สนามบิน Chitose
“ มันอ่านว่าอะไรนะ สนามบิน ไชโตส หรอ ? ”
สนามบิน ไชโตส ?
เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฮอกไกโดเท่าไหร่ แม้กระทั่งชื่อสนามบิน ที่ควรจะอ่านว่า ชิ-โต-เสะ...
ที่เคยได้ยินสมัยเด็กๆ ก็มีแต่ว่า " ไปฮอกไกโด ไปกินนมฮอกไกโด และไปเที่ยวทุ่งลาเวนเดอร์ "
แต่สุดท้าย ทริปฮอกไกโด 12 วันของเรา
เราไม่ได้กินนมฮอกไกโดสักหยด และทุ่งลาเวนเดอร์ก็ไม่ได้เห็น
"ฮอกไกโดเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมฤดูหนาว เนื่องจากฤดูหนาวมีระยะเวลายาวนานกว่าที่อื่น"
"ฤดูใบไม้ผลิเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาที่ภูมิทัศน์จะแต่งแต้มสีสันสวยงาม แถมไม่มีผู้คนจำนวนมากแห่ไปดูซากุระบาน แบบที่โตเกียว"
"ชมลาเวนเดอร์ฟุราโนะได้ดีที่สุดในฮอกไกโดได้ในช่วงวันหยุดฤดูร้อน เดือนสิงหาคม "
"เดือนตุลาคมเป็นเวลาที่ดีในการชมใบไม้เปลี่ยนสีในฮอกไกโด! "
ดูเหมือนว่าข้อความพาดหัวเว็บไซต์แต่ละเว็บต่างก็นำเสนอฤดูท่องเที่ยวในฮอกไกโดที่แตกต่างกันไป โดยน่าจะสรุปได้ว่า ฤดูร้อน (มิถุนายนถึงสิงหาคม) และฤดูหนาว (ธันวาคมถึงกุมภาพันธ์) เป็นฤดูกาลที่คึกคักที่สุดหรือช่วง high season ของฮอกไกโด
แล้วช่วงเวลารอยต่อระหว่างฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิที่บางคนเรียกมันว่า low season ล่ะ
ถ้าเราไปฮอกไกโดมันจะเป็นยังไง
การเดินทางของเราเริ่มตั้งแต่ช่วง 24 มีนาคม ถึง 5 เมษายน ที่บางคนเรียกมันว่าช่วง low season
โดยมีแผนการเดินทางคร่าวๆ คือ
Sapporo-Otaru-Niseko-Noboribetsu-Chitose
Sapporo
เรามาถึง Sapporo ตอนประมาณ 10 โมงเช้า เดินลากกระเป๋าจากสถานีรถไฟ JR เพื่อไปที่พักสไตล์เรียวกัง ก่อนจะออกเดินมุ่งหน้าเพื่อไปซื้อของที่
ห้าง ESTA ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลสถานี JR ที่นี่เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ หลายชั้น มีของให้เลือกซื้อหลากหลาย บางอย่างก็ลดราคา ถ้าจะมาตามหาซื้อของใช้ที่ห้างนี้ก็เป็นความคิดที่ไม่แย่
สภาพถนนในซัปโปโร ผู้คนไม่ได้พลุกพล่านเหมือนที่เคยวาดภาพเมืองหลวงของฮอกไกโดเอาไว้ ท้องฟ้าอึมครึมสีเทากับอากาศเย็น 8 องศา ที่มาพร้อมกับแสงแดดอ่อนๆ ในยามสาย ทำให้เสื้อกันหนาวราคาสองร้อยบาทจากห้างที่ไทยยังพอเอาอยู่







แม้ว่าจะเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับห้าของญี่ปุ่น แต่ก็มีเส้นทางการเดินในเมืองไปไหนมาไหนไม่สับสนด้วยการวางผังเมืองโดยใช้ระบบถนนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า

หลังจากซื้อเสื้อ heatex ของ uniqlo เรียบร้อย ก็เข้าสู่ช่วงบ่าย เราเสิร์ช หาสถานที่ท่องเที่ยวที่พอจะไปได้ และพบว่าเมืองซัปโปโรดูมีอะไรให้ทำมากมายทั้งสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เช่น หอนาฬิกาซัปโปโร หอโทรทัศน์ซัปโปโร ที่ทำการรัฐบาลเก่าฮอกไกโด นอกจากนี้ยังมี Susukino ซึ่งเป็นย่านโคมแดงที่ใหญ่ที่สุดในฮอกไกโด และน่าเสียดายหากได้มีโอกาสมาในช่วงฤดูหนาว เทศกาลหิมะซัปโปโร ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของที่นี่
สายตาไปสะดุดที่คำว่า ‘ตลาดปลา’ อาจจะเป็นเพราะสัญญาณความหิวจากท้องส่งมา ดังนั้นเป้าหมายแรกที่จะไปก็คงต้องเป็น ตลาดปลานิโจ
ตลาดปลานิโจ เป็นตลาดที่อยู่ใจกลางเมืองซัปโปโรมาก อยู่ไม่ไกลจากซัปโปโร ทาวเวอร์ ตลาดแห่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยเมจิ ตอนที่เราไป แต่ละร้านก็มีคนมาต่อคิวเยอะไปหมด
เราเลือกร้าน OHISO หลังจากรับบัตรคิว ก็ไปเดินดูบรรยากาศอาหารทะเลสดๆ ที่วางขายในแต่ละร้าน เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ก่อนจะได้มานั่งกินปลาดิบในร้าน ซึ่งแต่ละเมนู ราคาประมาณ 2 พันเย็น คุ้มมากกับความสดของปลา
หลังจากกินอาหารเสร็จก็เดินไป Hokkaido university จากตลาดปลานิโจ ใช้เวลาเดิน 30 นาที
เมื่อไปถึงก็เดินเข้าไปสวนสาธารณะของมหาลัย ภาพใบไม้ที่ร่วงหิมะปกคลุมผืนหน้า เงยหน้ามองฟ้าที่สีเทาครีม เสียงอีการ้อง เริ่มรู้สึกถึงความเหงาเล็กน้อย
สนามหญ้าสีเขียวใจกลางมหาลัยผืนนี้ บัดนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาว ลำธารสายเล็กที่เมื่อเอามือไปสัมผัสก็เหมือนถูกบาดจากความเย็น คงจะต่างจากฤดูใบไมผลิและฤดูร้อนที่ดอกไม้น่าจะแย่งกันบานดูสดชื่นและมีชีวิตชีวา
เราใช้เวลาอยู่ที่สวนนี้ไม่นานก่อนจะออกเริ่มเดินกลับไปเพื่อขึ้นรถบัสไปสวน Moerenuma Park
เรานั่งรถไฟใต้ดินสายโทโฮไปยังสถานีคันโจโดริ-ฮิงาชิ เพื่อต่อรถบัสท้องถิ่นหมายเลข 69 หรือ 79 ก็ได้ โดยปกติจะมีรถบัส 2 คันต่อชั่วโมง
ที่รอบัส สภาพเงียบมาก เราต้องรอประมาณ 40 นาที เลยเดินเล่นแถวนั้น ผ่านร้านขนมปังเล็กๆ จึงแวะเข้าไปซื้อเบเกิลร้อนๆ กินสักชิ้น
เมื่อกลับมาถึงที่รอบัส ไม่นานรถหมายเลย 69 ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า ใช้เวลา 25 นาที ราคาตั๋ว 210 เยน ก็มาถึงสวนโมเอเรนุมะ โคเอ็น ฮิงาชิ-กุจิ, モエレ沼公園東口
สภาพสวนแทบจะไม่เห็นผู้คน ภาพตรงหน้าไม่ได้เหมือนในเน็ต ไม่มีดอกไม้บาน ตอนแรกก็พอทำใจมาบ้างว่าคงไม่ใช่ฤดูที่ดอกไม้บาน คนคงไม่ค่อยมา แต่ก็ไม่คิดว่าจะเงียบขนาดนี้ แต่เอาวะ เดินเข้าไปดู!
ต้นสนตามทางและหิมะที่ยังมีให้เห็นอยู่ตามพื้นยังเป็นภาพที่ทำให้นักท่องเที่ยวจากประเทศไทยอย่างเราตื่นตาตื่นใจได้เหมือนเดิม
Mount Moere สร้างขึ้นสำหรับสวนสาธารณะ มีความสูง 62 เมตร และมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของสวนสาธารณะและบริเวณโดยรอบ
สวนสาธารณะเต็มไปด้วยลักษณะที่มนุษย์สร้างขึ้นที่แห่งนี้มอบความรู้สึกของการเดินพาร์ก ที่ไม่เหมือนครั้งไหนๆ
เราเดินขึ้นตามขั้นบันได ไปตามเนินภูเขาแล้วหันหลังมามองวิวเป็นระยะ กัดฟันสู้กับลมหนาวและทางที่ชันจนมาถึงยอด ที่พอขึ้นไปถึงยอดก็ไม่พบใครสักคน มีเพียงแค่เรากับเพื่อนที่อยู่บนลานกว้างๆบนยอดภูเขา สายตากวาดมองไปรอบๆ วิวที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกางแขนต้านกระแสลมที่พัดผ่านเราแรงขึ้น
โคตรสวยเลย แต่หนาวจังโว้ย
เห็นวิวแล้วคุ้มค่ากับการเดินขึ้นมา! ว่าแต่เสื้อกันหนาวบางๆ จากไทยของเรา นี่เอาไม่อยู่เสียแล้ว
There’s no such thing as bad weather!
(ไม่มีหรอกสภาพอากาศที่แย่ มีแต่การแต่งกายที่ไม่เหมาะสมเท่านั้นแหละ)
อยู่ดีๆ ประโยคนี้ก็ลอยเข้ามา
ที่ความสูง 30 เมตร Play Mountain มีขนาดเล็กกว่า แต่มีเส้นทางที่น่าสนใจซึ่งนำไปสู่ยอดเขาอย่างนุ่มนวล
เวลาผ่านไปไม่นานผู้คนเริ่มเดินขึ้นมา
เราใช้เวลาที่สวนแห่งนี้ราวๆ 1 ชั่วโมง ก่อนจะทนความหนาวไม่ไหว แล้วเริ่มเดินกลับ
ภาพผู้คนจูงหมาเดิน สองพี่น้องโยนลูกบอลเล่นกัน หันไปทางนั้นก็เห็นคนปั่นจักรยานแบบอารมณ์ดี
ในช่วงเวลาว่างๆ มันคงจะดีถ้าได้มาใช้เวลาที่สวนสาธารณะด้วยกัน
อาคารปิรามิดที่ทำจากแก้วที่เรียกว่าฮิดามาริมีศูนย์ข้อมูล ห้องโถงใหญ่ สิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน และพื้นที่แกลเลอรีสำหรับโนงุจิโดยเฉพาะ
เรากลับมาถึงซัปโปโรช่วงเย็นๆพอเริ่มมืด แสงไฟถูกเปิด บรรยากาศของเมืองซัปโปโรก็เปลี่ยนไป
เมื่อมาถึงที่พักเรานอนเล่นบนเตียงแล้วเริ่มรู้สึกไม่สบายอาจเป็นเพราะอากาศที่หนาวแล้วปรับตัวไม่ทันหรืออาจเป็นเพราะเราอาจจะแต่งกายไม่ดีมากกว่า ควรจะสวมเสื้อหรือชุดที่หนากว่านี้
ก่อนเพื่อนจะเรียกให้จิบน้ำร้อนแล้วออกไปเดินหาของกิน
“You can’t enter without a reservation”
นี่คือคำตอบกลับหลังจากเดินเข้าไปร้านอาหารมา 6 ร้านแถวๆ ย่านที่พักพร้อมคำถามว่ามีโต๊ะว่างไหม
จนยอมแพ้ ไปกิน Lawson ที่สุดท้ายก็ซื้อไปหลายอย่างมากเพราะความหิว
และเดินกลับด้วยความงงว่าอะไรวะทำไมกินไม่ได้
นี่คือฉากสุดท้ายของเรากับซัปโปโร
เที่ยวฮอกไกโด ช่วง low season มันยังไง ?
หลังจากซื้อเสื้อ heatex ของ uniqlo เรียบร้อย ก็เข้าสู่ช่วงบ่าย เราเสิร์ช หาสถานที่ท่องเที่ยวที่พอจะไปได้ และพบว่าเมืองซัปโปโรดูมีอะไรให้ทำมากมายทั้งสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เช่น หอนาฬิกาซัปโปโร หอโทรทัศน์ซัปโปโร ที่ทำการรัฐบาลเก่าฮอกไกโด นอกจากนี้ยังมี Susukino ซึ่งเป็นย่านโคมแดงที่ใหญ่ที่สุดในฮอกไกโด และน่าเสียดายหากได้มีโอกาสมาในช่วงฤดูหนาว เทศกาลหิมะซัปโปโร ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของที่นี่
สายตาไปสะดุดที่คำว่า ‘ตลาดปลา’ อาจจะเป็นเพราะสัญญาณความหิวจากท้องส่งมา ดังนั้นเป้าหมายแรกที่จะไปก็คงต้องเป็น ตลาดปลานิโจ
หลังจากกินอาหารเสร็จก็เดินไป Hokkaido university จากตลาดปลานิโจ ใช้เวลาเดิน 30 นาที
เมื่อไปถึงก็เดินเข้าไปสวนสาธารณะของมหาลัย ภาพใบไม้ที่ร่วงหิมะปกคลุมผืนหน้า เงยหน้ามองฟ้าที่สีเทาครีม เสียงอีการ้อง เริ่มรู้สึกถึงความเหงาเล็กน้อย
เรานั่งรถไฟใต้ดินสายโทโฮไปยังสถานีคันโจโดริ-ฮิงาชิ เพื่อต่อรถบัสท้องถิ่นหมายเลข 69 หรือ 79 ก็ได้ โดยปกติจะมีรถบัส 2 คันต่อชั่วโมง
ที่รอบัส สภาพเงียบมาก เราต้องรอประมาณ 40 นาที เลยเดินเล่นแถวนั้น ผ่านร้านขนมปังเล็กๆ จึงแวะเข้าไปซื้อเบเกิลร้อนๆ กินสักชิ้น
เมื่อกลับมาถึงที่รอบัส ไม่นานรถหมายเลย 69 ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า ใช้เวลา 25 นาที ราคาตั๋ว 210 เยน ก็มาถึงสวนโมเอเรนุมะ โคเอ็น ฮิงาชิ-กุจิ, モエレ沼公園東口
สภาพสวนแทบจะไม่เห็นผู้คน ภาพตรงหน้าไม่ได้เหมือนในเน็ต ไม่มีดอกไม้บาน ตอนแรกก็พอทำใจมาบ้างว่าคงไม่ใช่ฤดูที่ดอกไม้บาน คนคงไม่ค่อยมา แต่ก็ไม่คิดว่าจะเงียบขนาดนี้ แต่เอาวะ เดินเข้าไปดู!
ต้นสนตามทางและหิมะที่ยังมีให้เห็นอยู่ตามพื้นยังเป็นภาพที่ทำให้นักท่องเที่ยวจากประเทศไทยอย่างเราตื่นตาตื่นใจได้เหมือนเดิม
โคตรสวยเลย แต่หนาวจังโว้ย
เห็นวิวแล้วคุ้มค่ากับการเดินขึ้นมา! ว่าแต่เสื้อกันหนาวบางๆ จากไทยของเรา นี่เอาไม่อยู่เสียแล้ว
There’s no such thing as bad weather!
(ไม่มีหรอกสภาพอากาศที่แย่ มีแต่การแต่งกายที่ไม่เหมาะสมเท่านั้นแหละ)
อยู่ดีๆ ประโยคนี้ก็ลอยเข้ามา
ภาพผู้คนจูงหมาเดิน สองพี่น้องโยนลูกบอลเล่นกัน หันไปทางนั้นก็เห็นคนปั่นจักรยานแบบอารมณ์ดี
ในช่วงเวลาว่างๆ มันคงจะดีถ้าได้มาใช้เวลาที่สวนสาธารณะด้วยกัน
ก่อนเพื่อนจะเรียกให้จิบน้ำร้อนแล้วออกไปเดินหาของกิน
“You can’t enter without a reservation”
นี่คือคำตอบกลับหลังจากเดินเข้าไปร้านอาหารมา 6 ร้านแถวๆ ย่านที่พักพร้อมคำถามว่ามีโต๊ะว่างไหม
จนยอมแพ้ ไปกิน Lawson ที่สุดท้ายก็ซื้อไปหลายอย่างมากเพราะความหิว
และเดินกลับด้วยความงงว่าอะไรวะทำไมกินไม่ได้
นี่คือฉากสุดท้ายของเรากับซัปโปโร