มาเล่าสู่กันฟัง ในคอมเมนต์ด้าล่างต่อแล้วนัครับ

เมื่อผมชมแฟนที่กำลังแต่งหน้าว่าสวยแล้ว แต่เทอตอบกลับมาว่า “ใช่ ร่างนี้มันสวย!!!”

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวของผมเอง เมื่อประมาณปี 2542-43 ผ่านมา 23-24 ปีแล้ว แต่ทุกอย่างยังจำได้ดี มันเป็นเรื่องลึกลับ สยอง และโหด มัน ฮา (เนื่องจากอาชีพและตัวผมเอง) ตามผมมาครับ .... 
ผมรับราชการตำรวจยศขณะนั้น ร.ต.ท. เรียกผมว่า "หมวดเคน"แล้วกันครับ พึ่งเป็นตำรวจใหม่ๆได้ไม่กี่ปี และมีแฟนทำงานอยู่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง สมมติเธอชื่อ "แนน"  แฟนผมพักอยู่อพาร์ทเมนต์แถวใกล้ๆ ม.ศรีปทุม ใกล้ๆ วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ผมมักจะแวะไปหาเธอบ่อยๆ ไปเที่ยว ไปทานข้าวกัน  มีอยู่วันหนึ่ง ผมไปหาเธอตอนหัวค่ำ ปกติเมื่อเวลาเข้าห้องผมก็จะถอดอุปกรณ์ต่างๆ เช่น สร้อยพระ นาฬิกา กุญแจรถ รวมทั้งพวกปืน และกุญแจมือไว้หลังตู้เย็น ซึ่งอยู่ตรงข้ามเตียงนอน พอผมจัดการพวกอุปกรณ์ต่างๆออกไปหมดแล้ว ผมก็ขึ้นมานอนเล่นกับแฟนบนเตียงนอนเหมือนทุกครั้ง แต่... แต่ครั้งนี้แฟนผมมีอาการผิดปกติ ดูลุกลี้ลุกลนแปลกๆ สักพักเธอก็สะดุ้งแล้วชี้ไปที่ตู้เย็นว่า มีเงาดำๆ อยู่หลังตู้เย็น!!  ผมก็มองไปตามที่มือชี้ ก็ไม่เห็นมีอะไร เลยบอกไปว่า น่าจะตาฝาด ไม่เห็นมีอะไรเลย พูดให้เธอไม่กลัว แต่เธอก็มองขึ้นไปเพดานบ้าง มองไปหลังตู้เย็นบ้างแบบกลัวๆ ผมก็เลยลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เย็น ไปดูสิว่ามีอะไรหรือป่าว ก็ไม่เห็นมีอะไร เพื่อความสบายใจผมก็หยิบสร้อยพระของผมซึ่งมีพระอยู่ 5 องค์จะเอามาไว้ที่หัวเตียง ปรากฏว่าแฟนผมตะโกนบอกว่า "ไม่ต้องเอาพระมานะ!!??"  ผมก็เริ่มแปลกใจหล่ะแต่ก็ไม่คิดอะไร เลยไว้หลังตู้เย็นตามเดิม  จากนั้นก็เดินกลับไปนอนเล่นบนเตียง  ซึ่งปกติเราอยู่กับแฟน ก็จะหอมแก้มแฟนหยอกล้อกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วเวลาเราอยู่ด้วยกัน  แต่ครั้งนี้พอผมชันตัวขึ้นมาจะหอมแก้มเธอ เธอจ้องมองผมเขม็ง ด้วยแววตาที่ดุดัน และเธอเอามือมาค้ำคอผมไว้ไม่ให้ผมโน้มลงไปหาเธอ กึ่งค้ำกึ่งบีบคอ เจอแบบนี้ผมก็ตกใจ เลยบอกไปว่า "แนน  นี่พี่นะ"  เธอก็จ้องผมอยู่อย่างนั้น ผมเลยปัดมือเธอออกจากคอของผม  รู้สึกว่าบรรยากาศไม่ดีหล่ะ ผมเลยเดินไปหยิบพระจะเอาใส่ที่คอเธอ แฟนผมพยายามปัดพระออก บอกว่าเอาออกไป อย่าเอามาๆ พอมีจังหวะผมก็สวมสร้อยพระที่คอเธอได้  พอสวมสร้อยพระเท่านั้น เธอร้องกรี๊ดดดดดังลั่นเลย พร้อมเสียงที่ดุว่า "เอาพระออกไป!!! "  ผมก็ไม่เอาออก แต่ดูเหมือนว่าแรงเธอจะมากขึ้น จะดิ้นรนเอาพระออกให้ได้ ไอ้เราเป็นตร. ถ้าจับคนร้ายได้ก็ต้องใส่กุญแจมือ เพื่อควบคุมตัวและกันต่อสู้ขัดขืน  พอคราวนี้คิดว่าแฟนเราเจอผีเข้าแน่ๆ จำได้ว่าเคยดูหนังไทยและเคยได้ยินมาว่า ถ้าคนถูกผีเข้า จะมีแรงมากกว่าปกติ จะเอาไม่อยู่  อย่ากระนั้นเลยก็ใช้ยุทธวิธีตร. จับแฟนนอนคว่ำหน้าแล้วเอามือไพล่หลัง จากนั้นจับใส่กุญแจมือไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย ^^!   เธอก็ดิ้นใหญ่และตะโกนว่า "ปล่อยกูๆๆ  เอาพระออกไปๆ"  คราวนี้คิดว่าแฟนโดนผีเข้าแน่ๆ  เลยสวดมนต์ทุกบทเลย เริ่มจากนะโม 3 จบ ไตรสรณคม ต่อด้วยคาถาชินบัญชร และอีกหลายคาถาเลยที่จำได้ ระหว่างนั้นเราก็ใช้ยุทธวิธีเจรจาต่อรองตามที่ได้เล่าเรียนมา เอาน้ำเย็นเข้าลูบ บอกว่า "อย่ามาสิงแฟนผมเลย เธอเป็นคนดี ถ้าทำอะไรล่วงเกินไปก็ขอโทษด้วย แล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้นะ"  ดูเหมือนจะเบาลงจะซอฟลง แต่แววตายังจ้องเขม็งมายังผมอยู่  สักพักเธอก็พูดเหมือนเดิมว่า "ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะๆ ถ้าไม่ปล่อยเดี๋ยวตาย!!!"  ขนาดสวดมนต์ไปตั้งหลายบท สร้อยพระยังใส่อยู่ที่คอยังเป็นขนาดนี้เลย และโห... ข่มขู่เจ้าพนักงานเข้าไปอีก ผมก็เริ่มยั๊วะเลยพูดไปว่า "กูไม่ปล่อย เดี๋ยวจะเอาไปให้พระรดน้ำมนต์ไล่ผี"  เท่านั้นแหละ ดิ้นขัดขืนใหญ่เลย  ปรากฏว่ามีน้องข้างห้องเป็นสาวสองเป็นนศ. มหา'ลัยแถวนั้น ได้ยินเสียงเอะอะเลยมาเคะห้องพร้อมกับถามว่า "เป็นอะไรกันหรือป่าวค่ะพี่" ผมเลยรีบไปเปิดประตูและให้น้องนศ. ช่วยตามรปภ. ให้ด้วย สักครู่ทั่งน้องนศ.และรปภ. ขึ้นมาที่ห้อง ผมก็เล่าให้ฟัง  ผมบอกว่าแบบนี้ต้องพาไปหาพระที่วัดหล่ะ แถวนี้มีวัดไหนบ้างที่ใกล้ที่สุด  รปภ.บอกว่า แถวนี้ก็ต้องวัดพระศรีฯ บางเขนใกล้ที่สุด แต่เวลาตอนนั้นน่าจะประมาณสี่ทุ่มได้แล้ว  ผมก็เลยตัดสินใจพาแฟนไปที่วัดพระศรีฯ โดยขอให้น้องนศ. และรปภ. ช่วยนั่งประกบแฟนผมไปด้วยที่เบาะหลัง ไม่งั้นถ้าไปกัน 2 คนในรถ เดี๋ยวอาจเกิดอุบัติเหตุได้  พอจะเอาแฟนลงมาจากห้อง แฟนพยายามขัดขืนไม่ยอมไป และ "บอกกูไม่ไปๆๆ เดี๋ยวกูจะเอาตาย!!!"  ผมก็เร่ิ่มยั๊วะเพราะสวดมนต์ก็แล้ว ใส่สร้อยพระก็แล้ว พูดดีก็แล้ว ยังไม่ยอมออกอีก แถมมาขู่อีก คราวนี้ผมก็เริ่มโต้เถึยงกับผี แถมกวนประสาทผีอีก ผมตอบไปว่า "กูคนดี กูไม่ตายง่ายๆหรอกโว๊ย" ^_* คราวนี้แฟนผมยิ่งฮึดฮัดใหญ่  พอเอาแฟนมาขึ้นรถได้แบบทุลักทุเล โดยผมเป็นคนขับ แฟนผมนั่งเบาะหลังโดยใส่กุญแจมือไพล่หลังไว้ และน้องนศ.และรปภ. นั่งประกบข้างซ้าย-ขวา บรรยากาศเหมือนพาผู้ต้องหาไปยังไงยังงั้นเลยครับ พอขับรถออกไปได้ ผมก็พยายามมองไปที่กระจกหลังตลอดเพื่อเช็คสถานการณ์ ใจก็คิดกลัวๆ กลัวเธอจะเอื้อมมือมาบีบคอ หรือกระโดดงับคอผมจากด้านหลัง แต่ยังดีที่ใส่กุญแจมือไว้ พอมองกระจกหลังเธอก็จ้องผมแบบจะกินเลือดกินเนื้อ พร้อมพูดว่า "ปล่อยกูๆๆ กูไม่ไปๆ เดี๋ยวกูเอาตาย จะลองกับกูใช่มั้ย"  ผมก็หมดแก๊กหล่ะไม่รู้จะทำยังไง ใจหนึ่งก็กลัวๆ เพราะไม่เคยเจอผี แต่ก็ทำใจดีสู้ผี ใจหนึ่งก็เริ่มเครียดหล่ะ ผมเลยถามไปว่า "จ้องกูทำไม กูไม่กลัวหรอก"  ไม่รู้จะทำยังไงหล่ะ ยิ้มเล่นจ้องผมอยู่อย่างนั้นตลอดทาง ผมเลยแลบลิ้นใส่ผีเลย โห... คราวนี้ยิ่งฮึดฮัดใหญ่เลย กลายเป็นผียิ้มยั๊วะจัดเลย >,<
          พอขับรถมาถึงวัดพระศรีฯ ช่วงสี่ทุ่มกว่าบรรยากาศในวัดสมัยนั้นมืดและวังเวงมากกกกก และหมาวัดเจ้ากรรมพร้อมใจหอนกันเป็นทอดๆ เหมือนในหนังผีที่เคยดูเลย  โชคดีไปเจอพระหนุ่มๆรูปหนึ่ง พระท่านเลยบอกว่าแบบนี้ต้องไปหาหลวงตาศร  ผมจำชื่อหลวงตาได้แม่นเลยครับ  แต่กุฏิหลวงตาอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ถ้าผู้อ่านเคยไปวัดพระศรีฯ บางเขนจะรู้ว่า วัดมี 2 ฝั่ง ฝั่งที่มีเจดีย์และมีคลองคั่นกลางกับฝั่งที่มีศาลาสวดพระอภิธรรมศพ  รถผมจอดคนละฝั่งกับกุฏิหลวงตา เลยต้องจอดรถแล้วข้ามสะพานไม้ไป ซึ่งประตูระหว่างสะพานปิดแล้ว เลยต้องปีนลัดเลาะไปข้างๆสะพาน ซึ่งสมัยน้ันมืดมากกก บรรยากาศน่ากลัวมาก temple dog ก็หอนกันน่าดู    (ไว้มาเล่าต่อนะครับ ใครคิดว่าจะจบหล่ะ เพราะจะเจอหลวงตาหล่ะ คิดผิดครับ ไว้มาเล่าสู่กันฟังใหม่ครับ...)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่