“ชูวิทย์แบล็กเมล์เศรษฐา เบื้องหลังต้องการบีบแสนสิริ”จ่าย1,800 ล้าน ซื้อที่ดินตัวเอง **เมื่อการเมืองเจอโรคเลื่อน

กระทู้คำถาม
อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ “ชูวิทย์” แบล็กเมล์ “เศรษฐา” เบื้องหลังต้องการบีบ “แสนสิริ”จ่าย1,800 ล้าน ซื้อที่ดินตัวเอง
คนที่เรียกตัวเองว่า “โจร” อย่าง ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่
ปั่นเรื่อง “นายกตัวสูง” ว่า มีพฤติกรรมต้องสงสัยเข้าข่ายนิติกรรมอำพรางเจตนาเลี่ยงภาษีซื้อขายที่ดิน เรียกร้องความสนใจ เรียกแสง
สุดท้ายพ่นน้ำลายเล่น “ละครลิง” ความจริงอยู่บรรทัดไหนไม่รู้ แต่ที่แน่ๆเป้าหมาย เพื่อจะด้อยค่า “เศรษฐา ทวีสิน” นั้น ไม่เหมาะกับตำแหน่งว่าที่นายกฯคนที่ 30 เพราะ ไม่บริสุทธิ์

มุกเดิม มาแบบเดิม คิดเองว่าไม่มีใครรู้เบื้องหลัง
เหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เรียกอีเว้นต์ใหญ่โตว่า “แฉเพื่อชาติ” แฉเรื่องวงการสีเทา ความจริงกลับเป็นเรื่อง “แฉไปไถไป” แฉรถไฟฟ้าสีส้ม เบื้องหลังก็คือ “รับงาน”

งานนี้ก็เหมือนกัน แฉ “เศรษฐา” ก็มีวาระซ่อนเร้น โดยที่คนในวงการอสังหาฯ เขารู้กันดี เมื่อกลางปีที่แล้ว 2565 “ชูวิทย์” ได้เสนอขายที่ดินผืนหนึ่ง 500 กว่าตารางวา ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังโรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก ให้กับ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (บมจ.แสนสิริ) ในช่วงที่ “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นประธานอำนวยการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ ซึ่ง แสนสิริ เองก็มีความสนใจ เพราะต้องการที่ดินย่านใจกลางเมืองเพื่อพัฒนาเป็นอาคารชุด และคอนโดมิเนียม อยู่แล้ว

สนนราคา “ชูวิทย์” อยากจะขายในมูลค่า 1,800 ล้าน แต่การซื้อขายไม่ลุล่วง เพราะก่อนหน้านี้อดีตเจ้าของอาบอบนวด มีภาระผูกพันจะซื้อจะขายที่ดินผืนนี้ให้กับบริษัทอสังหาฯ อีกรายเมื่อปี 2564 ในราคา 2,000 ล้าน วางมัดจำกันไปแล้ว 400 ล้าน ที่เหลือจะผ่อนชำระ แต่ยังไม่มีการชำระเงินส่วนที่เหลือ และต่อสัญญาตกลงซื้อขายกันมาแล้ว 4 ครั้ง

“แสนสิริ” แม้ต้องการซื้อ แต่เมื่อทราบเรื่องดังกล่าว จึงมีเงื่อนไข ขอให้ “ชูวิทย์” ไปจัดการยกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินกับ บริษัทดังกล่าวให้สิ้นสุดทางกฎหมายเสียก่อน ซึ่งหากแสนสิริ เข้าซื้อที่ดินจากชูวิทย์ อาจเกิดปัญหาฟ้องร้องตามมาได้ โดยที่ ชูวิทย์ อ้างกับแสนสิริว่า “เคลียร์ได้”
โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ที่ว่า เคลียร์ได้ “ชูวิทย์” อ้างว่า เมื่อปี 2565 บริษัทที่จะซื้อที่ดินกับตัวเองก็ยังไม่สามารถชำระเงินส่วนที่เหลือได้ ทำให้ชูวิทย์ทำหนังสือขอยกเลิกสัญญาไป พร้อมริบเงินค่ามัดจำ 400 ล้าน

ในความเป็นจริง “ชูวิทย์” ก็ยังไม่เคลียร์ นอกจากนั้น ยังพบด้วยว่า ที่ดินของชูวิทย์ที่เสนอขายมีราคาเฉลี่ยตารางตารางวาละ 3 ล้านบาท นั้นสูงกว่าราคาที่ดินในย่านนั้นเกือบ 1 ถึง 2 เท่าตัว โดยชูวิทย์ ได้ใช้วิธีการขายพ่วงกับใบอนุญาตก่อสร้างอาคารสูง และอาคารขนาดใหญ่พิเศษ พื้นที่ใช้สอย 60,000 ตารางเมตร มีใบอนุญาตก่อสร้างตั้งแต่ปี 2540 เป็นเวลา 20 กว่าปี และมีการต่อใบอนุญาตมาตลอด โดยอ้างว่า ได้มีการลงรากฐานไปแล้ว จึงทำให้ที่ดินมีมูลค่าสูงกว่าปกติ ซึ่ง แสนสิริจะต้องไปตรวจสอบอีกครั้งว่า ใบอนุญาตดังกล่าว ยังมีสภาพบังคับหรือไม่ อย่างไร

สรุปว่า การจะซื้อจะขายระหว่าง “แสนสิริ กับ ชูวิทย์” ติดปัญหาสัญญาซื้อขายที่ยังมีอยู่กับรายเดิม และกรณีใบอนุญาตก่อสร้างที่ยังต้องมีการตรวจสอบอีกครั้ง
มิหนำซ้ำ มีกระแสข่าวว่าชูวิทย์ พยายามขอเงินมัดจำหลักร้อยล้านบาทในทันที หากมีการตกลงซื้อขาย ส่งผลให้ แสนสิริ หรือ “เศรษฐา” ยังไม่ตัดสินใจตกลงซื้อที่ดินของชูวิทย์

ถึงตรงนี้ก็คงถึงบางอ้อกัน ทำไม “ชูวิทย์” พยายาม ปั่นเรื่องของ “เศรษฐา”!!

เมื่อ “เศรษฐา” เป็นแคนดิเดตนายกฯ และ เพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีโอกาสที่เศรษฐา จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 โจรอย่าง “ชูวิทย์” จึงสบช่องแบล็กเมล์ ประกอบกับแว่วว่า ช่วงนี้ “แฉไปไถไป” ใครเขาไม่ค่อยได้ เพราะคนรู้ทัน การเงินฝืดเคือง ต้องการกระแสเงินสด เพื่อนำแก้ปัญหาธุรกิจในเครือเดวิสกรุ๊ป เป็นอย่างมาก จึงต้องงัดมุกละครลิงตามถนัด มาโจมตีเศรษฐา เพื่อบีบให้ แสนสิริ และ เศรษฐา จ่ายเงินซื้อที่ดินของตัวเองให้ได้
เพราะรู้ว่า ถ้าแสนสิริไม่ซื้อก็จะหาคนมาซื้อยากแน่ เนื่องจากแสนสิริ มีศักยภาพด้านการเงิน และต้องการพัฒนาที่ดินในเขตเมืองอยู่เพียงรายเดียวในปัจจุบัน
พลาดครั้งนี้ เท่ากับรอไปอีกกี่ปีไม่รู้ หรือบางทีสังขารจะหมดสภาพ ตายไปก่อนใครจะไปรู้เช่นกัน เพราะฉะนั้น จึงหน้าด้าน หน้าทน รู้ว่าเป็นรถด่วนขบวนสุดท้าย ทำเป็นแฉเพื่อชาติ แต่เข้าอีหรอบเดิม “แฉไปไถไป”
พุทโธ่ ..ชูวิทย์ ความจริงมีหนึ่งเดียว เมื่อไหร่จะรู้จักจำบ้าง!!
**เมื่อการเมืองเจอโรคเลื่อน รู้หรือไม่ ใครได้ประโยชน์

หลังจากหัวหน้าและแกนนำพรรคเพื่อไทย ตั้งโต๊ะแถลง “ฉีกเอ็มโอยู” ไม่สามารถทำงานการเมืองในฐานะรัฐบาลร่วมกับพรรคก้าวไกลได้ ขอปลดพันธนาการไปหาพรรคการเมืองอื่นมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกันใหม่

ทำให้เมื่อสองวันที่ผ่านมา ในโซเชียลฯ จะเต็มไปด้วย บทเพลง บทกลอน วาทะคำขม ของบรรดา“ด้อมส้ม”ที่บ่งบอกบรรยาย ถึงความเศร้า ใจสลาย ผิดหวัง เสียดเย้ย สาปแช่ง ประมาณว่าถูกคนรักหักหลัง ทอดทิ้งไปมีใหม่!!

ขณะเดียวกันคอการเมือง ก็สืบเสาะ สอบถามว่า พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะดึงพรรคไหนมาร่วมบ้าง มีพรรคของทั้งสองลุงมาร่วมหรือไม่ หรือ จะมีแค่ “พรรคลุงป้อม” พรรคเดียว จำนวนเสียงสนับสนุนทั้งหมดจะมีเท่าไหร่ จำเป็นต้องพึ่งเสียง ส.ว.หรือไม่

คำถามเหล่านี้ “ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยในฐานะ “ผู้จัดการรัฐบาล” บอกเพียงว่า ทุกคำถามจะมีคำตอบในวันที่ 3 ส.ค. เวลาบ่าย 3 โมง

แล้วในวันที่ 3 ส.ค. ก็เป็นวันแห่งการเลื่อน โดยช่วงเช้า ก็มีรายงานข่าวว่า “ทักษิณ ชินวัตร” เลื่อนกำหนดการกลับไทย จากวันที่ 10 ส.ค.66 เป็นหลังจัดตั้งรัฐบาลเสร็จ ส่วนสาเหตุที่ต้องเลื่อน บอกว่ามาจากการตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว

เรื่องนี้ “ภูมิธรรม” ออกมายืนยันแบบไม่เต็มเสียงว่า ทุกอย่างยังเหมือนเดิม แต่ถ้าอยากได้คำตอบที่ชัดเจนกว่านี้ ให้ไปถามคนในครอบครัวชินวัตร
ช่วงสาย ศาลรัฐธรรมนูญประชุมเพื่อพิจารณาว่า จะรับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินไว้วินิจฉัยหรือไม่ กรณีรัฐสภามีมติไม่เห็นชอบกับการเสนอชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกฯพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯรอบสอง ขัดหรือแย้งต่อรธน.หรือไม่ …

ปรากฏว่า ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า คำร้องนี้มีประเด็นสำคัญ ที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และมีประเด็นเชิงหลักการ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่จะต้องพิจารณาเพิ่มเติม จึงให้เลื่อนการพิจารณาสั่งคำร้อง และให้สำนักงานศาลรธน. ศึกษาข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาของศาลรธน.เพิ่ม โดยนัดพิจารณาคำร้องนี้อีกครั้ง ในวันพุธที่ 16 ส.ค. 66

เมื่อศาลรธน.เลื่อนการวินิจฉัย ทาง “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานรัฐสภา ก็สั่งเลื่อนโหวตนายกฯ ซึ่งตามกำหนดเดิมจะโหวตกันในวันที่ 4 ส.ค. โดยจะนำเรื่องที่พรรคก้าวไกลเสนอแก้รธน. มาตรา 272 ปิดสวิตช์ส.ว. ขึ้นมาพิจารณาแทน ส่วนการโหวตนายกฯ ต้องรอหลังวันที่ 16 ส.ค. ว่าศาลรธน.จะมีคำสั่งอย่างไร

เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย ก็รู้สึกโล่งอกไปกับข่าวนี้ เพราะตามกำหนดการจะต้องเปิดแถลงความชัดเจนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลในเวลาบ่าย 3 โมง ว่าประกอบด้วยกี่พรรค กี่เสียง ก็ถือโอกาสเลื่อนไปเช่นกัน โดย “ภูมิธรรม” บอกว่า ต้องรอความชัดเจนจาก ศาลรธน.ก่อน แถมคุยว่า จากการหารือกับพรรคการเมือง และ ส.ว.ในช่วงที่ผ่านมา มั่นใจว่ามีเสียงสนับสนุนเพียงพอจะที่ได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แล้ว… จริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ !!

เพราะการตั้งรัฐบาลที่เพื่อไทยเป็นเจ้าภาพนั้น ตามที่มีกระแสข่าว นอกจากไม่มีพรรคก้าวไกลแล้ว ยังไม่มีพรรคของ “สองลุง”ด้วย ถ้าอย่างนี้ ก็เห็นชัดว่าต้องไปพึ่งเสียง ส.ว. อีกกว่า 100 เสียง ถึงจะได้ตามเป้าหมาย 376 เสียง คำถามคือ แล้วจะเป็นไปได้หรือ…

ดังนั้น ช่วงเวลาเกือบสองสัปดาห์ที่เหลือ ก่อนจะถึงวันที่ศาลรธน.ตัดสิน ทำให้พรรคเพื่อไทยได้หายใจหายคอ เจรจาพรรคการเมือง และส.ว. เพื่อให้ชัวร์ เพราะการโหวตนายกฯได้ครั้งเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ถือว่า เสี่ยงมาก

ขณะเดียวกัน เวลาเกือบสองสัปดาห์นี้ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรได้มากมาย อาจจะเข้าทำนองคนคำนวณมิสู่ฟ้าลิขิต ก็เป็นได้
มีการวิเคราะห์กันว่าแนวทางเพิ่มเสียงจัดตั้งรัฐบาล ถ้าจะให้ชัวร์ จากเดิมที่มีพรรคภูมิใจไทย 71 เสียงอยู่แล้ว ก็ต้องดึง “พรรคลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาร่วมด้วย ก็จะได้เสียงส.ส.อีก 40 เสียง และได้เสียงส.ว.อีกประมาณ 100 เสียง บวก ลบ

แต่พรรคเพื่อไทยจะกล้า “ลุยไฟ” นี้หรือไม่ เพราะจะต้องถูกตราหน้าว่าตระบัดสัตย์ที่ไปร่วมกับลุง … ในโซเชียลฯจะมี “ด้อมส้ม” มารุมถล่ม ปัดป้องกันไม่หวาดไม่ไหวแน่

หรือเพื่อไทย จะถึงคราต้องยอมถูกบีบจากพรรคการเมือง และส.ว.ให้ต้องโหวต ทั้งๆที่รู้ว่าต้องเสียสละ “เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดตนายกฯของพรรค ไปกับเกมนี้ … แล้วผ่องถ่ายการเป็นเจ้าภาพจัดตั้งรัฐบาลให้กับพรรคลำดับที่ 3 คือ พรรคภูมิใจไทย ของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” โดยมีสัญญาใจว่า ต้องเทียบเชิญพรรคเพื่อไทยร่วมรัฐบาลด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงถูกทัวร์ลง

ถ้าไปถึงขั้นนั้นแล้ว เพื่อไทย ต้องทำใจว่าเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” จะไม่ใช่ของเพื่อไทยแล้ว แต่จะเป็นของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หรือ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คนใดคนหนึ่ง …แล้วแต่ว่าใครจะมีวาสนาดีกว่ากัน!!
https://today.line.me/th/v2/article/3N9D8zk
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่