เมื่อเป็นเช่นนี้ นโม ก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญ
จึงยกขึ้นพิจารณา ได้ความว่า
น คือธาตุน้ำ
โม คือ ธาตุดิน
พร้อมกับบาทพระคาถา
ปรากฏขึ้นมาว่า มาตาเปติกสมุภโว
โอทนกุมฺมาสปจฺจโย สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกัน
จึงเป็นตัวตนขึ้นมาได้ น เป็นธาตุของ มารดา
โม เป็นธาตุของ บิดา
ฉะนั้นเมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป
ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นามว่า
กลละ คือ น้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิได้
จิตจึงได้ถือปฏิสนธิในธาตุ นโม นั้น
เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว
กลละ ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น อัมพุชะ
คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น ฆนะ
คือเป็นแท่ง และ เปสี คือชิ้นเนื้อ
แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน
จึงเป็นปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑ ส่วนธาตุ พคือลม
ธ คือไฟ นั้นเป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลังเพราะจิตไม่ถือ
เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว
กลละก็ต้องทิ้งเปล่าหรือสูญเปล่า
ลมและไฟก็ไม่มี
คนตาย ลมและไฟก็ดับหายสาปสูญไป
จึงว่าเป็นธาตุอาศัย
ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นเดิม
ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย น มารดา โม บิดา
เป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาด้วยการให้ข้าวสุกและขนมกุมมาส เป็นต้น
ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง ท่านจึงเรียกมารดาบิดาว่า บุพพาจารย์ เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น
มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได้
มรดกที่ทำให้กล่าวคือรูปกายนี้แล
เป็นมรดกดั้งเดิมทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของภายนอกก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง
ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้
ชื่อว่าไม่มีอะไรเลยเพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น "มูลมรดก" ของมารดาบิดาทั้งสิ้น
จึงว่าคุณท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย
ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่
เราต้องเอาตัวเราคือ นโม
ตั้งขึ้นก่อนแล้วจึงทำกิริยาน้อมไหว้ลงภายหลัง นโม
ท่านแปลว่านอบน้อมนั้นเป็นการแปลเพียงกิริยา หาได้แปลต้นกิริยาไม่
มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุน
ทำการฝึกหัดปฏิบัติตนไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ
เคยมีกระทู้ถามตอบแล้ว โทษทีกระทู้ซ้ำ🙏
https://m.ppantip.com/topic/33449223
เหตุใด จะสวดก็ดี จะรับศีลก็ดี หรือจะทำการกุศลใดๆ ก็ดี จึงต้องตั้ง นโม ก่อน จะทิ้ง นโม ไม่ได้เลย
จึงยกขึ้นพิจารณา ได้ความว่า
น คือธาตุน้ำ
โม คือ ธาตุดิน
พร้อมกับบาทพระคาถา
ปรากฏขึ้นมาว่า มาตาเปติกสมุภโว
โอทนกุมฺมาสปจฺจโย สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกัน
จึงเป็นตัวตนขึ้นมาได้ น เป็นธาตุของ มารดา
โม เป็นธาตุของ บิดา
ฉะนั้นเมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป
ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นามว่า
กลละ คือ น้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิได้
จิตจึงได้ถือปฏิสนธิในธาตุ นโม นั้น
เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว
กลละ ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น อัมพุชะ
คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น ฆนะ
คือเป็นแท่ง และ เปสี คือชิ้นเนื้อ
แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน
จึงเป็นปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑ ส่วนธาตุ พคือลม
ธ คือไฟ นั้นเป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลังเพราะจิตไม่ถือ
เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว
กลละก็ต้องทิ้งเปล่าหรือสูญเปล่า
ลมและไฟก็ไม่มี
คนตาย ลมและไฟก็ดับหายสาปสูญไป
จึงว่าเป็นธาตุอาศัย
ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นเดิม
ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย น มารดา โม บิดา
เป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาด้วยการให้ข้าวสุกและขนมกุมมาส เป็นต้น
ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง ท่านจึงเรียกมารดาบิดาว่า บุพพาจารย์ เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น
มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได้
มรดกที่ทำให้กล่าวคือรูปกายนี้แล
เป็นมรดกดั้งเดิมทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของภายนอกก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง
ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้
ชื่อว่าไม่มีอะไรเลยเพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น "มูลมรดก" ของมารดาบิดาทั้งสิ้น
จึงว่าคุณท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย
ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่
เราต้องเอาตัวเราคือ นโม
ตั้งขึ้นก่อนแล้วจึงทำกิริยาน้อมไหว้ลงภายหลัง นโม
ท่านแปลว่านอบน้อมนั้นเป็นการแปลเพียงกิริยา หาได้แปลต้นกิริยาไม่
มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุน
ทำการฝึกหัดปฏิบัติตนไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ
เคยมีกระทู้ถามตอบแล้ว โทษทีกระทู้ซ้ำ🙏
https://m.ppantip.com/topic/33449223