
นักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู (Saint Therese of the Child Jesus) ได้เห็นทะเลเป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 7 ขวบ ท่านได้บันทึกความรู้สึกในวันนั้นว่า "ภาพของทะเลนั้นประทับใจดิฉันมากเหลือเกิน ดิฉันไม่อยากละสายตาไปจากภาพนี้เลย พลังของน้ำในทะเลกว้าง และเสียงของคลื่นที่ซัดฝั่งกระทบใจดิฉันให้มองเห็นความยิ่งใหญ่และพลานุภาพของพระเจ้า"
ประสบการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า สิ่งต่างๆที่เราเห็นในธรรมชาติ อาจเป็นเครื่องหมายของสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งมองเห็นไม่ได้ สำหรับผู้ที่มีความเชื่อ สิ่งสร้างทั้งหลายมีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับพระเจ้าผู้สร้างคุณลักษณะที่ดีของสิ่งสร้างสะท้อนให้เห็นคุณลักษณะบางอย่างในพระเจ้าแม้ยังไม่สมบูรณ์ และมีขอบเขตจำกัด แต่ภาษาเปรียบเทียบเช่นนี้เป็นวิธีเดียวที่มนุษย์มีใช้เพื่อเข้าใจพระเจ้า และกล่าวถึงพระองค์
สัญลักษณ์ คือ สิ่งซึ่งตัวของมันเองเสนอแนะหรือให้ความหมายโยงใยถึงอีกสิ่งหนึ่ง เช่น นกพิราบนอกจากเป็นนกชนิดหนึ่งแล้ว ก็ยังเสนอความหมายสากลถึงสันติภาพ ในพระคัมภีร์เราพบสัญลักษณ์ของพระจิตเจ้าหลายประการ ผู้เขียนพระคัมภีร์คิดสัญลักษณ์ขึ้นมาเฉพาะตัว โดยแนะจินตนาการให้ผู้อ่านได้แลเห็นและมีความรู้สึกร่วมจนสามารถตีความให้ เข้าใจความหมายได้ พระคัมภีร์ใช้สัญลักษณ์ 9 อย่างเพื่อกล่าวถึงพระจิตเจ้า คือ…
1. ลม หรือลมหายใจ (Wind) 💨
2. น้ำ (Water) 💧
3. ไฟ หรือลิ้นไฟ (Flame or Tongue of Fire) 🔥
4. ก้อนเมฆที่ส่องสว่าง (Cloud) ⛅️
5. การเจิมด้วยน้ำมัน (Anointing with oil) 👈
6. ตราประทับ (Seal) ✝️
7. มือ (Hand) 🖐️
8. นิ้ว (Finger) 👆
9. นกพิราบ (Dove) 🕊️
1. ลม หรือลมหายใจ (Wind) 💨
พระนาม พระจิตเจ้า เป็นเพียงคำแปลไม่ใช่พระนามเฉพาะของพระองค์ที่ชาวยิวใช้ พระนามพระองค์ในภาษาฮีบรูเรียกว่า รวกฮ์ (רוח) ซึ่งหมายถึง ลมหรือลมหายใจ เป็นการยากสำหรับเราที่จะเข้าใจว่า คนสมัยก่อนเมื่ออ่านพระคัมภีร์ ในภาษาฮีบรู , กรีก หรือลาติน ทุกครั้งที่ฉบับแปลภาษาไทยมีคำว่า ลม เขาก็คิดถึงพระจิตเจ้าด้วย และทุกครั้งที่เราอ่านคำว่า พระจิตเจ้า เขาก็คิดถึงลมด้วย เพราะคำว่า รวกฮ์ (רוח) ชวนให้ระลึกถึงประสบการณ์ที่เขาสัมผัสกับพระจิตเจ้า ในหนังสือกิจการอัครสาวก เล่าเรื่องการเสด็จมาของพระจิตเจ้าในวันเปนเตกอสเต (Pentecost) โดยใช้ลมพายุแรงกล้า เป็นเครื่องหมาย “ทันใดนั้นมีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้า ทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน” (กิจการ 2:2) และในพระวรสารตามคำเล่าของนักบุญยอห์น พระเยซูเจ้าผู้ทรงคืนพระชนม์ชีพ ทรงมอบพระจิตเจ้าองค์เดียวกันนี้แก่บรรดาอัครสาวกโดยใช้การระบายลมหายใจเป็น เครื่องหมาย “ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลายตรัสว่า ‘จงรับพระจิตเจ้าเถิด’” (ยอห์น 20:22)
นักบุญยอห์น อัครสาวก (Saint John the Apostle) ยังใช้ภาพของลมแรงเพื่ออธิบายถึงบทบาทของพระจิตเจ้า เมื่อบันทึกพระวาจาของ พระคริสตเจ้าที่ว่า “ลมย่อมพัดไปในที่ที่ลมต้องการ ท่านได้ยินเสียงลมพัด แต่ไม่รู้ว่า ลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหน ทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้าก็เป็นเช่นนี้” (ยอห์น 3:8) ภาพของลมแรงหรือพายุช่วยอธิบายพระอานุภาพอันสูงส่งและเสรีภาพของพระจิตเจ้า ผู้อยู่เหนือมนุษย์เพราะลมแสดงพลังที่ไม่มีอะไรต่อต้านหรือควบคุมได้ ทั้งหนังสือธรรมชาติและหนังสือพระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าลมสามารถ “พัดแรงกล้า ผ่าภูเขาทำให้หินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ” (1 พงศ์กษัตริย์ 19:11) สามารถ“ทำให้คลื่นทำเลชัดขึ้นไปสู่ท้องฟ้าและลงไปสู่ที่ลึก” (เทียบ สดุดี 107:25-26 เมื่อพระองค์ตรัส ก็ทรงปลุกลมพายุ บันดาลให้เกิดคลื่นสูงใหญ่ คลื่นขึ้นไปจนถึงท้องฟ้า และลงไปลึกจนถึงก้นเหว เขาตกใจกลัวมากเพราะอันตราย) ไม่มีอะไรสามารถเขย่าให้มหาสมุทรเคลื่อนไหว ได้นอกจากลมเท่านั้น
พระจิตเจ้าทรงเป็นพละกำลังที่แท้จริง ทรงเป็นอำนาจเดียวที่สามารถค้ำจุนช่วยเหลือพระศาสนจักรและผู้มีความเชื่อแต่ละคน เพราะไม่ว่าส่วนตัวหรือส่วนรวม เราทุกคนไม่สามารถมีชีวิตด้วยพลังของตนเอง ดังที่ประกาศกเศคาริยาห์กล่าวแก่เศรุบบาเบล หัวหน้าชาวยิวว่า “นี่คือพระวาจาที่พระยาห์เวห์ตรัสถึงเศรุบบาเบลว่า “ท่านจะประสบผลสำเร็จมิใช่ด้วยอำนาจ มิใช่ด้วยพลัง แต่ด้วยจิตของเรา พระยาห์เวห์จอมจักรวาลตรัส ภูเขายิ่งใหญ่เอ๋ย เจ้าเป็นอะไร เจ้าจะเป็นที่ราบต่อหน้าเศรุบบาเบล” (4:6-7)
เมื่อปิตาจารย์แตร์ตูเลียน (Tertullian) กล่าวถึงคริสตชนที่ถูกลงโทษให้ต่อสู้กับสัตว์ร้ายในสนามกีฬาเพื่อความเพลิดเพลินของชาวโรมัน เขาเปรียบเทียบบทบาท ของพระจิตเจ้ากับบทบาทของโค้ชนักกีฬา จึงเรียกพระจิตเจ้าว่าเป็นโค้ชของมรณสักขี เพราะเป็นพระจิตเจ้านี่เองที่ประทานความกล้าหาญแก่มรณสักขีตามธรรมชาติแล้ว คนที่ขี้ขลาดจะให้ความกล้าหาญแก่ตนเองไม่ได้ แต่ในชีวิตเหนือธรรมชาตินั้นเป็นไปได้ ผู้ที่ขาดความกล้าหาญก็สามารถรับความกล้าหาญ จากพระจิตเจ้าเพราะ “พระจิตเจ้าเสด็จมาช่วยเหลือเราผู้อ่อนแอ” (โรม 8:26) ความอ่อนแออาจจะเป็นโอกาศพิเศษที่เราจะประสบพระพลานุภาพของพระจิตเจ้า
ส่วนภาพของลมหายใจ หรือลมเบาๆ ช่วยอธิบายถึงน้ำพระทัยดี ความรักอ่อนโยน ความสงบนิ่งของพระจิตเจ้าผู้สถิตอยู่ในใจมนุษย์ ลมหายใจเป็นสิ่งที่อยู่ภายในมนุษย์ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิต เป็นสิ่งที่เป็นของส่วนตัวมากที่สุด
ใน ภาษาฮีบรูและกลุ่มภาษาเซมิติกอื่นๆ เช่น ภาษาซีเรียโบราณคำว่า รวกฮ์ (רוח) เป็นศัพท์ที่มีเพศหญิงผู้พูดภาษาเหล่านี้ก็รู้สึกว่าพระจิตเจ้าทรงมีลักษณะเหมือนกับแม่ คือ มีบุคลิกภาพที่อ่อนโยนและอ่อนหวานในสมัยก่อนสตรีไม่มีสิทธิในสังคมเท่าเทียมผู้ชาย ไม่ว่าจะในด้านการเมือง , การศึกษา , ศิลปะ , ปรัชญาเป็นต้น นอกจากภายในครอบครัว แต่ในทุกสมัยทั้งชายและหญิงมีสิทธิเท่ากันที่จะเป็นคนศักดิ์สิทธิ์เพราะพระจิตเจ้าประทานความศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้ที่อ่อนน้อมต่อพระองค์ โดยเคารพต่อบุคลิกภาพของแต่ละคน พระจิตเจ้า มักจะแสดงธรรมล้ำลึกแห่งความรัก ความอ่อนโยน การดูแลเอาใจใส่ในนักบุญที่เป็นหญิง
2. น้ำ (Water) 💧
ในพระวรสารตามคำเล่าของนักบุญยอห์นเราอ่านพระวาจาของพระเยซูเจ้าพร้อมกับคำอธิบายของผู้เขียนว่า “ผู้ใดกระหาย จงมาหาเราเถิด ผู้ที่เชื่อในเรา จงดื่มเถิด ตามที่พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ลำธารที่ให้ชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น’ พระเยซูเจ้าตรัสดังนี้หมายถึงพระจิตเจ้า ซึ่งผู้ที่เชื่อในพระองค์จะได้รับ” (ยอห์น 7:37-39) น้ำ เป็นสัญลักษณ์ของชีวิต ถ้าน้ำเป็นสัญลักษณืของพระจิตเจ้าก็หมายความว่าพระจิตเจ้าทรงเป็นผู้บันดาลชีวิต “พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้ประทานชีวิต ลำพังมนุษย์ทำอะไรไม่ได้ วาจาที่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้นให้ชีวิต เพราะมาจากพระจิตเจ้า” (ยอห์น 6:63) ชีวิตที่พระจิตเจ้าประทานนั้นเป็นชีวิตเหนือธรรมชาติที่เรารับอาศัยพระวาจา ของพระเจ้าและศีลศักดิ์สิทธิ์ เราสามารถเลือกชีวิตใหม่นี้ได้โดยอิสระ ไม่เหมือนชีวิต ธรรมชาติที่เราไม่สามารถตัดสินใจที่จะรับหรือไม่รับและเราเลือกชีวิตใหม่นี้ได้อาศัยความเชื่อดังที่นักบุญเปาโล อัครสาวก (Saint Paul the Apostle) เขียนถึงคริสตชนชาวเธสะโลนิกาว่า เขา “ที่จะรับความรอดพ้น เพราะความเชื่อในความจริงและด้วยเดชะพระจิตเจ้า ผู้ทรงบันดาลความศักดิ์สิทธิ์” (2 เธสะโลนิกา 2:13) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์หมายถึง กิจการของพระจิตเจ้าในศีลล้างบาปทำนองเดียวกัน สภาพการณ์ปฏิสนธิในครรภ์ครั้งแรกของเราดำเนินไปในน้ำฉันใด น้ำแห่งศีลล้างบาปก็มีความหมายอย่างแท้จริงว่า เราได้รับการเกิดสู่ชีวิตพระซึ่งเป็นของประทานจากพระจิตเจ้า การใช้น้ำในศีลล้างบาปยังหมายถึง การชำระล้างมนุษย์จากบาปอีกด้วย ดังที่นักบุญเปาโล อัครสาวก (Saint Paul the Apostle) เขียนว่า “เดชะพระจิตเจ้าพระองค์เดียว เราทุกคนจึงได้รับการล้างมารวมเข้าเป็นร่างกายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือเป็นไทยก็ตาม เราทุกคนต่างได้รับพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน” (1 โครินธ์ 12:13)
3. ไฟ หรือลิ้นไฟ (Flame or Tongue of Fire) 🔥
เราไม่ต้องรู้สึกแปลกใจที่ไฟ🔥 ซึ่งตรงกันข้ามกับน้ำ💧 ก็ยังเป็น สัญลักษณ์ของพระจิตเจ้าด้วย พระเยซูเจ้าก็เช่นกันได้รับการขานพระนามว่า "สิงโตจากตระกูลยูดาห์ (Lion of Judah)" และ "ลูกแกะของพระเจ้า (Lamb of God)" ภาพเปรียบเทียบตรงกันข้ามเหล่านี้ ต่างเสนอลักษณะบางอย่างของพระจิตเจ้าถ้าน้ำ💧เป็นสัญลักษณ์ว่า พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้บันดาลชีวิต ไฟ🔥ก็บอกเราว่า พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้ชำระเราให้บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์เต็มเปี่ยม น้ำ ชำระล้างก็จริง แต่บางอย่างไม่สามารถใช้น้ำ ต้องใช้ไฟเท่านั้น“ดังนั้น ท่านจงชื่นชม แม้ว่าในเวลานี้ท่านยังต้องทนทุกข์จากการถูกทดลองต่างๆ ชั่วขณะหนึ่ง เพื่อคุณค่าที่แท้จริงแห่งความเชื่อของท่านจะได้รับการสรรเสริญ รับสิริรุ่งโรจน์และรับเกียรติเมื่อพระเยซูคริสตเจ้าจะทรงสำแดงพระองค์ ความเชื่อนี้ประเสริฐยิ่งกว่าทองคำที่เสื่อมสลายได้ แต่ก็ยังถูกทดสอบด้วยไฟ” (1 เปโตร 1:6-7)
พระจิตเจ้าทรงช่วยชำระบาปไป จากจิตใจเรา ตามกระบวนการดังต่อไปนี้ คือ ทรงเคาะประตูมโนธรรมของเราให้สำนึกผิด ทรงช่วยเราให้เป็นทุกข์กลับใจ ทรงชวนเราให้สารภาพบาป ทรงอภัยบาปทำให้เราเป็นอิสระประทานความศักดิ์สิทธิ์แก่เราเสียใหม่ และในที่สุดทรงให้เราเร่าร้อนด้วยความรักต่อพระเจ้าดังนั้น ในขณะที่น้ำหมายถึงการเกิดและความอุดมสมบูรณ์แห่งชีวิตที่ได้รับการประทานมาจากพระจิตเจ้าไฟ🔥ก็เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังการเปลี่ยนแปลง ที่มีอยู่ในกิจการของพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าตรัสว่า "เรามาเพื่อจุดไฟในโลก เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ" (ลูกา 12:49) ในวันเปนเตกอสเต(Pentecost) บรรดาสาวกได้เห็น "เปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม และเริ่มพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด" (กิจการ 2:3-4) นักบุญเปาโลจึงเตือนคริสตชนว่า "อย่าดับไฟของพระจิตเจ้า" (1 เธสะโลนิกา 5:19)
4. ก้อนเมฆ หรือก้อนเมฆที่ส่องสว่าง (Cloud) ⛅️
ในหนังสืออพยพ ก้อนเมฆที่ส่องสว่างให้ชาวอิสราแอลเดินทางไปได้ ในเวลากลางคืนเป็นสัญลักษณ์ของพระจิตเจ้าผู้ทรงนำเขา ไปสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญา พันธสัญญาเดิมยังกล่าวว่า "โมเสสขึ้นไปบนภูเขาแล้วเมฆปกคลุมภูเขาไว้ พระสิริรุ่งโรจน์ของพระยาห์เวห์ลงมาอยู่บนภูเขาซีนาย" (อพยพ 24:15-16) เมฆยังลงมาในกระโจมนัดพบในถิ่นทุรกันดาล และในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม เมื่อกษัติย์ซาโลมอนทำพิธีอภิเษกพระจิตเจ้าเสด็จลงมา เหนือพระนางพรหมจารีมารีย์เหมือนเมฆมาแผ่เงาปกคลุมนาง (เทียบ ลูกา1:35 ทูตสวรรค์ตอบว่า “พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่าน และพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่านเพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า) บนภูเขาทาบอร์ที่พระคริสตเจ้าทรงสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์ เป็นพระจิตเจ้าที่เสด็จมาในก้อนเมฆที่ปกคลุมพระเยซูเจ้า โมเสส และประกาศกดเอลียาห์ สุดท้ายเมื่อพระคริสตเจ้าเสด็จของสวรรค์ต่อหน้าบรรดาอัครสาวก เมฆก้อนเดียวกันนี้เองที่บังพระองค์ไปจากสายตาของเขา (เทียบ กิจการ 1:9 เมื่อตรัสดังนี้แล้วพระองค์เสด็จสู่สวรรค์ต่อหน้าเขาทั้งหลาย เมฆบังพระองค์จากสายตาของเขา) ก้อนเมฆที่ส่องแสงสว่างจึงเป็นสัญลักษณ์ของพระจิตเจ้าผู้นำทางเราไปสู่พระคริสตเจ้า
9 สัญลักษณ์ของพระจิตเจ้า (9 Symbols of the Holy Spirit)
นักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู (Saint Therese of the Child Jesus) ได้เห็นทะเลเป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 7 ขวบ ท่านได้บันทึกความรู้สึกในวันนั้นว่า "ภาพของทะเลนั้นประทับใจดิฉันมากเหลือเกิน ดิฉันไม่อยากละสายตาไปจากภาพนี้เลย พลังของน้ำในทะเลกว้าง และเสียงของคลื่นที่ซัดฝั่งกระทบใจดิฉันให้มองเห็นความยิ่งใหญ่และพลานุภาพของพระเจ้า"
ประสบการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า สิ่งต่างๆที่เราเห็นในธรรมชาติ อาจเป็นเครื่องหมายของสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งมองเห็นไม่ได้ สำหรับผู้ที่มีความเชื่อ สิ่งสร้างทั้งหลายมีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับพระเจ้าผู้สร้างคุณลักษณะที่ดีของสิ่งสร้างสะท้อนให้เห็นคุณลักษณะบางอย่างในพระเจ้าแม้ยังไม่สมบูรณ์ และมีขอบเขตจำกัด แต่ภาษาเปรียบเทียบเช่นนี้เป็นวิธีเดียวที่มนุษย์มีใช้เพื่อเข้าใจพระเจ้า และกล่าวถึงพระองค์
สัญลักษณ์ คือ สิ่งซึ่งตัวของมันเองเสนอแนะหรือให้ความหมายโยงใยถึงอีกสิ่งหนึ่ง เช่น นกพิราบนอกจากเป็นนกชนิดหนึ่งแล้ว ก็ยังเสนอความหมายสากลถึงสันติภาพ ในพระคัมภีร์เราพบสัญลักษณ์ของพระจิตเจ้าหลายประการ ผู้เขียนพระคัมภีร์คิดสัญลักษณ์ขึ้นมาเฉพาะตัว โดยแนะจินตนาการให้ผู้อ่านได้แลเห็นและมีความรู้สึกร่วมจนสามารถตีความให้ เข้าใจความหมายได้ พระคัมภีร์ใช้สัญลักษณ์ 9 อย่างเพื่อกล่าวถึงพระจิตเจ้า คือ…
1. ลม หรือลมหายใจ (Wind) 💨
2. น้ำ (Water) 💧
3. ไฟ หรือลิ้นไฟ (Flame or Tongue of Fire) 🔥
4. ก้อนเมฆที่ส่องสว่าง (Cloud) ⛅️
5. การเจิมด้วยน้ำมัน (Anointing with oil) 👈
6. ตราประทับ (Seal) ✝️
7. มือ (Hand) 🖐️
8. นิ้ว (Finger) 👆
9. นกพิราบ (Dove) 🕊️
1. ลม หรือลมหายใจ (Wind) 💨
พระนาม พระจิตเจ้า เป็นเพียงคำแปลไม่ใช่พระนามเฉพาะของพระองค์ที่ชาวยิวใช้ พระนามพระองค์ในภาษาฮีบรูเรียกว่า รวกฮ์ (רוח) ซึ่งหมายถึง ลมหรือลมหายใจ เป็นการยากสำหรับเราที่จะเข้าใจว่า คนสมัยก่อนเมื่ออ่านพระคัมภีร์ ในภาษาฮีบรู , กรีก หรือลาติน ทุกครั้งที่ฉบับแปลภาษาไทยมีคำว่า ลม เขาก็คิดถึงพระจิตเจ้าด้วย และทุกครั้งที่เราอ่านคำว่า พระจิตเจ้า เขาก็คิดถึงลมด้วย เพราะคำว่า รวกฮ์ (רוח) ชวนให้ระลึกถึงประสบการณ์ที่เขาสัมผัสกับพระจิตเจ้า ในหนังสือกิจการอัครสาวก เล่าเรื่องการเสด็จมาของพระจิตเจ้าในวันเปนเตกอสเต (Pentecost) โดยใช้ลมพายุแรงกล้า เป็นเครื่องหมาย “ทันใดนั้นมีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้า ทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน” (กิจการ 2:2) และในพระวรสารตามคำเล่าของนักบุญยอห์น พระเยซูเจ้าผู้ทรงคืนพระชนม์ชีพ ทรงมอบพระจิตเจ้าองค์เดียวกันนี้แก่บรรดาอัครสาวกโดยใช้การระบายลมหายใจเป็น เครื่องหมาย “ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลายตรัสว่า ‘จงรับพระจิตเจ้าเถิด’” (ยอห์น 20:22)
นักบุญยอห์น อัครสาวก (Saint John the Apostle) ยังใช้ภาพของลมแรงเพื่ออธิบายถึงบทบาทของพระจิตเจ้า เมื่อบันทึกพระวาจาของ พระคริสตเจ้าที่ว่า “ลมย่อมพัดไปในที่ที่ลมต้องการ ท่านได้ยินเสียงลมพัด แต่ไม่รู้ว่า ลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหน ทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้าก็เป็นเช่นนี้” (ยอห์น 3:8) ภาพของลมแรงหรือพายุช่วยอธิบายพระอานุภาพอันสูงส่งและเสรีภาพของพระจิตเจ้า ผู้อยู่เหนือมนุษย์เพราะลมแสดงพลังที่ไม่มีอะไรต่อต้านหรือควบคุมได้ ทั้งหนังสือธรรมชาติและหนังสือพระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าลมสามารถ “พัดแรงกล้า ผ่าภูเขาทำให้หินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ” (1 พงศ์กษัตริย์ 19:11) สามารถ“ทำให้คลื่นทำเลชัดขึ้นไปสู่ท้องฟ้าและลงไปสู่ที่ลึก” (เทียบ สดุดี 107:25-26 เมื่อพระองค์ตรัส ก็ทรงปลุกลมพายุ บันดาลให้เกิดคลื่นสูงใหญ่ คลื่นขึ้นไปจนถึงท้องฟ้า และลงไปลึกจนถึงก้นเหว เขาตกใจกลัวมากเพราะอันตราย) ไม่มีอะไรสามารถเขย่าให้มหาสมุทรเคลื่อนไหว ได้นอกจากลมเท่านั้น
พระจิตเจ้าทรงเป็นพละกำลังที่แท้จริง ทรงเป็นอำนาจเดียวที่สามารถค้ำจุนช่วยเหลือพระศาสนจักรและผู้มีความเชื่อแต่ละคน เพราะไม่ว่าส่วนตัวหรือส่วนรวม เราทุกคนไม่สามารถมีชีวิตด้วยพลังของตนเอง ดังที่ประกาศกเศคาริยาห์กล่าวแก่เศรุบบาเบล หัวหน้าชาวยิวว่า “นี่คือพระวาจาที่พระยาห์เวห์ตรัสถึงเศรุบบาเบลว่า “ท่านจะประสบผลสำเร็จมิใช่ด้วยอำนาจ มิใช่ด้วยพลัง แต่ด้วยจิตของเรา พระยาห์เวห์จอมจักรวาลตรัส ภูเขายิ่งใหญ่เอ๋ย เจ้าเป็นอะไร เจ้าจะเป็นที่ราบต่อหน้าเศรุบบาเบล” (4:6-7)
เมื่อปิตาจารย์แตร์ตูเลียน (Tertullian) กล่าวถึงคริสตชนที่ถูกลงโทษให้ต่อสู้กับสัตว์ร้ายในสนามกีฬาเพื่อความเพลิดเพลินของชาวโรมัน เขาเปรียบเทียบบทบาท ของพระจิตเจ้ากับบทบาทของโค้ชนักกีฬา จึงเรียกพระจิตเจ้าว่าเป็นโค้ชของมรณสักขี เพราะเป็นพระจิตเจ้านี่เองที่ประทานความกล้าหาญแก่มรณสักขีตามธรรมชาติแล้ว คนที่ขี้ขลาดจะให้ความกล้าหาญแก่ตนเองไม่ได้ แต่ในชีวิตเหนือธรรมชาตินั้นเป็นไปได้ ผู้ที่ขาดความกล้าหาญก็สามารถรับความกล้าหาญ จากพระจิตเจ้าเพราะ “พระจิตเจ้าเสด็จมาช่วยเหลือเราผู้อ่อนแอ” (โรม 8:26) ความอ่อนแออาจจะเป็นโอกาศพิเศษที่เราจะประสบพระพลานุภาพของพระจิตเจ้า
ส่วนภาพของลมหายใจ หรือลมเบาๆ ช่วยอธิบายถึงน้ำพระทัยดี ความรักอ่อนโยน ความสงบนิ่งของพระจิตเจ้าผู้สถิตอยู่ในใจมนุษย์ ลมหายใจเป็นสิ่งที่อยู่ภายในมนุษย์ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิต เป็นสิ่งที่เป็นของส่วนตัวมากที่สุด
ใน ภาษาฮีบรูและกลุ่มภาษาเซมิติกอื่นๆ เช่น ภาษาซีเรียโบราณคำว่า รวกฮ์ (רוח) เป็นศัพท์ที่มีเพศหญิงผู้พูดภาษาเหล่านี้ก็รู้สึกว่าพระจิตเจ้าทรงมีลักษณะเหมือนกับแม่ คือ มีบุคลิกภาพที่อ่อนโยนและอ่อนหวานในสมัยก่อนสตรีไม่มีสิทธิในสังคมเท่าเทียมผู้ชาย ไม่ว่าจะในด้านการเมือง , การศึกษา , ศิลปะ , ปรัชญาเป็นต้น นอกจากภายในครอบครัว แต่ในทุกสมัยทั้งชายและหญิงมีสิทธิเท่ากันที่จะเป็นคนศักดิ์สิทธิ์เพราะพระจิตเจ้าประทานความศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้ที่อ่อนน้อมต่อพระองค์ โดยเคารพต่อบุคลิกภาพของแต่ละคน พระจิตเจ้า มักจะแสดงธรรมล้ำลึกแห่งความรัก ความอ่อนโยน การดูแลเอาใจใส่ในนักบุญที่เป็นหญิง
2. น้ำ (Water) 💧
ในพระวรสารตามคำเล่าของนักบุญยอห์นเราอ่านพระวาจาของพระเยซูเจ้าพร้อมกับคำอธิบายของผู้เขียนว่า “ผู้ใดกระหาย จงมาหาเราเถิด ผู้ที่เชื่อในเรา จงดื่มเถิด ตามที่พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ลำธารที่ให้ชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น’ พระเยซูเจ้าตรัสดังนี้หมายถึงพระจิตเจ้า ซึ่งผู้ที่เชื่อในพระองค์จะได้รับ” (ยอห์น 7:37-39) น้ำ เป็นสัญลักษณ์ของชีวิต ถ้าน้ำเป็นสัญลักษณืของพระจิตเจ้าก็หมายความว่าพระจิตเจ้าทรงเป็นผู้บันดาลชีวิต “พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้ประทานชีวิต ลำพังมนุษย์ทำอะไรไม่ได้ วาจาที่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้นให้ชีวิต เพราะมาจากพระจิตเจ้า” (ยอห์น 6:63) ชีวิตที่พระจิตเจ้าประทานนั้นเป็นชีวิตเหนือธรรมชาติที่เรารับอาศัยพระวาจา ของพระเจ้าและศีลศักดิ์สิทธิ์ เราสามารถเลือกชีวิตใหม่นี้ได้โดยอิสระ ไม่เหมือนชีวิต ธรรมชาติที่เราไม่สามารถตัดสินใจที่จะรับหรือไม่รับและเราเลือกชีวิตใหม่นี้ได้อาศัยความเชื่อดังที่นักบุญเปาโล อัครสาวก (Saint Paul the Apostle) เขียนถึงคริสตชนชาวเธสะโลนิกาว่า เขา “ที่จะรับความรอดพ้น เพราะความเชื่อในความจริงและด้วยเดชะพระจิตเจ้า ผู้ทรงบันดาลความศักดิ์สิทธิ์” (2 เธสะโลนิกา 2:13) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์หมายถึง กิจการของพระจิตเจ้าในศีลล้างบาปทำนองเดียวกัน สภาพการณ์ปฏิสนธิในครรภ์ครั้งแรกของเราดำเนินไปในน้ำฉันใด น้ำแห่งศีลล้างบาปก็มีความหมายอย่างแท้จริงว่า เราได้รับการเกิดสู่ชีวิตพระซึ่งเป็นของประทานจากพระจิตเจ้า การใช้น้ำในศีลล้างบาปยังหมายถึง การชำระล้างมนุษย์จากบาปอีกด้วย ดังที่นักบุญเปาโล อัครสาวก (Saint Paul the Apostle) เขียนว่า “เดชะพระจิตเจ้าพระองค์เดียว เราทุกคนจึงได้รับการล้างมารวมเข้าเป็นร่างกายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือเป็นไทยก็ตาม เราทุกคนต่างได้รับพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน” (1 โครินธ์ 12:13)
3. ไฟ หรือลิ้นไฟ (Flame or Tongue of Fire) 🔥
เราไม่ต้องรู้สึกแปลกใจที่ไฟ🔥 ซึ่งตรงกันข้ามกับน้ำ💧 ก็ยังเป็น สัญลักษณ์ของพระจิตเจ้าด้วย พระเยซูเจ้าก็เช่นกันได้รับการขานพระนามว่า "สิงโตจากตระกูลยูดาห์ (Lion of Judah)" และ "ลูกแกะของพระเจ้า (Lamb of God)" ภาพเปรียบเทียบตรงกันข้ามเหล่านี้ ต่างเสนอลักษณะบางอย่างของพระจิตเจ้าถ้าน้ำ💧เป็นสัญลักษณ์ว่า พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้บันดาลชีวิต ไฟ🔥ก็บอกเราว่า พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้ชำระเราให้บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์เต็มเปี่ยม น้ำ ชำระล้างก็จริง แต่บางอย่างไม่สามารถใช้น้ำ ต้องใช้ไฟเท่านั้น“ดังนั้น ท่านจงชื่นชม แม้ว่าในเวลานี้ท่านยังต้องทนทุกข์จากการถูกทดลองต่างๆ ชั่วขณะหนึ่ง เพื่อคุณค่าที่แท้จริงแห่งความเชื่อของท่านจะได้รับการสรรเสริญ รับสิริรุ่งโรจน์และรับเกียรติเมื่อพระเยซูคริสตเจ้าจะทรงสำแดงพระองค์ ความเชื่อนี้ประเสริฐยิ่งกว่าทองคำที่เสื่อมสลายได้ แต่ก็ยังถูกทดสอบด้วยไฟ” (1 เปโตร 1:6-7)
พระจิตเจ้าทรงช่วยชำระบาปไป จากจิตใจเรา ตามกระบวนการดังต่อไปนี้ คือ ทรงเคาะประตูมโนธรรมของเราให้สำนึกผิด ทรงช่วยเราให้เป็นทุกข์กลับใจ ทรงชวนเราให้สารภาพบาป ทรงอภัยบาปทำให้เราเป็นอิสระประทานความศักดิ์สิทธิ์แก่เราเสียใหม่ และในที่สุดทรงให้เราเร่าร้อนด้วยความรักต่อพระเจ้าดังนั้น ในขณะที่น้ำหมายถึงการเกิดและความอุดมสมบูรณ์แห่งชีวิตที่ได้รับการประทานมาจากพระจิตเจ้าไฟ🔥ก็เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังการเปลี่ยนแปลง ที่มีอยู่ในกิจการของพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าตรัสว่า "เรามาเพื่อจุดไฟในโลก เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ" (ลูกา 12:49) ในวันเปนเตกอสเต(Pentecost) บรรดาสาวกได้เห็น "เปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม และเริ่มพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด" (กิจการ 2:3-4) นักบุญเปาโลจึงเตือนคริสตชนว่า "อย่าดับไฟของพระจิตเจ้า" (1 เธสะโลนิกา 5:19)
4. ก้อนเมฆ หรือก้อนเมฆที่ส่องสว่าง (Cloud) ⛅️
ในหนังสืออพยพ ก้อนเมฆที่ส่องสว่างให้ชาวอิสราแอลเดินทางไปได้ ในเวลากลางคืนเป็นสัญลักษณ์ของพระจิตเจ้าผู้ทรงนำเขา ไปสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญา พันธสัญญาเดิมยังกล่าวว่า "โมเสสขึ้นไปบนภูเขาแล้วเมฆปกคลุมภูเขาไว้ พระสิริรุ่งโรจน์ของพระยาห์เวห์ลงมาอยู่บนภูเขาซีนาย" (อพยพ 24:15-16) เมฆยังลงมาในกระโจมนัดพบในถิ่นทุรกันดาล และในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม เมื่อกษัติย์ซาโลมอนทำพิธีอภิเษกพระจิตเจ้าเสด็จลงมา เหนือพระนางพรหมจารีมารีย์เหมือนเมฆมาแผ่เงาปกคลุมนาง (เทียบ ลูกา1:35 ทูตสวรรค์ตอบว่า “พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่าน และพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่านเพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า) บนภูเขาทาบอร์ที่พระคริสตเจ้าทรงสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์ เป็นพระจิตเจ้าที่เสด็จมาในก้อนเมฆที่ปกคลุมพระเยซูเจ้า โมเสส และประกาศกดเอลียาห์ สุดท้ายเมื่อพระคริสตเจ้าเสด็จของสวรรค์ต่อหน้าบรรดาอัครสาวก เมฆก้อนเดียวกันนี้เองที่บังพระองค์ไปจากสายตาของเขา (เทียบ กิจการ 1:9 เมื่อตรัสดังนี้แล้วพระองค์เสด็จสู่สวรรค์ต่อหน้าเขาทั้งหลาย เมฆบังพระองค์จากสายตาของเขา) ก้อนเมฆที่ส่องแสงสว่างจึงเป็นสัญลักษณ์ของพระจิตเจ้าผู้นำทางเราไปสู่พระคริสตเจ้า