า “พี่ไม่สนใจบ้างเหรอค่ะ?” ผมก็ตอบไปตามตรงว่า จริงๆผมสนใจอยากมีบ้านเหมือนกันนะ แต่พึ่งเคลียร์ภาระไปเมื่อเดือนที่แล้วเอง ขอสินเชื่อไปก็ไม่ผ่านหรอกเสียเวลาครับ เซลล์คนนั้นถามผมเพิ่มอีกหลายอย่าง เช่นติดเครดิตบูโรมั้ย จ่ายล่าช้ารึเปล่า แล้วมีภาระหนี้ต่อเดือนอยู่เท่าไหร่ ประมาณนั้น หลังจากผมแจ้งข้อมูลทั้งหมดให้เค้าฟัง เค้าบอกผมว่า จริงๆผมก็น่าจะทำเรื่องกู้ไว้ได้เลยนะ เพราะภาระหนี้ตามการคำนวณของเค้า (ตอนนั้นเซลล์กดเครื่องคิดเลขให้ดู) ผมมีภาระหนี้ต่อเดือน คือ หนี้ออมสิน 9,700 บาท บวกกับบัตรกดเงินสดยอดประมาณ 80,000 บาทคิดที่ 5% ต่อเดือนเท่ากับ 4,000 บาท ดังนั้นภาระหนี้คือ 13,700 บาท  และถ้าดูยอดสุทธิจากรายได้ที่เหลือหลังค่าใช้จ่าย 62,000 บาท DSR = 22% หลังจากที่ฟังเซลล์ ผมถามต่อว่าแล้วยอดหนี้เค้าไม่ดูเหรอ ผมมีหนี้รวม เกือบๆ 6 แสนเลยนะ เค้าบอกไม่นะ หลักๆจะดูจากความสามารถในการใช้หนี้มากกว่า ซึ่งการปิดหนี้ที่ผมทำไปเมื่อกลางเดือน มิ.ย.จะปรากฎในเครดิตบูโรประมาณ 30-45 วันหลังจากปิดยอด เค้าให้ผมลองคิดดูใหม่ ก็คือจบการคุยกันลงตรงนี้ ผมไม่ได้ถามอะไรเค้าต่อครับ เพราะคิดว่าเซลล์ก็แค่ต้องการอยากจะขายบ้านแหละมั้ง จบจากโครงการแรกเกือบเที่ยงแวะทานข้าว จากนั้นตอนบ่ายๆเพื่อนผมมันก็พาตระเวณดูบ้านอีกหลายโครงการ ไล่ตั้งแต่ฉลองกรุง ไปจนถึงเขตสมุทรปราการและฉะเชิงเทรา แต่ทุกโครงการที่ไปผมก็ได้ข้อมูลที่คล้ายๆกันจากเซลล์ทุกๆคนที่คุยด้วย เค้าพูดเหมือนกับเซลล์คนแรกที่ผมเจอเมื่อตอนเช้า ผมถามเพื่อนอยู่นะว่าไหนบอกว่าจองไปแล้ว แล้วจะไปดูเพิ่มหาพระแสงอะไรอีก มันบอกจองไปแล้วจริงๆ แต่แค่ 999 บาท แล้วมันก็เอาใบเสร็จมาโชว์ให้ดู เออจริงของมัน บ้านโครงการนี้ค่าจองบ้านถูกกว่าค่าจองรถอีกนะ 555 สรุปที่มันจองไว้เพราะเห็นว่าโปรดี มีส่วนลดของแถมเยอะ แต่ทำเลโครงการอยู่ค่อนข้างลึกจากถนนเส้นหลัก เลยอยากจะหาโครงการอื่นมาเป็นตัวเลือกเพิ่มเติม ซึ่งมันก็ทำให้ผมได้มาเจอบ้านที่ผมถูกใจจนได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่