สวัสดีค่ะ วันนี้จะมารีวิวแม่กำปองฉบับผู้หญิงเที่ยวคนเดียว รีวิวตั่งแต่การเดินทาง ค่าใช้จ่าย ความประทับใจ ไม่ประทับใจแต่เอ๊ะไม่ดีกว่า เอาเป็นว่ารีวิวแต่เรื่องดีๆเนาะ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นจากเชียงใหม่นะค่ะ เพราะอยู่ที่นี่อยู่แล้ว โดยทริปของเราเป็นทริปวันหยุดเสาร์อาทิตย์ นั่นหมายความว่ามีเวลา 2 วัน 1 คืน นอนตื่นก็ไปกันเลย
เริ่มต้นการเดินทางจากที่พักไปยังตลาดวโรรสด้วยบริการรถของ Maxim ราคาจากที่พักไปตลาดวโรรส 108 บาท ลงตรงคิวรถตู้เชียงใหม่-แม่กำปอง ใกล้ๆสะพานลอย ตรงข้ามตลาดดอกไม้ตลาดวโรรส ถ้าจะให้ดีต้องจองคิวรถตู้ล่วงหน้ามาก่อนเพราะเต็มเร็วมาก ของเราจองแบบไป-กลับ กับเพจ รถตู้แม่กำปองน้ำพุร้อนสันกำแพงจ้า ราคาอยู่ที่เทียวละ 150 บาท ตารางเวลารถตู้มีดังนี้จ้า
ชียงใหม่ >>> แม่กำปอง ขึ้นที่ตลาดวโรรส ส่งศูนย์การเรียนรู้แม่กำปอง : 7.40 , 9.30 , 11.40 , 14.30
แม่กำปอง >>> เชียงใหม่ ขึ้นที่ศูนย์การเรียนรู้ ส่งตลาดวโรรส 9.20 ,11.20 , 13.20 , 16.00
ทางบริการรถตู้ดีมาก มีแจ้งเตือนเวลาล่วงหน้า ส่งแชทคอยแจ้งเตือนทั้งขาไป-ขากลับ เช็คชื่อขึ้นรถ พนักงานสุภาพ ที่สำคัญสเปกอิงลิชรัวๆเลยจ้า
คิวรถตู้เชียงใหม่แม่กำปอง
คิวรถตู้อยู่ตรงข้ามตลาดดอกไม้ ตลาดวโรรส หรือกาดหลวงนั่นแหล่ะจ้า ส่วนอีกภาพไม่เกี่ยวอยากลงเฉยๆ ท้องฟ้ากับน้ำปิงก็สวยนะ

เราเดินทางเวลา 09.30 น.ถึงแม่กำปองราวๆ 11.00 โมง ใช้เวลา 1.30 ชั่วโมงนิดๆ ถือว่าไม่นานมาก ส่วนเส้นทางก็ไม่ได้ลำบากโค้งปะปลาย ยังไม่ทันเมารถก็ถึงซะหล่ะ 555 ไปถึงเราก็เข้าที่พักเลยจองไว้ล่วงหน้าเช่นกัน เราจองที่พักเป็นโฮมสเตย์ ชื่อว่า 'ลุงนึก บ้านดอกเมี่ยงแม่กำปอง' ในราคาที่พักรวมอาหารเช้า 500 บาท ซึ่งที่พักอยู่ห่างจากที่จอดรถตู้ตรงศูนย์เรียนรู้ 20 เมตร เรียกได้ว่าติดกันเลยก็ว่าได้ ที่พักไม่ติดน้ำตก แต่ใกล้ตลาด ใกล้ร้านข้าวซอยกลอยใจ ร้านลุงปุ๊ดป้าเป็ง ถือว่าดีสุดๆ เจ้าของที่พักน่ารักมากให้เราเข้าพักได้ก่อนเวลา 14.00 ที่พักสะอาด เป็นกันเอง แนะนำที่ท่องเที่ยวและที่สำคัญอาหารเช้าอลังการมาก ประทับใจสุดๆ
บริเวณโฮมสเตย์ สะอาด และเงียบสงบ
ห้องพักเป็นห้องพัดลมสะอาดสะอ้านดีมาก
หลังจากเข้าที่พัก และพักผ่อนสักแปบหนึ่ง ต่อไปคือการเดินสำรวจหมู่บ้าน และหาข้าวเที่ยวกิน โดนมื้อแรกเราฝากท้องที่ร้านดัง นั้นก็คือ 'ร้านข้าวซอยกลอยใจ' แต่บอกไว้ก่อนนะไม่มีรีวิวข้าวซอย หรือน้ำงงน้ำเงี้ยวอะไรทั้งนั้น เพราะปกติอยู่เชียงใหม่ก็กินนับครั้งได้ ดังนั้นสิ่งที่สั่งมาก็คือ ข้าวไข่เจียวหมูสับ และตำปูปลาร้า 555 ลูกอีสานอย่างเรานั้นจะขาดปลาร้าปลาแดกไปได้อย่างไรกัน มื้อนี้หมดไป 123 บาท (ราคาอาหารแอบบสูงนะแต่เข้าใจได้ว่าแหล่งท่องเที่ยวเลยคิดว่าช่างมัน555)
หลังจากอิ่มท้องสถานที่ต่อไปก็คือ 'วัดกลางน้ำ' หรือ 'วัดคันธาพฤกษา' อันนี้ประทับใจสุดๆ เป็นวัดเล็กๆอยู่ท่ามกลางน้ำตก มีเสียงน้ำไหลตลอดเวลา โอ้โหอะเมซิ่งมาก
เดินเล่นถ่ายรูป ถ่าย tiktok ที่วัดกลางน้ำจนหนำใจแล้ว เราก็เดินขึ้นมาสำรวจหมู่บ้านอีกครั้ง หมู่บ้านน่ารักนะ มีกลิ่นไอของวิถี เมื่อก่อนสมัยที่ยังไม่เป็นธุรกิจน่าจะเงียบสงบและเห็นวิถีของคนในท้องถิ่นจริงๆ แต่นั่นแหล่ะยุคสมัยเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน คนในชุมชนต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด แต่โดยรวมก็ฮีลใจได้ดี
เดินเหนื่อยหล่ะของแวะมาเติมของหวานที่ 'ร้านลุงปุ๊ด & ป้าเป็ง coffee แม่กำปอง' ซะหน่อยร้านนี้ดัง จะพลาดได้ไง เราสั่งเป็นโกโก้เย็น และทีรามิสุเค้ก โดนค่าเสียหายไป 205 บาท โดยโซนนั่งจะติดน้ำตกเลย บรรยากาศดีมากๆ ชอบๆ แถมภายในร้านยังขายของฝากและเสื้อผ้าเมืองอีกตะหากโดยรวมถือว่าดีเลย
เมนูของหวาน และบรรยากาศภายในร้าน
ส่วนคนนี้เราเอง 5555
หลังจากกินอิ่ม หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน กลับไปนอนที่ห้องดีกว่าเย็นๆค่อยออกมาหาอะไรกินอีกที 5555 แต่เดินออกจากร้านปุ๊บ เห็นแลนด์มาร์คสำคัญนั่นก็คือภาพวาดหมาตรงประตูสังกะสี อ่ะๆ ถ่ายรูปสักหน่อยเดี๋ยวเขาหาว่ามาไม่ถึง ซึ่งการไปคนเดียวโดยที่ไม่มีขาตั้งกล้องนั่นคนที่จะสามารถถ่ายภาพให้เราได้นั่นจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากนักท่องเที่ยวแถวนั่น ซึ่งกรณีเรารบกวนน้องคนสวยที่มาเที่ยวกับครอบครัวถ่ายให้ ถ้าน้องจำพี่ได้อยากขอบคุณน้องมากๆ ที่ทำให้พี่ได้รูปดีๆกับเขาตั้งหลายรูป
คนนี้เราอีกหล่ะ 555
หลังจากพักผ่อนจนหนำใจ ก็ได้เวลาออกหากิน ตลาดเริ่มไวมาก 16.00 ก็เริ่มเปิดทุกร้านแล้ว และร้านก็ปิดไวมากเช่นกันโดยเฉพาะร้านเล็กๆ โดยทุกอย่างจะเงียบสงบในเวลา 21.00 ออกมาเดินตอนเย็นคนละฟิวกับตอนกลางวันเลย แสง เงา ไฟ กระทบกัน ได้บรรยากาศสุดๆ ซึ่งร้านที่ประทับใจมากที่สุดในทริปนี้คือร้าน 'แมวดอย แกลลอรี่ ณ แม่กำปอง' ทุกอย่างดี feel ดี สุดๆ ทุกอย่างในร้านเป็นรูปน้อนแมว ตั่งแต่เสื้อผ้า กระเป๋า ภาพวาด ที่ติดตู้เย็น พวงกุญแจ โปสการ์ ฯลฯ ทุกอย่างล้วนเป็นน้อน พี่เขาบอกว่าวาดเองทุกชิ้น เราคาไม่แพงด้วยนะถ้าเทียบกับงานฝีมือ
เดินเหนื่อยแล้วหาอะไรกินดีกว่า เดินไปเดินมาไม่รู้จะกินอะไร ได้เมลอนมา 2 ชื้น 39 บาท หวาน ฉ่ำเลยนะ ต่อด้วยานอะไรไม่รู้ไม่ได้ดูชื่อป้าย รู้แต่ว่าเป็นร้านที่ขายไส้ย่างที่แม่ค้าบอกว่าเป็นตำนานของแม่กำปอง อร่อยจนต้องมาลองอีกครั้ง 555 แม่ค้าว่าอย่างนั้น ส่วนเราน้ำเงี้ยวเส้นหมี่ก็พอ อันนี้แปลกให่มากปกติกินแต่ขนมจีนน้ำเงี้ยวแต่นี่เส้นหมี่อร่อยไปอีกแบบ ราคาอยู่ที่ 50 บาท
ปิดท้ายวันแรกไว้แค่นี่ เดี๋ยวมาต่อ วันที่ 2 อิอิ กิจกรรมไม่แน่นมาก แต่ก็แอบไปเก็บจุดสำคัญๆอีกที่ พร้อมสรุปค่าใช้จ่าย

มาต่อวันที่ 2 กันค่ะ วันนี้ไม่ค่อยมีกิจกรรม ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่กิ่วฝิ่นก็ไม่ได้ไปเพราะอยากนนอนตื่นสาย ก็ฝนมันตกอะเนาะบรรยากาศมันได้ 555
พอตื่นมาประมาณ 09.00 โมง ก็โทรบอกพี่เจ้าของที่พักให้มาตั้งโต๊ะอาหารเช้า (อันนี้พี่เขาแจ้งไว้นะค่ะ ว่าตื่นตอนไหน หรืออยากให้ตั้งโต๊ะตอนไหนค่อยโทรบอก) ซึ่งเราไม่ได้คาดหวังอะไร แต่ แต่ อาหารเช้าที่พี่เขาบอกว่าเป็นข้าวต้มหมูคือชามใหญ่มาก พี่เข้าน่าจะลืมว่าเรามาคนเดียว 5555 อร่อยด้วยนะไม่ใช่ข้าวต้มหง่อยๆ กินซัก 3 คนกำลังดี แต่เรากินคนเดียวเหลือ แอบเสียดาย นอกจากข้าวต้มหมูแล้วยังมีไข่ต้ม โอวัลตินที่ชงกี่ซองก็ได้ แต่เราชงซองเดียวเกรงใจพี่เขา และขนมกินกับโอวัลตินอีก 2 ห่อ เรียกว่าอิ่มยันเที่ยง

หลังจากอิ่มท้องแล้วก็จัดการอาบน้ำแต่งตัว เรา Check out ตอนประมาณ 10.30 โมง ฝากกระเป๋าไว้กับที่พักก่อน เพราะจองรถตู้กลับรอบ 13.20 น. หลังจากนั้นก็หารถขึ้นไป 'ร้านระเบียงวิว' แลนด์มาร์กสำคัญจะพลาดได้ไง โดยเรานั่งรถโดยสารของชุมชน พี่เจ้าของที่พักเรียกให้ไปคนเดียวแบบเหมาคัน 60 บาทเพราะไม่มีคนแชร์ แต่ถ้ามีคนแชร์ก็คนละ 20 บาทนะ แต่ไม่ซีเรียสเพราะถ้าเดินไปเองก็คงหลายหอบอยู่เพราะขึ้นเขา มาถึงร้านระเบียงวิวก็เรียกได้ว่าไม่ผิดหวังเพราะได้ฟีลค่อนข้างดี มองเห็นหมู่บ้านแม่กำปองแบบ 180 องศา เราเลือกนั่งที่ระเบียงข้างหน้าเลย 555 จะได้ซึมซับบรรยากาศเต็มที่ หลังจากนั่งไปสักพักมีคุณลุงคนหนึ่งเดินมาชวนคุยแนะนำร้านและที่พักน่าจะเป็นเจ้าของ คุณลุงใจดีแถมถ่ายรูปให้เราตั้งหลายรูป พร้อมการจัดท่าด้วยเรียกว่าประทับใจ
'แม่กำปอง' คนเดียวก็เที่ยวได้