เป็นหมอฟันมาได้ 3 ปีแล้ว รู้สึกอยากเรียนต่อ ป.ตรี ดนตรี

สวัสดีค่ะ เราเป็นหมอฟันมาได้ 3 ปีแล้ว ตอนนี้อายุ 27 ปี (ปลายปีนี้จะ 28 แล้ว)  ทำงานอยู่ทั้งภาครัฐ และรับงาน part-time ตามคลินิกเอกชนด้วย รายได้ถือว่าดีมาก อยู่สบาย มีเงินเหลือเก็บ ไม่มีหนี้สิน ปจบ.อยู่บ้านพ่อแม่ (จขกท ยังไม่มีแฟน ไม่มีลูกค่ะ) มีรถขับ มี work-life balance ดี มีเวลาพักผ่อน ออกกำลังกายและทำงานอดิเรกที่ชอบ คือชีวิตดูลงตัว มีความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว แต่เราไม่มีความสุขในการทำงานเป็นทันตแพทย์สักเท่าไหร่ ถ้าจะให้ทำก็พอทำได้ แต่เราไม่มี passion ในงานนี้ ความรู้สึกอยากเรียนต่อในระบบ(ในมหาวิทยาลัย)คือไม่มีเลย รู้สึกไม่อยากกลับไปเหนื่อย เครียด กดดันอีกครั้ง (แต่เรา ok ที่จะ take course สั้นๆนะคะ เพื่อเพิ่มความรู้ แต่ถ้าถึงขั้นให้เรียนต่อเฉพาะทางเป็นเวลา 3 ปี คือไม่อยากเลย) ตอนนี้เพื่อนๆส่วนใหญ่รุ่นเดียวกันเรียนต่อกันเยอะมากทั้งในระบบและนอกระบบ และโดยนิสัยแล้ว เราไม่ชอบเอาใจใคร ไม่ใช่คนพูดเพราะ เวลาทำคนไข้เลยรู้สึกฝืนตัวเองพอสมควร และด้วยตัวงานเป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียด และเราเป็นคนเครียดง่าย ถ้างานไหนเราทำออกมาไม่ได้อย่างที่ตัวเองคิดไว้ก็จะเก็บไปคิดอยู่สักพัก ว่าทำยังไงถึงจะดีขึ้น ยิ่งเวลาเจอคนไข้ที่เยอะๆ (เยอะที่ไม่ได้ถึงจำนวนเยอะ) เราจะท้อใจมากเลยค่ะ บางทีตัวงานที่ยาก ยังไม่ทำให้เราท้อได้เท่ากับการที่คนไข้ไม่พยายามจะเข้าใจเรา (เคยถอนฟันแล้วรากหัก แล้วตอนนั้นคนไข้ไม่พร้อมที่จะเข้าใจอะไรเราเลย ตอนนั้นเราท้อมากๆ ทั้งๆที่เราตั้งใจทำงานมาก แต่คนไข้ไม่รับรู้ถึงความตั้งใจของเราเลย) แต่ก็ไม่บ่อยหรอกที่จะได้เจอคนไข้แบบนี้ แต่เจอทีคือบั่นทอนจิตใจเรามากๆ หรือเราอาจจะยัง mature ไม่พอหรือเปล่า ที่จะต้องดีลกับคนที่มีนิสัยแบบนี้

เราชอบดนตรีมาโดยตลอดค่ะ เราเรียนไวโอลินมาตั้งแต่อายุ 11 ขวบ เราเป็นคนขอแม่เรียนเอง และเราหยิบไวโอลินขึ้นมาซ้อมเองตลอดๆ โดยที่ไม่ตัองมีใครคอยบอก เวลาเราซ้อม/เล่น เวลาจะผ่านไปเร็วมาก เรารู้สึกสนุกที่ได้เรียนดนตรี ถึงแม้เวลาเราเจออะไรที่เรายังทำไม่ได้ แต่เรากลับรู้สึกว่ามันท้าทาย เราชอบดูนักไวโอลิน/เชลโล่ระดับโลกในยูทูป ดูแล้วรู้สึกมีแรงบันดาลใจ อยากเล่นได้ดีอย่างเขา แต่โชคไม่ดีหน่อย ที่เราเริ่มเรียนในที่ที่ อ.ไม่ได้จบเอกไวโอลินมาโดยตรงและค่อนข้างเลี้ยงไข้ ตอนเราเริ่มเรียน เราสีจนจบเพลงได้ตั้งแต่ต้นคาบแต่อย่างมากก็จะได้เรียนแค่เพลงละคาบอยู่ดี และพอจบเล่มแรก อ.ก็ดันเอาเล่มแรกของอีกหลักสูตรนึงมาให้เราเรียนอีก เสียเวลาไปสองปี จนกระทั่งแม่ของน้องที่รู้จักแนะนำ อ.อีกคนให้ ซึ่งจบเอกไวโอลินมาโดยตรงตอนเราเรียนกับ อ.คนนี้ รู้สึกพัฒนาขึ้นเร็วมาก ภายในเวลาแค่ไม่กี่ปี จนกระทั่งใกล้ช่วงสอบเข้ามหาลัย เราเลิกเรียนไวโอลินไป ในตอนนั้นเราจึงไม่ได้คิดถึงการเรียนต่อดนตรีในระดับมหาลัยเลย ประกอบกับพ่อแม่เป็นข้าราชการทั้งคู่ การเรียนดนตรีในมหาลัยใช้เงินเยอะมาก ทางเลือกนี้จึงเป็นไปไม่ได้เลยในตอนนั้น

ช่วงที่เราเรียนทันตะ ตั้งแต่ปี 3 เป็นต้นมา เรารู้สึกอยากลาออกมาโดยตลอด เพราะมันไม่ใช่ทางของเรา แต่เราปรึกษากับผู้ใหญ่หลายๆคน ต่างก็แนะนำว่า ให้อดทนเรียนให้จบ พอเรียนจบ เราจะอยู่ในจุดที่มีทางเลือก ถึงเวลานั้นเราอยากจะทำอะไรก็ทำได้ ในช่วงที่เราเรียนทันตะ เรากลับมาเรียนไวโอลินกับ อ.คนเดิมบ้างในช่วงปิดเทอม และเวลาเราเครียดจากการเรียน เราจะกลับมาเล่น/ซ้อมไวโอลิน ถ้าไม่ได้เล่นไวโอลินในระหว่างเรียน เราอาจเป็นโรคซึมเศร้าไปแล้วก็ได้ ตอนเรียนจบมาจับฉลากใช้ทุนได้ไปอยู่อีสานสองปี ระหว่างนี้หาที่ครูสอนไวโอลินในจังหวัดที่เราไปทำงานอยู่ไม่ได้เลย จนกระทั่งได้ย้ายกลับบ้าน มีโอกาสได้กลับมาเรียนดนตรีอีกครั้งเราก็ยังชอบมันเหมือนเดิม และรู้สึกว่าชีวิตตัวเองยังไม่ completed ถ้ายังไม่ได้เรียนดนตรีอย่างจริงจัง เราอยากจะเล่นมันได้ดีๆ อยากลองไปอยู่ในที่ที่มีคนที่มีความชอบเหมือนกันกับเราอยู่รวมกันเยอะๆ อยากลองเล่นรวมวงกับคนอื่นๆ อยากใช้เวลาในการเรียนรู้มันอย่างเต็มที่ เราคิดว่า การได้เรียนดนตรีในมหาลัย คงเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาจากที่ไหนอีก ลำพังการเรียนตัวต่อตัวกับ อ.เก่งๆ ก็คงไม่ได้รับประสบการณ์ในส่วนนี้

เรายังไม่มั่นใจว่า ถ้าเรียนต่อ ปตรี ในมหาลัยจบแล้วจะทำอะไรต่อกับปริญญาใบใหม่นี้ แต่เราก็รู้สึกว่า อยากให้เด็กต่างจังหวัด(จขกท เป็นคน ตจว) มีโอกาสได้เรียนดนตรีอย่างมีคุณภาพ มีพื้นฐานในการเล่นที่ถูกต้องโดยที่ไม่ต้องเข้าไปเรียนถึงใน กทม 

แต่อีกใจหนึ่งเรารู้สึกว่า การกลับไปเรียน ป ตรี ดนตรีเป็นการทำให้ตัวเองกลับไปลำบากหรือเปล่า ทั้งๆที่ตอนนี้ชีวิตเราก็ลงตัวอยู่แล้ว มีงาน มีเงิน ถ้าเราไปเรียนดนตรีจริงๆ เราต้องลาออกจากราชการ + ทำงานคลินิก part time ช่วงเย็นวันธรรมดา/ ส-อา บ้าง เพื่อให้มีเงินไว้ใช้จ่ายในแต่ละเดือน ค่าเรียน ป ตรีดนตรีของมหาลัยที่เราอยากเรียน อยู่ที่ประมาณ 7 แสนบาท/4 ปี (ตอนนี้ จขกท มีเงินเก็บประมาณ 1.4 ล้านบาท) และพ่อแม่เป็นข้าราชการทั้งคู่ โดยที่พ่อจะเกษียณปีนี้ ส่วนแม่ก็กำลังจะ early retire เรากลัวจะทำให้พ่อแม่รู้สึกเป็นห่วง เพราะเราจะมีรายได้ที่ไม่แน่นอนไปอีกหลายปี และถ้าเราไปเรียนต่อ ปตรี ตอนนี้ เราต้องไปเรียนรวมกับเด็กอายุ 18 ซึ่งเราอายุมากกว่าเขาประมาณ 10 ปี+ กลัวจะเข้ากับน้องๆไม่ได้

ทุกคนคิดว่า เราควรที่จะเล่นดนตรีเป็นงานอดิเรกต่อไป หรือไปเรียนต่อ ปตรี ดนตรีจริงๆจังๆไปเลยดีคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่