http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1155
อภินิหารของหลวงพ่อ
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒ (เขียนโดย...พลอากาศตรีมนูญ ชมพูทีป)
.......การที่ข้าพเจ้าได้ย้ายไปรับราชการอยู่ที่กองบิน ๔ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ และประจำการอยู่
ณ ที่นั้นเรื่อยมา จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๕๓๐ ซึ่งเป็นระยะเวลาอันยาวนานถึง ๑๗ ปีนั้น ทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นบุคคล
ผู้โชคดีคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสได้พบหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (พระราชพรหมยาน ในปัจจุบัน)
ตั้งแต่ในสมัยที่หลวงพ่อยังจำพรรษาอยู่ ณ วัดสะพาน จ.ชัยนาท หากจำไม่ผิดก็ประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๘ และแม้เมื่อ
หลวงพ่อได้รับนิมนต์จากพระอรุณ อรุโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง (วัดจันทาราม) ให้ไปอยู่ ณ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
เพื่ออาศัยบารมีของหลวงพ่อในการช่วยบูรณะวัดแล้วก็ตาม ข้าพเจ้าและคณะศิษย์รุ่นนั้น ก็ยังได้ติดตามไปปรนนิบัติ
รับใช้หลวงพ่ออยู่ตลอดมามิได้ขาด
จากช่วงระยะเวลาอันยาวนานมาก ที่ข้าพเจ้าและภรรยาได้มีโอกาสปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่ออย่างใกล้ชิด โดยที่หลวงพ่อ
ในขณะนั้นมีลูกศิษย์ที่ไปมาหาสู่อยู่เพียงไม่กี่คน จึงทำให้ข้าพเจ้าได้พบได้เห็นเหตุการณ์แปลกๆ และสิ่งที่อาจเรียกว่า
มหัศจรรย์ต่างๆ หลายครั้ง
ซึ่งไม่อาจสามารถพิสูจน์และอธิบายได้ในโลกของวิทยาศาสตร์ อันก่อให้เกิดความฉงนสนเท่ห์แก่ข้าพเจ้า ซึ่งเป็นผู้มี
มิจฉาทิฐิอย่างแรงกล้าและเชื่อมั่นในตนเองมาแต่กำเนิดเป็นอย่างยิ่ง ดังที่ข้าพเจ้าจะได้เขียนเล่าให้ท่านทั้งหลายได้อ่าน
เป็นบางเรื่อง (ความจริงมีเรื่องมากมายไม่สามารถนำมาเขียนได้ทั้งหมด หากท่านผู้ใดสนใจก็คุยกันเป็นส่วนตัวได้)
และเมื่อได้อ่านแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้พึงเก็บไว้เป็นข้อสงสัยภายในใจเฉพาะตนเองเถิด อย่าได้กล่าวปรามาสหรือ
ลบหลู่เป็นอันขาด ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของท่านเองและวิธีที่จะแก้ข้อสงสัยได้ดีที่สุดก็จะต้องพิสูจน์กันด้วยวิธีฝึก
ตนเอง ให้ได้วิชชาสามเป็นอย่างน้อยเสียก่อนแล้วท่านจะรู้ได้เองว่าจริงหรือไม่จริง จะได้ลงความเห็นกันด้วยการใช้
เหตุผลของมนุษย์สามัญไม่ได้ ดังนั้นเมื่อท่านผู้อ่านได้เข้าใจดังนี้แล้ว ก็ขอได้โปรดติดตามเรื่องราวต่างๆ ที่ข้าพเจ้า
ได้ประสบมาดังต่อไปนี้
หลวงพ่อบอกลำดับที่สอบ
เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๐ ข้าพเจ้ามียศเป็นเรืออากาศเอกและมีขั้นเงินเดือนอยู่ในเกณฑ์ที่จะมีสิทธิสอบคัดเลือกเข้าเรียน
ในโรงเรียนชั้นผู้บังคับฝูงได้ ข้าพเจ้าจึงไปสมัครสอบและทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปในการดูหนังสือเตรียมสอบ
ในใจนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าต้องสอบเข้าได้อย่างแน่นอน เพราะข้าพเจ้าเป็นคนเรียนหนังสือเก่งและสอบได้ที่ ๑ ในระดับ
ชั้นมัธยมศึกษามาโดยตลอดและในระหว่างที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ก็ถูกจัดอยู่ในประเภทนักเรียนที่เรียนเด่น
เล่นดีด้วย แต่เนื่องจากทางโรงเรียนผู้บังคับฝูงจะแบ่งผู้ที่สอบได้เป็น ๒ ชุด คือผู้ที่สอบได้เลขคี่ (๑,๓,๕,๗,๙,...ฯลฯ) จะได้
เข้าเรียนเป็นชุดที่ ๑ และผู้ที่สอบได้เลขคู่ (๒,๔,๖,๘,๑๐...ฯลฯ) จะได้เข้าเรียนเป็นชุดที่ ๒
ดังนั้นแม้คิดว่าต้องสอบได้ แต่ก็ไม่ทราบว่าจะได้เลขคี่หรือเลขคู่อยู่ดี ปัญหาก็อยู่ตรงที่ว่า ภรรยาของข้าพเจ้ากำลังตั้งครรภ์
หากไม่ทราบแน่ชัดว่าจะได้เข้าเรียนเมื่อไรแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะไปฝากครรภ์และเตรียมคลอดที่ใด เพราะบ้านพักในขณะนั้น
อยู่ที่กองบิน ๔ ตาคลี แต่ถ้าเข้าเรียนก็จะต้องไปเรียนที่ดอนเมือง และครอบครัวของข้าพเจ้าก็ไม่มีผู้ใด นอกจากทหารรับใช้
เพียงคนเดียว จึงทำให้ข้าพเจ้าหนักใจเพราะไม่สามารถวางแผนการณ์ในภายหน้าได้
บังเอิญวันหนึ่งข้าพเจ้าและภรรยาได้นำภัตตาหารไปถวายหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ข้าพเจ้าได้ถือโอกาสเรียนถามว่า “ในการไป
สอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนผู้บังคับฝูงครั้งนี้ข้าพเจ้าจะสอบได้เลขคี่หรือเลขคู่” หลวงพ่อได้หยุดมองข้าพเจ้าอยู่ชั่วอึดใจก็ตอบว่า
“คุณไปสอบครั้งนี้ จะสอบได้ที่ ๑ ที่ ๓ หรือที่ ๕ ใน ๓ ที่นี้น่ะ แต่จะแน่นอนจะรดน้ำมนต์ให้”
ต่อจากนั้นหลวงพ่อ ก็ให้ข้าพเจ้าเอาถังไปตักน้ำในแม่น้ำมาเทใส่บาตร เพื่อทำน้ำมนต์ เมื่อทำเสร็จก็รดน้ำมนต์ให้ข้าพเจ้า
(น้ำในแม่น้ำ ที่ข้าพเจ้าไปตักมานั้น ก่อนตักข้าพเจ้าเอามือจุ่มน้ำไล่เศษละออง รู้สึกว่าอุ่นมาก แต่เมื่อหลวงพ่อรดน้ำมนต์
ให้นั้นเย็นจับจิตจนข้าพเจ้าสะดุ้ง และน้ำมนต์ของหลวงพ่อจะเป็นเช่นนี้เสมอ (ขอทุกท่านจงโปรดสังเกตด้วย)
แล้วพูดให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินโดยทั่วถึงกัน ที่จำได้ก็มีภรรยาของข้าพเจ้า, ร.อ.พนม นามประสิทธิ์ (ปัจจุบันยศ น.อ.)
ร.ท.ไพศาล ศุภพงษ์ และ พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ ว่า “ตำแหน่งที่ ๑ และที่ ๕ จางหายไป คุณมนูญ เขาไปสอบในครั้งนี้
ได้ที่ ๓ นะ”
ข้าพเจ้าเองในขณะนั้นแม้รู้สึกดีใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยจะมั่นใจนักว่าจะสอบได้ที่ดีถึงที่ ๓ ทั้งนี้เพราะทราบดีว่า พรรคพวก
เพื่อนฝูงที่ดอนเมืองเขามีการเตรียมการกันเป็นการใหญ่ เช่นจัดตั้งกันเป็นกลุ่มดูหนังสือร่วมกัน และจัดเชิญอาจารย์จาก
โรงเรียนผู้บังคับฝูงบางท่าน มาช่วยติว อีกทั้งโรเนียวบรรดาข้อสอบเก่าๆ มาประกอบเป็นแนวทางในการดูหนังสือและติว
อีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีการหาข่าวและจัดชุดเข้าตีสนิทกับอาจารย์ที่มีหน้าที่ออกข้อสอบแบบประกบตัวกันเลย (ข้อสอบในสมัยนั้น
จึงรั่วกันมาทุกปีด้วยวิธีการนี้) ดังนั้น แม้ข้าพเจ้าจะเป็นคนเรียนดีสักเพียงไรก็ตาม แต่เมื่อต้องดูหนังสืออยู่คนเดียวที่ต่างจังหวัด
ขาดแคลนทั้งตำราและไม่รู้แนวทางในการออกข้อสอบเช่นผู้อื่น จะให้ข้าพเจ้ามีความหวังหรือเชื่อได้อย่างไรว่า
จะสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนผู้บังคับฝูงได้ที่ ๓ ตามที่หลวงพ่อบอก นอกจากคิดว่าหลวงพ่อคงเพียงบอกเป็นเลาๆ ว่าข้าพเจ้า
ไปสอบครั้งนี้ได้เลขคี่ คือจะได้เข้าเรียนในผลัดแรกแน่นอนเท่านั้น ซึ่งข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว
แต่ครั้นเมื่อการสอบเสร็จสิ้น และทางราชการได้ประกาศผลการสอบคัดเลือกในครั้งนั้นออกมา ก็ปรากฏว่าข้าพเจ้าสอบเข้าได้
เป็นที่ ๓ จริงๆ ตามที่หลวงพ่อบอก และข้าพเจ้าก็ได้เป็นนายทหารนักเรียน โรงเรียนผู้บังคับฝูงรุ่นที่ ๑๘ โดยได้เรียนก่อนเป็น
ผลัดแรกเพราะได้เลขคี่
(นายทหารนักเรียนรุ่นข้าพเจ้าในครั้งนั้น ปัจจุบันมีชื่อเสียงมากหลายท่าน เช่น พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล, พล.อ.อ.กันต์
พิมานทิพย์, พล.อ.อ.อนันต์ กลินทะ, พล.อ.อ.เริงชัย สนิทพันธุ์ และพล.อ.อ.ดนัย โมรินทร์ เป็นต้น) ส่วนผู้ที่สอบได้เลขคู่
ก็ต้องไปเรียนผลัดหลัง เป็นนายทหารนักเรียนโรงเรียนผู้บังคับฝูงรุ่นที่ ๑๙ ต่อไป
การที่ข้าพเจ้าสอบได้ที่ ๓ จริงๆ ตามที่หลวงพ่อบอกล่วงหน้าให้นั้น ก่อให้เกิดความฉงนสนเท่ห์ใจแก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้คำทำนายทายทักของหลวงพ่อมิได้เป็นแบบหมอดูทั่วๆ ไป ไม่ได้มีการผูกดวง, ไม่ได้ดูลายมือ, ไม่ได้ดูโหงวเฮ้งหรือ
เข้าทรง เพียงแต่มองหน้าและรดน้ำมนต์ให้ก็บอกบ่งชัดเจนไปจนถึงลำดับที่ที่จะสอบได้เช่นนี้
หมอดูให้ดูแม่นอย่างไรก็ย่อมทำไม่ได้ และหมอดูเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาตัวเข้าไปผูกมัดขนาดนั้น เพราะข้าพเจ้า
ผู้ถามได้เปิดกว้างให้ตอบเป็นสองนัย ว่าจะสอบได้เลขคี่หรือเลขคู่เท่านั้น การทายถูกหรือผิดจึงเป็น ๕๐ – ๕๐ แต่การพูดบอก
ของหลวงพ่อซึ่งบ่งชัดเจนไปจนถึงลำดับที่เช่นนี้ หากมีผู้เข้าสอบ ๑,๐๐๐ คน ความถูกต้องก็จะมีได้เพียง ๑ ใน ๑,๐๐๐ เท่านั้น
อีกทั้งเป็นการทำนายถึงอนาคตอันใกล้ ซึ่งใครเลยจะกล้าเสี่ยงทำนายได้หากไม่ได้อนาคตังสญาณหรือรู้จริงเช่นหลวงพ่อ
หลวงพ่อบอกถึงการได้บำเหน็จ ๒ ขั้น
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ (ข้าพเจ้าเรียนจบจากโรงเรียนผู้บังคับฝูงแล้ว) ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าและภรรยาได้นำอาหารไปถวายหลวงพ่อ
โดยมีเรืออากาศโทธานินทร์ กลิ่นศรีสุข (ปัจจุบันยศ นาวาอากาศเอก) และภรรยาร่วมไปด้วย
ในวันนั้นหลวงพ่อได้เอ่ยทักว่า “ปีนี้คุณมนูญได้ ๒ ขั้นนะ” ซึ่งข้าพเจ้าก็รีบพนมมือกล่าวรับแต่ในใจก็ยังคิดว่า “ปีนี้เราไม่น่า
จะได้ ๒ ขั้น เพราะเรียนจบกลับมา ผลงานในรอบปีก็ไม่มีอะไรน่าประทับใจนัก” ในขณะกำลังคิดอยู่นั่น ร.ท.ธานินทร์ ก็ถามว่า
“หลวงพ่อครับแล้วผมล่ะจะได้ ๒ ขั้นด้วยไหม?”
หลวงพ่อมองหน้า เรืออากาศโทธานินทร์ สักอึดใจก็ตอบว่า “ปีนี้ไม่ได้หรอกนะ ต้องปีหน้าจึงจะได้”
เรืออากศโทธานินทร์ ได้ฟังคำตอบจากหลวงพ่อก็หัวเราะก๊าก แล้วเล่าให้หลวงพ่อและทุกคนในที่นั้นฟังว่า
“เสียใจครับหลวงพ่อ ปีนี้ผมได้ ๒ ขั้นแล้วอย่างแน่นอน ผู้พันเพิ่งให้ผมดูผลการพิจารณาบำเหน็จเมื่อวานนี้เอง ผมนะได้ ๒ ขั้น
อันดับ ๑ ของกองพันอากาศโยธินด้วย และทุกปีกองพันจะมีโควตา ๒ ขั้น สำหรับนายทหารสัญญาบัตรของกองพันถึงปีละ ๓ คน
ดังนั้นผมซึ่งอยู่ในอันดับ ๑ จึงไม่พลาด ๒ ขั้นแน่ในปีนี้
หลวงพ่อได้มองหน้าเรืออากาศโทธานินทร์ อีกแล้วตอบอย่างเมตตาว่า “ปีนี้คุณไม่ได้หรอกนะ อย่าเสียใจ แต่ปีหน้าจะได้แน่”
ในวันนั้น เรืออากาศโทธานินทร์ก็ลาหลวงพ่อกลับไปด้วยความหงุดหงิด บ่นกับข้าพเจ้าในทำนองว่า หลวงพ่อจะรู้ดีไปกว่าตน
หรือผู้พันได้อย่างไรกัน
ต่อมาอีกไม่นานผู้บังคับการกองบิน ๔ ก็เชิญหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงเข้าประชุมเพื่อพิจารณาบำเหน็จประจำปี ผลปรากฏว่า
เรืออากาศโทธานินทร์ ก็ได้ ๒ ขั้นจริงๆ และอันดับ ๒, ๓ ของกองพันก็ได้ด้วย
รวมความว่านายทหารสัญญาบัตรของกองพันอากาศโยธิน กองบิน ๔ ได้ ๒ ขั้นทั้ง ๓ คน เต็มตามโควตาของกองพันจริงๆ
ตามที่เรืออากาศโทธานินทร์อธิบายให้หลวงพ่อฟังทุกประการ
ส่วนข้าพเจ้านั้นไม่ได้ เนื่องจากนายทหารสัญญาบัตรภายในหน่วยน้อย จึงไม่มีโควตา ๒ ขั้นของหน่วยเองต้องอาศัยโควตา
ของหน่วยอื่นมาร่วม ซึ่งเป็นการยากมาก และข้าพเจ้าก็คาดคิดอยู่แล้วว่าข้าพเจ้าคงไม่ได้ จึงไม่ได้เสียอกเสียใจแต่อย่างใด
และในตอนเย็นวันนั้น เมื่อข้าพเจ้าพบเรืออากาศโทธานินทร์ บนสโมสรก็ได้แสดงความยินดี และร่วมเล่นบิลเลียดกันเหมือน
เช่นเคยจนถึง ๓ ทุ่ม ข้าพเจ้าจึงได้ขอแยกตัวกลับบ้าน ส่วนเรืออากาศโทธานินทร์ยังอยู่เล่นต่อ โดยบอกข้าพเจ้าว่า “พี่กลับไป
ก่อนเถอะ วันนี้ผมขออยู่ฉลอง ๒ ขั้น จนกว่าสโมสรจะปิด”
ครั้นวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าไปถึงที่ทำงาน เห็นเพื่อนร่วมงานหลายคนกำลังจับกลุ่มวิจารณ์กันถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่อย่างตื่นเต้น
สนุกสนาน จึงเข้าไปร่วมฟังด้วย ก็ได้รับทราบว่า เมื่อคืนนี้ผู้บังคับการกองบิน ๔ ไปเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานที่จังหวัดชัยนาท
กลับมาถึงกองบิน ๔ เวลา ๕ ทุ่มเศษ เห็นไฟบนสโมสรเปิดสว่างไสวและยังมีข้าราชการเล่นบิลเลียดกันอยู่อย่างสนุกสนาน
ก็โมโหมาก ขับรถจี๊บเข้าเทียบสโมสรแล้วเข้าไปในห้องบิลเลียด สั่งปิดสโมสรทันที
พร้อมกับให้นายทหารผู้หนึ่งโทรศัพท์เชิญผู้พันฯ มาพบ และสั่งการให้งดบำเหน็จ ๒ ขั้นนายทหารสัญญาบัตรของกองพัน
อากาศโยธินทั้ง ๓ คนที่ฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งผู้บังคับการกองบิน ๔ โดยเล่นบิลเลียดบนสโมสรเกินเวลาปิดสโมสร
(ในระเบียบให้ปิดสโมสรเวลา ๒๒.๓๐)
ด้วยเหตุนี้เอง เรืออากาศโทธานินทร์ และนายทหารสัญญาบัตรของกองพันอีก ๒ คนจึงไม่ได้ ๒ ขั้นทั้ง ๓ คน และโควตา ๒ ขั้น
ทั้ง ๓ ที่ของกองพันอากาศโยธินจึงต้องตกไปเป็นของส่วนกลาง ทำให้ข้าพเจ้าได้ ๒ ขั้นในปีนั้น ส่วนเรืออากาศโทธานินทร์ไม่ได้
และไปได้ ๒ ขั้นชดเชยในปีต่อไป ตามที่หลวงพ่อบอกทุกประการ
การยืนยันของหลวงพ่อต่ออนาคตอันใกล้กับผู้ที่เขารู้และมั่นใจอย่างเต็มที่ต่อเรื่องที่ไม่น่าพลาดเช่นนี้นับเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่ง
ซึ่งใครเลยจะกล้าเสี่ยงทำนายหากไม่ได้อนาคตังสญาณหรือรู้จริงเช่นหลวงพ่อ
ยังมีต่อ...
อภินิหารของหลวงพ่อ
http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1155
อภินิหารของหลวงพ่อ
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒ (เขียนโดย...พลอากาศตรีมนูญ ชมพูทีป)
.......การที่ข้าพเจ้าได้ย้ายไปรับราชการอยู่ที่กองบิน ๔ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ และประจำการอยู่
ณ ที่นั้นเรื่อยมา จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๕๓๐ ซึ่งเป็นระยะเวลาอันยาวนานถึง ๑๗ ปีนั้น ทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นบุคคล
ผู้โชคดีคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสได้พบหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (พระราชพรหมยาน ในปัจจุบัน)
ตั้งแต่ในสมัยที่หลวงพ่อยังจำพรรษาอยู่ ณ วัดสะพาน จ.ชัยนาท หากจำไม่ผิดก็ประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๘ และแม้เมื่อ
หลวงพ่อได้รับนิมนต์จากพระอรุณ อรุโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง (วัดจันทาราม) ให้ไปอยู่ ณ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
เพื่ออาศัยบารมีของหลวงพ่อในการช่วยบูรณะวัดแล้วก็ตาม ข้าพเจ้าและคณะศิษย์รุ่นนั้น ก็ยังได้ติดตามไปปรนนิบัติ
รับใช้หลวงพ่ออยู่ตลอดมามิได้ขาด
จากช่วงระยะเวลาอันยาวนานมาก ที่ข้าพเจ้าและภรรยาได้มีโอกาสปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่ออย่างใกล้ชิด โดยที่หลวงพ่อ
ในขณะนั้นมีลูกศิษย์ที่ไปมาหาสู่อยู่เพียงไม่กี่คน จึงทำให้ข้าพเจ้าได้พบได้เห็นเหตุการณ์แปลกๆ และสิ่งที่อาจเรียกว่า
มหัศจรรย์ต่างๆ หลายครั้ง
ซึ่งไม่อาจสามารถพิสูจน์และอธิบายได้ในโลกของวิทยาศาสตร์ อันก่อให้เกิดความฉงนสนเท่ห์แก่ข้าพเจ้า ซึ่งเป็นผู้มี
มิจฉาทิฐิอย่างแรงกล้าและเชื่อมั่นในตนเองมาแต่กำเนิดเป็นอย่างยิ่ง ดังที่ข้าพเจ้าจะได้เขียนเล่าให้ท่านทั้งหลายได้อ่าน
เป็นบางเรื่อง (ความจริงมีเรื่องมากมายไม่สามารถนำมาเขียนได้ทั้งหมด หากท่านผู้ใดสนใจก็คุยกันเป็นส่วนตัวได้)
และเมื่อได้อ่านแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้พึงเก็บไว้เป็นข้อสงสัยภายในใจเฉพาะตนเองเถิด อย่าได้กล่าวปรามาสหรือ
ลบหลู่เป็นอันขาด ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของท่านเองและวิธีที่จะแก้ข้อสงสัยได้ดีที่สุดก็จะต้องพิสูจน์กันด้วยวิธีฝึก
ตนเอง ให้ได้วิชชาสามเป็นอย่างน้อยเสียก่อนแล้วท่านจะรู้ได้เองว่าจริงหรือไม่จริง จะได้ลงความเห็นกันด้วยการใช้
เหตุผลของมนุษย์สามัญไม่ได้ ดังนั้นเมื่อท่านผู้อ่านได้เข้าใจดังนี้แล้ว ก็ขอได้โปรดติดตามเรื่องราวต่างๆ ที่ข้าพเจ้า
ได้ประสบมาดังต่อไปนี้
หลวงพ่อบอกลำดับที่สอบ
เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๐ ข้าพเจ้ามียศเป็นเรืออากาศเอกและมีขั้นเงินเดือนอยู่ในเกณฑ์ที่จะมีสิทธิสอบคัดเลือกเข้าเรียน
ในโรงเรียนชั้นผู้บังคับฝูงได้ ข้าพเจ้าจึงไปสมัครสอบและทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปในการดูหนังสือเตรียมสอบ
ในใจนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าต้องสอบเข้าได้อย่างแน่นอน เพราะข้าพเจ้าเป็นคนเรียนหนังสือเก่งและสอบได้ที่ ๑ ในระดับ
ชั้นมัธยมศึกษามาโดยตลอดและในระหว่างที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ก็ถูกจัดอยู่ในประเภทนักเรียนที่เรียนเด่น
เล่นดีด้วย แต่เนื่องจากทางโรงเรียนผู้บังคับฝูงจะแบ่งผู้ที่สอบได้เป็น ๒ ชุด คือผู้ที่สอบได้เลขคี่ (๑,๓,๕,๗,๙,...ฯลฯ) จะได้
เข้าเรียนเป็นชุดที่ ๑ และผู้ที่สอบได้เลขคู่ (๒,๔,๖,๘,๑๐...ฯลฯ) จะได้เข้าเรียนเป็นชุดที่ ๒
ดังนั้นแม้คิดว่าต้องสอบได้ แต่ก็ไม่ทราบว่าจะได้เลขคี่หรือเลขคู่อยู่ดี ปัญหาก็อยู่ตรงที่ว่า ภรรยาของข้าพเจ้ากำลังตั้งครรภ์
หากไม่ทราบแน่ชัดว่าจะได้เข้าเรียนเมื่อไรแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะไปฝากครรภ์และเตรียมคลอดที่ใด เพราะบ้านพักในขณะนั้น
อยู่ที่กองบิน ๔ ตาคลี แต่ถ้าเข้าเรียนก็จะต้องไปเรียนที่ดอนเมือง และครอบครัวของข้าพเจ้าก็ไม่มีผู้ใด นอกจากทหารรับใช้
เพียงคนเดียว จึงทำให้ข้าพเจ้าหนักใจเพราะไม่สามารถวางแผนการณ์ในภายหน้าได้
บังเอิญวันหนึ่งข้าพเจ้าและภรรยาได้นำภัตตาหารไปถวายหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ข้าพเจ้าได้ถือโอกาสเรียนถามว่า “ในการไป
สอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนผู้บังคับฝูงครั้งนี้ข้าพเจ้าจะสอบได้เลขคี่หรือเลขคู่” หลวงพ่อได้หยุดมองข้าพเจ้าอยู่ชั่วอึดใจก็ตอบว่า
“คุณไปสอบครั้งนี้ จะสอบได้ที่ ๑ ที่ ๓ หรือที่ ๕ ใน ๓ ที่นี้น่ะ แต่จะแน่นอนจะรดน้ำมนต์ให้”
ต่อจากนั้นหลวงพ่อ ก็ให้ข้าพเจ้าเอาถังไปตักน้ำในแม่น้ำมาเทใส่บาตร เพื่อทำน้ำมนต์ เมื่อทำเสร็จก็รดน้ำมนต์ให้ข้าพเจ้า
(น้ำในแม่น้ำ ที่ข้าพเจ้าไปตักมานั้น ก่อนตักข้าพเจ้าเอามือจุ่มน้ำไล่เศษละออง รู้สึกว่าอุ่นมาก แต่เมื่อหลวงพ่อรดน้ำมนต์
ให้นั้นเย็นจับจิตจนข้าพเจ้าสะดุ้ง และน้ำมนต์ของหลวงพ่อจะเป็นเช่นนี้เสมอ (ขอทุกท่านจงโปรดสังเกตด้วย)
แล้วพูดให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินโดยทั่วถึงกัน ที่จำได้ก็มีภรรยาของข้าพเจ้า, ร.อ.พนม นามประสิทธิ์ (ปัจจุบันยศ น.อ.)
ร.ท.ไพศาล ศุภพงษ์ และ พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ ว่า “ตำแหน่งที่ ๑ และที่ ๕ จางหายไป คุณมนูญ เขาไปสอบในครั้งนี้
ได้ที่ ๓ นะ”
ข้าพเจ้าเองในขณะนั้นแม้รู้สึกดีใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยจะมั่นใจนักว่าจะสอบได้ที่ดีถึงที่ ๓ ทั้งนี้เพราะทราบดีว่า พรรคพวก
เพื่อนฝูงที่ดอนเมืองเขามีการเตรียมการกันเป็นการใหญ่ เช่นจัดตั้งกันเป็นกลุ่มดูหนังสือร่วมกัน และจัดเชิญอาจารย์จาก
โรงเรียนผู้บังคับฝูงบางท่าน มาช่วยติว อีกทั้งโรเนียวบรรดาข้อสอบเก่าๆ มาประกอบเป็นแนวทางในการดูหนังสือและติว
อีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีการหาข่าวและจัดชุดเข้าตีสนิทกับอาจารย์ที่มีหน้าที่ออกข้อสอบแบบประกบตัวกันเลย (ข้อสอบในสมัยนั้น
จึงรั่วกันมาทุกปีด้วยวิธีการนี้) ดังนั้น แม้ข้าพเจ้าจะเป็นคนเรียนดีสักเพียงไรก็ตาม แต่เมื่อต้องดูหนังสืออยู่คนเดียวที่ต่างจังหวัด
ขาดแคลนทั้งตำราและไม่รู้แนวทางในการออกข้อสอบเช่นผู้อื่น จะให้ข้าพเจ้ามีความหวังหรือเชื่อได้อย่างไรว่า
จะสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนผู้บังคับฝูงได้ที่ ๓ ตามที่หลวงพ่อบอก นอกจากคิดว่าหลวงพ่อคงเพียงบอกเป็นเลาๆ ว่าข้าพเจ้า
ไปสอบครั้งนี้ได้เลขคี่ คือจะได้เข้าเรียนในผลัดแรกแน่นอนเท่านั้น ซึ่งข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว
แต่ครั้นเมื่อการสอบเสร็จสิ้น และทางราชการได้ประกาศผลการสอบคัดเลือกในครั้งนั้นออกมา ก็ปรากฏว่าข้าพเจ้าสอบเข้าได้
เป็นที่ ๓ จริงๆ ตามที่หลวงพ่อบอก และข้าพเจ้าก็ได้เป็นนายทหารนักเรียน โรงเรียนผู้บังคับฝูงรุ่นที่ ๑๘ โดยได้เรียนก่อนเป็น
ผลัดแรกเพราะได้เลขคี่
(นายทหารนักเรียนรุ่นข้าพเจ้าในครั้งนั้น ปัจจุบันมีชื่อเสียงมากหลายท่าน เช่น พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล, พล.อ.อ.กันต์
พิมานทิพย์, พล.อ.อ.อนันต์ กลินทะ, พล.อ.อ.เริงชัย สนิทพันธุ์ และพล.อ.อ.ดนัย โมรินทร์ เป็นต้น) ส่วนผู้ที่สอบได้เลขคู่
ก็ต้องไปเรียนผลัดหลัง เป็นนายทหารนักเรียนโรงเรียนผู้บังคับฝูงรุ่นที่ ๑๙ ต่อไป
การที่ข้าพเจ้าสอบได้ที่ ๓ จริงๆ ตามที่หลวงพ่อบอกล่วงหน้าให้นั้น ก่อให้เกิดความฉงนสนเท่ห์ใจแก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้คำทำนายทายทักของหลวงพ่อมิได้เป็นแบบหมอดูทั่วๆ ไป ไม่ได้มีการผูกดวง, ไม่ได้ดูลายมือ, ไม่ได้ดูโหงวเฮ้งหรือ
เข้าทรง เพียงแต่มองหน้าและรดน้ำมนต์ให้ก็บอกบ่งชัดเจนไปจนถึงลำดับที่ที่จะสอบได้เช่นนี้
หมอดูให้ดูแม่นอย่างไรก็ย่อมทำไม่ได้ และหมอดูเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาตัวเข้าไปผูกมัดขนาดนั้น เพราะข้าพเจ้า
ผู้ถามได้เปิดกว้างให้ตอบเป็นสองนัย ว่าจะสอบได้เลขคี่หรือเลขคู่เท่านั้น การทายถูกหรือผิดจึงเป็น ๕๐ – ๕๐ แต่การพูดบอก
ของหลวงพ่อซึ่งบ่งชัดเจนไปจนถึงลำดับที่เช่นนี้ หากมีผู้เข้าสอบ ๑,๐๐๐ คน ความถูกต้องก็จะมีได้เพียง ๑ ใน ๑,๐๐๐ เท่านั้น
อีกทั้งเป็นการทำนายถึงอนาคตอันใกล้ ซึ่งใครเลยจะกล้าเสี่ยงทำนายได้หากไม่ได้อนาคตังสญาณหรือรู้จริงเช่นหลวงพ่อ
หลวงพ่อบอกถึงการได้บำเหน็จ ๒ ขั้น
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ (ข้าพเจ้าเรียนจบจากโรงเรียนผู้บังคับฝูงแล้ว) ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าและภรรยาได้นำอาหารไปถวายหลวงพ่อ
โดยมีเรืออากาศโทธานินทร์ กลิ่นศรีสุข (ปัจจุบันยศ นาวาอากาศเอก) และภรรยาร่วมไปด้วย
ในวันนั้นหลวงพ่อได้เอ่ยทักว่า “ปีนี้คุณมนูญได้ ๒ ขั้นนะ” ซึ่งข้าพเจ้าก็รีบพนมมือกล่าวรับแต่ในใจก็ยังคิดว่า “ปีนี้เราไม่น่า
จะได้ ๒ ขั้น เพราะเรียนจบกลับมา ผลงานในรอบปีก็ไม่มีอะไรน่าประทับใจนัก” ในขณะกำลังคิดอยู่นั่น ร.ท.ธานินทร์ ก็ถามว่า
“หลวงพ่อครับแล้วผมล่ะจะได้ ๒ ขั้นด้วยไหม?”
หลวงพ่อมองหน้า เรืออากาศโทธานินทร์ สักอึดใจก็ตอบว่า “ปีนี้ไม่ได้หรอกนะ ต้องปีหน้าจึงจะได้”
เรืออากศโทธานินทร์ ได้ฟังคำตอบจากหลวงพ่อก็หัวเราะก๊าก แล้วเล่าให้หลวงพ่อและทุกคนในที่นั้นฟังว่า
“เสียใจครับหลวงพ่อ ปีนี้ผมได้ ๒ ขั้นแล้วอย่างแน่นอน ผู้พันเพิ่งให้ผมดูผลการพิจารณาบำเหน็จเมื่อวานนี้เอง ผมนะได้ ๒ ขั้น
อันดับ ๑ ของกองพันอากาศโยธินด้วย และทุกปีกองพันจะมีโควตา ๒ ขั้น สำหรับนายทหารสัญญาบัตรของกองพันถึงปีละ ๓ คน
ดังนั้นผมซึ่งอยู่ในอันดับ ๑ จึงไม่พลาด ๒ ขั้นแน่ในปีนี้
หลวงพ่อได้มองหน้าเรืออากาศโทธานินทร์ อีกแล้วตอบอย่างเมตตาว่า “ปีนี้คุณไม่ได้หรอกนะ อย่าเสียใจ แต่ปีหน้าจะได้แน่”
ในวันนั้น เรืออากาศโทธานินทร์ก็ลาหลวงพ่อกลับไปด้วยความหงุดหงิด บ่นกับข้าพเจ้าในทำนองว่า หลวงพ่อจะรู้ดีไปกว่าตน
หรือผู้พันได้อย่างไรกัน
ต่อมาอีกไม่นานผู้บังคับการกองบิน ๔ ก็เชิญหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงเข้าประชุมเพื่อพิจารณาบำเหน็จประจำปี ผลปรากฏว่า
เรืออากาศโทธานินทร์ ก็ได้ ๒ ขั้นจริงๆ และอันดับ ๒, ๓ ของกองพันก็ได้ด้วย
รวมความว่านายทหารสัญญาบัตรของกองพันอากาศโยธิน กองบิน ๔ ได้ ๒ ขั้นทั้ง ๓ คน เต็มตามโควตาของกองพันจริงๆ
ตามที่เรืออากาศโทธานินทร์อธิบายให้หลวงพ่อฟังทุกประการ
ส่วนข้าพเจ้านั้นไม่ได้ เนื่องจากนายทหารสัญญาบัตรภายในหน่วยน้อย จึงไม่มีโควตา ๒ ขั้นของหน่วยเองต้องอาศัยโควตา
ของหน่วยอื่นมาร่วม ซึ่งเป็นการยากมาก และข้าพเจ้าก็คาดคิดอยู่แล้วว่าข้าพเจ้าคงไม่ได้ จึงไม่ได้เสียอกเสียใจแต่อย่างใด
และในตอนเย็นวันนั้น เมื่อข้าพเจ้าพบเรืออากาศโทธานินทร์ บนสโมสรก็ได้แสดงความยินดี และร่วมเล่นบิลเลียดกันเหมือน
เช่นเคยจนถึง ๓ ทุ่ม ข้าพเจ้าจึงได้ขอแยกตัวกลับบ้าน ส่วนเรืออากาศโทธานินทร์ยังอยู่เล่นต่อ โดยบอกข้าพเจ้าว่า “พี่กลับไป
ก่อนเถอะ วันนี้ผมขออยู่ฉลอง ๒ ขั้น จนกว่าสโมสรจะปิด”
ครั้นวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าไปถึงที่ทำงาน เห็นเพื่อนร่วมงานหลายคนกำลังจับกลุ่มวิจารณ์กันถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่อย่างตื่นเต้น
สนุกสนาน จึงเข้าไปร่วมฟังด้วย ก็ได้รับทราบว่า เมื่อคืนนี้ผู้บังคับการกองบิน ๔ ไปเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานที่จังหวัดชัยนาท
กลับมาถึงกองบิน ๔ เวลา ๕ ทุ่มเศษ เห็นไฟบนสโมสรเปิดสว่างไสวและยังมีข้าราชการเล่นบิลเลียดกันอยู่อย่างสนุกสนาน
ก็โมโหมาก ขับรถจี๊บเข้าเทียบสโมสรแล้วเข้าไปในห้องบิลเลียด สั่งปิดสโมสรทันที
พร้อมกับให้นายทหารผู้หนึ่งโทรศัพท์เชิญผู้พันฯ มาพบ และสั่งการให้งดบำเหน็จ ๒ ขั้นนายทหารสัญญาบัตรของกองพัน
อากาศโยธินทั้ง ๓ คนที่ฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งผู้บังคับการกองบิน ๔ โดยเล่นบิลเลียดบนสโมสรเกินเวลาปิดสโมสร
(ในระเบียบให้ปิดสโมสรเวลา ๒๒.๓๐)
ด้วยเหตุนี้เอง เรืออากาศโทธานินทร์ และนายทหารสัญญาบัตรของกองพันอีก ๒ คนจึงไม่ได้ ๒ ขั้นทั้ง ๓ คน และโควตา ๒ ขั้น
ทั้ง ๓ ที่ของกองพันอากาศโยธินจึงต้องตกไปเป็นของส่วนกลาง ทำให้ข้าพเจ้าได้ ๒ ขั้นในปีนั้น ส่วนเรืออากาศโทธานินทร์ไม่ได้
และไปได้ ๒ ขั้นชดเชยในปีต่อไป ตามที่หลวงพ่อบอกทุกประการ
การยืนยันของหลวงพ่อต่ออนาคตอันใกล้กับผู้ที่เขารู้และมั่นใจอย่างเต็มที่ต่อเรื่องที่ไม่น่าพลาดเช่นนี้นับเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่ง
ซึ่งใครเลยจะกล้าเสี่ยงทำนายหากไม่ได้อนาคตังสญาณหรือรู้จริงเช่นหลวงพ่อ
ยังมีต่อ...