ไม่มีความสุขกับการได้รับทุน? ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องดี..

สวัสดีค่ะ เราอยากจะมาถามความคิดเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ผ่านเข้ามาอ่านกระทู้นี้ค่ะว่ามีความเห็นยังไง
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อปี64 เราได้มีโอกาสรู้จักทุนการศึกษาทุนหนึ่ง(เราขอสมมุติชื่อเป็นทุนA นะคะ) ผ่านอาจารย์N จากวิทยาลัยการอาชีพประจำจังหวัดที่เข้ามาแนะแนวเชิญชวนนักเรียนจบใหม่(จบใหม่ในที่นี่คือนักเรียนม.3) ให้เข้าศึกษาต่อในแผนกเทคนิคคอมฯ เป็นแผนกที่อาจารย์Nคนนี้เป็นหัวหน้าแผนกและคนที่คอยควบคุมดุแลทุนA ในวิลัยแห่งนี้ซึ่งในขณะนั้นเราไม่รู้
ท่านมากับพี่ๆนักศึกษาปวส. 2 คนซึ่งทุกอย่างก็เป็นปกติคือร่ายข้อดีของแผนกตัวเองให้ฟังตามที่โรงเรียนอื่นหรือแผนกอื่นพูดกันและมันก็น่าสนใจดีเพราะคิดว่าอนาคตเทคโนโลยีพวกนี้มีอิทธิพลมากๆ แต่ทว่าเรามาสะดุดตรงที่อาจารย์N บอกว่าแผนกของท่านมีทุนA ซึ่งเป็นทุนการศึกษาที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนให้เดือนละ6500 บาทสำหรับปวช.และปวส.7500 บาทแต่ต้องเซ็นสัญญา5 ปีเท่านั้นนั่นเท่ากับว่านักเรียนที่สัญญาทุนนี้ไม่สามารถเลือกได้ว่าตนจะเว็นสัญญากี่ปี และที่สำคัญในการสัญญาระบุไว้ว่าคุณต้องเรียนปวช.3ปีและปวส.อีก2 ปีให้จบ หากเรียนไม่จบหรือออกกลางคั่นคุณต้องจ่ายเงินทั้งหมดที่ทุนA ให้ไป ในตอนนั้นเราสนใจมากเพราะที่บ้านเองก็ไม่ได้ร่ำรวยค่อนไปทางลำบากด้วยซ้ำ ประจวบกับคิดว่ายังไงตัวเองก็เรียนจบครบ5 ปีแน่นอนเพราะตัวเราเองก็ไม่ใช่เหลวไหล เราจึงสมัครทุนนี้ไปพร้อมเพื่อน 1 คน
ผลสรุปคือเราได้ทุนนี้คนเดียวส่วนเพื่อไม่ได้แต่เพื่อก็ยังเรียนต่อในแผนกเดียวกัน และอาจารยืท่านนั้นก็นัดนักศึกษาที่ได้ทุนAไปเซ็นสัญญา5 ปีซึ่งมีนักเรียนจากโรงเรียนอื่นเยอะมากเป็นร้อยคน(ต้องบอกก่อนว่าเราปรึกษาที่บ้านแล้วและที่บ้านก็ไม่ห้ามเพราะอยากปล่อยอิสระในการเรียนต่อและถ้ามีทุนก็ช่วยแบ่งเบาภาระลงมาก) 
พอขึ้นปวช.1 เราก็มีความสุขดีเพราะเจอเพื่อนใหม่ซึ่งเพื่อนเราทั้ง3 คนไม่ได้ทุนAสักคน เราเช่าหอหน้าวิลัยอยู่เพราะบ้านห่างจากวิลัย50 กว่ากิโลและที่สำคัญเราไม่มอเตอร์ไซต์เทียวไปเทียวมา ช่วงแรกๆ หัวหน้าแผนก(หัวหน้าแผนกคืออาจารย์N)สอนวิธีจัดการเงิน6500 คือแบ่งออม2000 ให้ที่บ้าน500 และใช้จ่าย4000 แบ่งใช้อาทิตย์ละ1000 โดยต้องกรอกรายละเอียดการใช้เงินรายรับรายจ่ายแต่ละอาทิตย์ทุกๆ วันเสาร์ล่าช้าไม่เกินสามทุ่มของวันๆ นั้นและบังคับให้ทำจิตอาสาเดือนละ2 ครั้ง ครั้งที่1 วันที่1-15 ส่วนครั้งที่2 วันที่15-30/31 หากใครล่าช้าหรือไม่กรอกต้องโดนปรับครั้งละ100 บาท
ผ่านมาประมาณสองเดือน เราเรียนหนักมากหนักว่าแผนกอื่น หัวหน้าแผนกเริ่มใช้กฏที่ตั้งขึ้นเองเพื่อบังคับเด็กทุนโดยเฉพาะทั้งที่ปากบอกว่านักเรียนธรรมดาและนักเรียนทุนมีค่าเท่ากัน เช่น ห้ามดื่มสุรา ห้ามมีแฟน แต่เราก็เข้าใจว่าท่านตั้งกฏขึ้นมาเพื่อควบคุมให้เด็กทุนอยู่ในร่องในรอยและเริ่มแสดงให้เห็นการกระทำของคนมีอีโก้สูงให้เห็นจนอาจารย์คนอื่นๆ ในแผนกต้องคล้อยตามซึ่งตอนหลังๆมาอาจารย์กลับกลายเป็นเห็นด้วยทุกอย่าง เช่น หากมีนักศึกษาหรืออาจารย์คนไหนมีความเห็นต่างท่านจะถามหน้านิ่งว่าทำไม? ทำไมถึงไม่เห็นด้วย? มันไม่ดีตรงไหน? วลีสามคำนี้จะมาพร้อมกันประจำ และเมื่อแย้งไปท่านก็รับฟังซึ่งเหมือนจะดีนะแต่สุดท้ายก็ไม่ได้นำความเห็นค้านไปปรับใช้และใช้ความคิดตัวเอง มันทำให้เราเริ่มอึดอัด เริ่มลังเลว่าเราคิดผิดหรือเปล่าที่เข้ามาแผนกนี้
หลังจากนั้นไม่นานโควิดก็เข้ามาทำให้เราได้เรียนออนไลน์เกือบทั้งเทอมซึ่งมันดีกว่าเรียนที่วิลัยมากๆ เพราะไม่โดนบังคับ มาปวช.1เทอม2 โควิดมาอีกละลอกทำให้ต้องเรียนออนไลน์เหมือนเดิม นั่นจึงทำให้เราสบายใจมากๆ
และกฏที่เราว่ามันบ้าก็มาเริ่มขึ้นตอนช.2 ซึ่งในขณะนั้นก็ยังมีโควิดอยู่แต่ว่าเริ่มไม่รุนแรงแล้วแต่ทางวิลัยก้ยังเฝ้าระวัง เลยไม่ให้นักศึกษาทุกคนเข้าแถวเพื่อเว้นระยะห่างเพราะทั้งวิลัยมีนักศึกษาร่วมสองพันคน แต่แผนกเราไม่ทำตามจ้ะ หัวหน้าแผนกสั่งนักเรียนในแผนกตนมาเข้าแถวหน้าตึกเรียนทุกวัน(ร่วมทุกชั้นประมาน300-400 คน) เด็กทุนคนไหนไม่เข้าปรับ100 บาทส่วนนักศึกษาธรรมดาคุณไม่เข้าก็แล้วแต่ เข้าทุกวัน วันไหนร้องเพลงไม่ดังให้ร้องใหม่ สอดมนต์ไม่ดังให้สอดใหม่ แล้วก็ขึ้นปราศรัยถึงนู้นนี่นั้น บอกนักเรียนให้เอาประเทศญี่ปุ่นเป็นแบบอย่างเพราะพวกเขามีระเบียบวินัย เคารพผู้ใหญ่ เป็นเด็กทุนต้องกล้าแสดงออก มีน้ำใจ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความเป็นผู้นำ บลาๆ ซึ่งเราคิดว่ามันน่าเบื่อและก็ไม่อยากทำในสิ่งที่คนอื่นในวิลัยเขาไม่ทำกันแต่ก็ขัดไม่ได้ ไม่มาไม่ได้เพราะกลัวโดนหักตังค์
นั่นยังไม่พอ แผนกเราปรับเปลี่ยนตารางเรียนที่ทางศธ02 ออกให้มัน แต่ก็ไม่เชิงปรับเปลี่ยนเพราะวันไหนที่มีชม.ว่าง หัวหน้าแผนกจะสั่งให้อาจารย์แทรกวิชาในแผนกลงไปในชม.นั้น และให้ว่างเพียงแค่ช่วงเที่ยง
ให้นักศึกษาที่แบ่งเป็นสองห้องคือห้อง1กับ2 ร่วมสามสิบเกือบสี่สิบคนเรียนวิชาสามัญร่วมกัน ด้วยจำนวนคนที่มากห้องจึงแออัด บางคนได้นั่งพื้นเรียนเพราะโต๊ะไม่พอ ครูที่สอนสามัญเห็นใจพวกเรามากแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะโดนหัวหน้าแผนกเราสั่งมาแบบนั้น
ชอบให้นักเรียนทุนเข้าร่วมกิจกรรมในวันหยุดเสาร์อาทิตย์
ชอบบอกว่าปวดหัวไมเกรนแล้วไปนั่ง/นอนดูโทรทัศน์ในห้องพักครูเป็นการพักผ่อน
ชอบบอกให้คิดนอกกรอบแต่บังคับให้เราก็ในครอบ
บังคับให้นักเรียนชายโกนหนวดโดยหัวหน้าท่านนี้บอกว่า"ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ก็ไปออกทุน"ร้องไห้แต่เพื่อเราคนนั้นหนวดไม่ได้ยาวขนาดไปเคราเพราะมันไม่ใช่คนชอบไว้หนวดแค่ยังไม่โกน)
ชอบชิงดีชิงเด่น ซ้อมนร.ที่จะไปแข่งขันวิชาการแบบหนัก บอกว่าไม่ต้องเครียดแต่ต้องได้ที่1 เมื่อชนะได้รางวัลมาจะต้องรับหน้าเสาธงต่อหน้านร.และครูแผนกอื่นเท่านั้น
และมีเรื่องอื่นอีกสารพัด แต่ก็ใช่ว่าอาจารย์ท่านนี้จะไม่มีข้อดี มันคงมีแต่ความิดเราอาจจะเข้าไปถึงความคิดของอาจารย์กระมัง ซึ่งหากถามว่าทำไมผอ.หรือรองผอ.ไม่ห้ามหรือตักเตือน เพราะแผนกเราสร้างชื่อเสียงในด้านการแข่งขันให้แก่วิลัย อาจารย์N จึงมีบทบาททำอะไรผอ.ก็เห็นด้วยหมด
ตอนนี้เราอยู่ช.3แล้วและกำลังจบในเดือนหน้า เราอยากออกจากทุนนี้และอยากย้ายแผนกมากไม่ใช่เพราะทุนA ไม่ดีแต่เป็นเพราะผู้ควบคุมดูแล ตลอด2ปีเกือบ3ปี เราอดทนมาตลอด เราร้องไห้บ่อยมากจนมีบางช่วงควบคุมน้ำตาตัวเองไม่ได้ อยากร้องไห้ตลอดเวลา(บอกก่อนว่าเราไม่มีแฟนตลอดระยะเวลาที่เข้าเรียนตั้งแต่ช.1 จนถึงตอนนี้ จึงไม่มีทางที่เราจะเครียดเรื่องนี้) โทรคุยกับแม่ แม่ก็บอกแค่ว่าให้อดทนเดี๋ยวก็จบด้วยท่านเองก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะแน่นอนว่าถ้าออกตอนนี้ที่บ้านจ่ายไม่ไหวแน่นอน
เราคิดแล้วเสียดาย หากตอนช.1 เราไม่ได้เรียนออนไลน์และสัมผัสกับความอึดอัด รู้สึกไม่มีอิสระแบบนี้ เราคงออกตั้งแต่ตอนนั้นในขณะที่เงินยังอยู่ในจำนวนน้อยๆ
เรารู้ว่าเราไม่ใช่คนดียวที่อดทนเพราะมีนักทุนคนอื่นที่คิดเหมือนกัน แต่เขามีเพื่อนที่เป็นนักทุนด้วยกันและเรียนปวส.แผนกนี้ด้วยกัน ส่วนเพื่อนเราทุกคนย้ายไปแผนกอื่นแน่นอน มันไม่มีทุนผูกขาไว้เหมือนเราเพราะก็เอือมกับอาจารย์คนนี้เหมือนกัน ถ้าให้ไปหาเพื่อนใหม่ก็คงสนิทได้ไม่เท่าคนเก่าแน่นอน
ตอนนี้เราเศร้ามาก หาทางออกไม่ได้ เราอยากมีความสุขในวัยเรียน มีอิสระมากกว่านี้ แต่เรากลับใช้เวลาที่ควรมีความสุขไปกับการอดทน ทนมา3ปีและต้องทนต่ออีก2ปี เราตันทุกทาง กระทังคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจบไปแล้วอยากทำอะไรในสายงานที่ตัวเองเรียนมา เพราะเราเองก็ไม่ได้ชอบหรืออาจเป็นเพราะเราอคติกับคนสอนเลยพาลไม่ชอบวิชาในแผนกกระมัง
เราคือเด็กอายุ18 ปีที่เจอปัญหาแบบนี้ในชีวิต ไม่รู้ด้วยว่าความคิดเราถูกหรือผิดแต่เรารู้สึกและคิดแบบนี้จริงๆ ตลอดเวลาที่อยู่ในรั้ววิลัย
มันความอัดอั้นใจที่ยาวมาก ไม่รู้ว่ามันยาวเกินไปจนพี่ๆ ไม่อยากอ่านหรือเปล่า มีบางคำบางตอนที่พิมพ์ บางประโยคเรียบเรียงไม่ถูกเราต้องขอโทษด้วยนะคะ เรารีบพิมพ์มากเกินไป ขอให้พวกพี่ๆ เข้าใจ
และสุดท้ายเราขอขอบคุณมากๆ ที่เข้ามาอ่านหรือแสดงความคิดเห็นในกระทู้นี้ ขอบคุณค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่