ไปสัมภาษณ์งาน เหมือนกำลังโดนดูถูก

คือเราไปสัมภาษณ์งานเเล้วโดนถามว่า ค่าห้องเช่าที่เราเช่ากี่บาทต่อเดือน เราตอบไปว่า 3 พัน ภายในห้องมีอะไรบ้าง มีเเอร์ไหม มีเฟอร์นิเจอร์อะไรไหมในห้อง พักกี่คน 
เราเลยตอบไป พัก 3 คนเรากับพ่อเเม่ เขาเลยถามว่าห้องกว้างกี่ตารางเมตร  ทำไมห้องราคาถูกจัง  เเต่ในส่วนของห้องกี่เมตรกี่ตารางเมตรเราไม่รู้เราเลยบอกไม่รู้
เเล้วก็มีในส่วนของรายละเอียดงานที่ไม่ตรงกับที่ให้ไว้ใน jobthai ตรงนี้เราเริ่มรู้สึกว่ารับไม่ได้เเล้ว ก็คือให้รับผิดชอบดูเเละส่วนหน้างาน ค่อยซับพอร์ตงาน จป. เเต่จริงๆตำเเหน่งเราคือธุรการ เเละก็มีรายละเอียดงานที่ต้องรบกวนตอนดึกตอนหลังเลิกงานหรือวันหยุด ว่าช่วยพาหัวหน้าไปซื้อของได้ไหม เราเลยตอบว่ามีขอบเขตเวลาได้ไหมว่าว่ากี่โมงถึงกี่โมง เพราะวันหยุดควรจ่ายเป็นโอที
 เขาก็บอกว่าไม่ได้ คือเเล้วเเต่ถ้าหัวหน้าสะดวกจะให้ช่วยงานตอนไหนก็ได้

เเละก็มีคำถามทิ้งท้ายว่า รับความกดดันในการทำงานได้ไหม เราเลยตอบว่าไม่ได้เพราะเราก็ไม่รู้ว่าที่นี่มีความกดดันเเบบไหน ต้องให้ลองทำงานก่อนถึงจะทราบค่ะ เเต่ก็มีผู้สัมภาษณ์อีกคนรีบตัดบทเราว่า งั้นพอเเค่นี้ค่ะ พี่ว่าเสียเวลาคนอื่นที่จะมาสัมภาษณ์อีกคน เราเลยยกมือไหวขอบคุณเเล้วออกจากห้องทันที

คือเราอยากสอบถามว่าจริงๆเเล้วเขาจะวัดจิตวิทยา หรือทัศนคติไหมเเบบนี้
ซึ้งเราคิดว่าการถามเรื่องส่วนตัวเกินไปอาจจะล้ำเส้น เรื่องของห้องพักที่พักที่ถามว่าพักกี่คน ทำไมห้องราคาถูกจังอะไรประมานนั้น
 เเละเราคิดว่าการทำงานในวันหยุดเราก็ทำได้ ถ้ามีเงินค่าโอทีหรือสวัสดิการตอบเเทนให้ เเต่พอเขาตอบมาว่าไม่มีโอทีให้ ถ้าจะรบกวนเวลาวันหยุดเราก็ไม่โอเคเเล้วค่ะ  เรารู้สึกไปสัมภาษณ์เเบบผิดหวังเเละเสียเวลามากๆเลยค่ะ เเอบนอนเเละน้อยใจ

เพื่อนๆมีความคิดยังไงบ้าง
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
คำถามเรื่องห้อง เรื่องอะไร ถ้าไม่สะดวกตอบ ก็ตอบเท่าที่อยากตอบ
เป็นบทเรียนในอนาคตว่า คนนอกบ้าน ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องในชีวิต เขามีสิทธิ์รู้ เฉพาะเท่าที่เรากำหนดเท่านั้น คนมีปาก อยากถามอะไรก็ถาม แต่คุณ เป็นคนเลือกเองว่า เขามีสิทธิ์ละลาบละล้วงได้แค่ไหน ซึ่งคนมีมารยาท เขาก็จะรู้ได้เองว่า อะไรควรถาม ไม่ควรถาม ส่วนคนมารยาทน้อย มันก็ปากรั่วถามไปเรื่อย คุณก็ต้องรู้จักควบคุม กำหนดเองว่า เขารู้ได้เท่านี้นะ


เรื่องงานที่นอกเหนือเวลางาน หรือต่ำกว่า JD มากๆ มันก็ตีความได้สองอย่างคือ ผูกไมตรี สร้างสัมพันธ์กับหัวหน้า กรือประจบนั่นเอง แต่ในอีกแง่ ถ้าเป็นประเทศพัฒนาแล้ว การใช้ลูกน้องไปซื้อของ ยกกาแฟ ถูพื้น ทิ้งขยะ เก็บของบนโต๊ะให้หัวหน้า เป็นงานที่เรียกว่า ลดคุณค่าของลูกจ้าง หมายถึง ตัวงานไม่ได้ลดคุณค่า แต่การใช้ให้ลูกน้อง ไปทำอะไรที่ต่ำกว่างานที่รับเข้ามา จะถือเป็นการไปลดคุณค่าของเขา

แต่ถ้าจ้างมาเพื่อชงกาแฟ ขับรถไปรับลูกเจ้านาย ยกของ เก็บโต๊ะ รับซื้อของ หิ้วของ โดยเฉพาะ อันนี้ก็อีกเรื่อง

สไตล์การสัมภาษณ์บางทีมันบ่งบอกถึงลักษณะคนในองค์กรนั้นได้ด้วยนะ อย่ามองข้าม มันทำให้คุณเห็นว่า ถ้าเข้ามา จะเจอคนปากแบบไหนบ้าง หากไม่ชอบ ก็ตัดสินใจแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่เสียเวลาทั้งสองฝ่าย
ความคิดเห็นที่ 2
สัมภาษณ์แย่มาก เรื่องส่วนตัวแบบสุดๆ ไม่ได้สนิทกันก็ไม่ควรถามอะไรแบบนี้
ความคิดเห็นที่ 8
ก็แฟร์ๆ ตรงๆ ทั้งคู่นะคะ ด้วยชั่วโมงบินน้อย คุณจึงไม่ทราบว่าควรโต้ตอบอย่างไรเวลาเจอทำถามกวนประสาท แต่อย่างน้อยคุณก็ตอบได้ดีในเรื่องการใช้งานนอกเวลางานและการไม่มีโอที เพราะการสัมภาษณ์งานมันเป็นการเปิดโอกาสองให้ทั้งสองฝ่ายได้พิจารณาซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ฝ่ายนายจ้างพิจารณาเราอย่างเดียวค่ะ

การถามถึงที่อยู่หรือเรื่องค่าเช่า มันบอกได้หลายอย่างค่ะ
1. ระยะเวลาการเดินทาง
2. ภาระค่าเช่า บ่งบอกถึงสถานภาพทางสังคม
3. อยู่กันกี่คนอยู่กับใคร อันนี้จะดูภาระเป็นหลัก บางคนบอกว่ามีลูกและสามี ก็จะมีคำถามต่อว่าลูกอายุเท่าไหร่ สามีทำงานอะไร คือมันประเมินภาระชีวิตและผลกระทบจากการขาดงานได้ค่ะ กลุ่มที่มีลูกเล็กมักขาดงานบ่อย หรือมีญาติที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง หรือมีสามีที่มีหน้าที่การงานที่อาจช่วยส่งเสริมในงานของบริษัทได้

คุณคิดถูกแล้วที่ไม่ทำกับที่นี่ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่