จากความเชื่อที่ว่า นักกีฬายุโรปเขาเล่นเร็ว เราต้องเล่นให้เร็วยิ่งกว่าเขา เราถึงจะเอาชนะเขาได้นั้น มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่คิดว่า ต้องทำแบบนี้ถึงจะชนะได้ แต่การเล่นเร็วมีต้นทุนที่ต้องจ่ายแพงกว่าปกติ นั่นคือต้องใช้พละกำลังมากกว่าปกติที่เคยใช้ ยิ่งเล่นเร็วเท่าไรยิ่งต้องใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น ต่อให้ร่างกายนักกีฬาสมบูรณ์แข็งแรงดี แต่ด้วยสรีระโดยธรรมชาติที่เป็นคนตัวเล็ก ภาพที่เห็นในการแข่งขันจึงไม่ต่างอะไรกับการเอาคนตัวเล็กที่มีพละกำลังน้อยกว่าไปปะทะกับคนตัวใหญ่ที่มีพละกำลังมากกว่า ยิ่งปะทะนานเรายิ่งยุบ ยิ่งชนยิ่งหมดสภาพเร็วขึ้น และสุดท้ายเราเป็นฝ่ายไปก่อนเขาในที่สุด อย่าลืมว่าเราเล่นเร็วกับเขาได้ เขาก็เล่นเร็วกับเราได้เช่นกัน เรียกว่าเร็วมา เร็วกลับ ไม่โกง แต่ระยะยาวเรามักเป็นฝ่ายแพ้ เพราะนักกีฬาเราตัวเล็กแข็งแรงสู้เขาไม่ได้ 

ใครที่คิดว่าการเล่นระบบ SF คือ การใช้ความเร็วเข้าสู้กับทีมคู่แข่ง แสดงว่าคุณกำลังถูกโค้ชอ๊อดหลอกให้เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น เพราะทุกครั้งที่มีการเร่งสปีดความเร็ว นักกีฬาเราต้องสูญเสียพละกำลังมากขึ้นเสมอ ยิ่งเพิ่มสปีดความเร็วเท่าใด ยิ่งต้องโหมใช้พละกำลังมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายมันเลยกลายเป็นการเอาจุดอ่อนเรื่องความแข็งแรงของร่างกายนักกีฬาเราสู้ทีมคู่แข่งไม่ได้ ไปสู้กับจุดแข็งของนักกีฬาเขาโดยไม่รู้ตัว  
 
ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมหลังจบเกมการแข่งขันทุกครั้ง โค้ชด่วนมักจะให้สัมภาษณ์พูดถึง เรื่องการเร่งฟื้นฟูสภาพร่างกายของนักกีฬาให้กลับคืนมาโดยเร็วเพื่อเตรียมตัวแข่งในครั้งต่อไปอยู่เสมอ

ปล. แนบคลิปเพื่อยืนยันว่า คำว่า SF มีที่มาที่ไปมาจากโค้ชอ๊อด (พอดีหาบทสัมภาษณ์ของโค้ชอ๊อดเรื่อง Super Fast ไม่เจอ)