เสริมบุญสุดปัง...ไหว้พระประจำวันเกิด @นครพนม
28 กพ. - 1 มีค. 2563
ทริปนี้ถือเป็นทริปครอบครัวอีกหนึ่งทริป สำหรับสายมูอย่างเรา การไหว้พระทำบุญถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา และเป็นประเพณีของบ้านเราไปซะแล้ว...
ครั้งนี้ก็เช่นกันเราเดินทางมาไหว้พระประจำวันเกิดกันไกลถึงนครพนม และเป็นการมาไหว้พระธาตุครั้งแรก
เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองให้กับชีวิตแบบจัดเต็มกันเลยค่ะ...
เราออกเดินทางโดยรถทัวรของนครชัยแอร์ จากกรุงเทพฯ เพื่อไปยังขนส่งจังหวัดนครพนมในตอนกลางคืน เวลา 20:15-07:20
กะเอาไว้ว่าขึ้นรถปุ๊บหลับไปแล้วตื่นมาถึงเลย ซึ่งขอบอกว่าอย่าหาทำค่ะ..ด้วยระยะทางที่ไกลประมาณ 740 กิโลเมตร
แถมยังเป็นจังหวัดที่ติดกับชายแดนลาวคั้นด้วยแม่น้ำโขงระยะทางขนาดนี้ จองโปรตั๋วเครื่องบินถูก ๆ ไว้ล่วงหน้าดีกว่าค่ะ
เพราะตื่นแล้วตื่นอีก ยังไม่ถึงเลยแถมปวดหลังปวดก้นมากๆ กลายเป็นเมารถไปเลยหละ...เฮ้อ
เมื่อมาถึงนครพนมเราก็รอรถเช่าที่ได้ดิวกันไว้ล่วงหน้า เพื่อความสะดวกในการเดินทาง และเมื่อได้รถแล้วก็ขับรถมาเก็บสัมภาระ เช็คอิน
และตั้งสติกันที่โรงแรมตองเจ็ด (ที่จองไว้) เราจองโปรโมชั่นโรงแรมผ่านเว็บอโกด้า 2 ห้อง ประมาณ 1,500 บาท
โรงแรมอยู่ห่างจากสถานีขนส่งนครพนม 2 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 18 นาทีค่ะ
เมื่อขับมาถึงโรงแรมเก็บของเรียบร้อยก็เดินไปกินไข่กะทะ อยู่ไม่ไกลข้ามถนนและเข้าซอยไปนิดเดียว เยื้องกับโรงแรมพอเพียงค่ะ...
หลังจากเติมพลังด้วยอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มกันที่วัดแรกของเราในเช้านี้ อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเลย เพราะอยู่ในเขตเมืองนครปฐม
ก็คือวัดพระธาตุนคร พระธาตุประจำวันเกิด “วันเสาร์” วันเกิดเราเองแหละ เริ่มจากวัดนี้วัดแรกเพราะเราเดินทางมาถึงวันเสาร์พอดีเอาฤกษ์เอาชัยกันก่อน
ต่อก็ไปไหว้พระธาตุประจำวันเกิด “วันพุธ(กลางคืน)” พระธาตุมรุกขนคร เป็นวัดที่ 2 ไปไหว้พระธาตุประจำวันเกิด “วันอาทิตย์” พระธาตุพนม
เป็นวัดที่ 3 และยังเป็นพระธาตุประจำปีวอกด้วย (ปีเกิดเราอีกแล้ว) ไปไหว้พระธาตุประจำวันเกิด “วันจันทร์” พระธาตุเรณู เป็นวัดที่ 4
ไปไหว้พระธาตุประจำวันเกิด “วันพุธ(กลางวัน)” พระธาตุมหาชัย เป็นวัดที่ 5 และไปไหว้พระธาตุประจำวันเกิด “วันพฤหัสบดี”
พระธาตุประสิทธิ์ เป็นวัดสุดท้ายของวันนี้ ก็น่าจะหมดวันพอดี วนตามแผนที่นี้เราจะได้ไม่วนไปวนมา..ไปลุยกันค่ะ..
(ส่วนวัดประจำวันเกิดของวันศุกร์นั้นคือ วัดพระธาตุท่าอุเทน แต่ทริปนี้ไม่ได้ไปค่ะ สมาชิกไม่มีคนเกิดวันนี้และก็หมดเวลาด้วย)
เราตระเวนเไหว้พระมาจนเกือบจะหมดวัน ยังไหว้พระธาตุไม่ครบตามที่ตั้งใจเลย เหลืออีกวัดนึงแต่ก็ไม่น่าไปทัน ใกล้จะสิ้นแสงพระอาทิตย์แล้ว
เลยต้องปรับทริปกันเล็กน้อย มาชมความงามของสะพานมิตรภาพไทย-ลาวกันก่อน พร้อมเลยไปทานมื้อค่ำด้วยเลย
เพราะลองคำนวณเวลาจากวัดพระธาตุมหาชัยกลับมาที่ตัวเมืองก็ใช้เวลาอีกประมาณ 62.5 กิโลเมตร เกือบไม่ทันพระอาทิตย์ตกแน่นอน
เราเลยต้องเก็บวัดพระธาตุประสิทธิ์ (วัดประจำวันของคนที่เกิดวันพฤหัสฯ) ไว้สักการะในวันพรุ่งนี้อีกทีค่ะ
สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 นี้ถือเป็นชุดเช็คอินที่สำคัญของจังหวัดนครพนมเลยค่ะ เป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยงามอลังการ
และยังมองเห็นวิวธรรมชาติกับบรรยากาศยามเย็นอีกด้วย สะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 3 เป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศไทย
ของฝั่งจังหวัดนครพนม กับประเทศลาวแขวงคำม่วน โดยในบริเวณพื้นที่ของฝั่งไทยที่นครพนมนั้นจะเป็นสะพานที่มีความสวยงดงามติดอันดับต้นๆ
ของประเทศไทยเลยค่ะ เพราะจะมีวิวสวยๆ ของพื้นหลังเป็นภูเขาหินปูนที่เรียงรายสลับซับซ้อนกันอย่างสวยงาม
ส่วนบริเวณด้านล่างสะพาน ก็จะมีจุดชมวิวที่มองเห็นสะพานได้จากมุมล่าง
ถ่ายรูปเล่นจนหมดแสงพระทิตย์แล้วก็ได้เวลาอาหารเย็น เราขับรถมาทานอาหารกันที่ริมแม่น้ำตามพิกัดของแผนที่ที่เราไล่หากันเอง
และก็เจอ "ร้านป้าเป๋นปลาเป็น" ที่อยู่ไม่ไกลจากสะพานมิตรภาพไทย-ลาวนี้ เราจึงรีบแล่นรวดจี๋มุ่งตรงมาที่ร้าน
พร้อมกระหน่ำสั่งอาหารกันแบบชุดใหญ่จัดเต็ม ให้สมกับพลังงานที่ใช้ไปจนหมดตลอดวัน
ร้านนี้เค้าแนะนำกันว่าปลาลวกจิ้มนั้นเด็ดนักแลโดยเฉพาะปลาคังไม่ว่าจะ เอามาทำเมนูอะไรก็เด็ดดวง ร้านจะอยู่เส้นนครพนม-ท่าอุเทน
ถ้าออกจากนครพนมจะอยู่ขวามือ แต่เรามาทางสะพานมิตรภาพ เราก็ต้องเลี้ยวซ้ายเข้าซอยไปติดริมแม่น้ำ ลมพัดเย็นสบายค่ะ
กินอาหารเย็นเสร็จเราก็มาเดินเล่นถนนคนเดิน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเรา ตั้งอยู่บริเวณถนนสายเลียบฝั่งโขง
โดยถนนคนเดินนี้จะเริ่มตั้งแต่ลานศรีสัตตนาคราชไปสิ้นสุดที่หอนาฬิกาประวัติศาสตร์ เป็นระยะทางไม่ยาวนัก
เปิดทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ตั้งแต่เวลาประมาณ 16.00 น.-22.00 น. สองข้างทางมีสินค้าจากพ่อค้าแม่ค้าซึ่งเป็นคนในพื้นที่
มีทั้งของกินแบบพื้นถิ่น ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า และของกระจุกกระจิกมากมาย
อรุณสวัสดิ์ยามเช้า...แสงสีทองสาดส่องให้เราต้องรีบวิ่งแล่นออกมารับอ๊อกซิเจนยามเช้าเพื่อชมบรรยากาศริมโขง ให้ผ่อนคลายสบายอารมณ์
นครพนมมีถนนที่ทอดยาวเรียบฝั่งแม่น้ำโขง ชื่อว่า ถนนสุนทรวิจิตร ถนนเส้นนี้ได้จัดทำเป็นเส้นทางเดินและเส้นทางจักรยาน
บรรยากาศสุดชิล ลมพัดเย็นสบายโดยเฉพาะในฤดูหนาว อากาศเย็นราวกับเดินเที่ยวอยู่บนดอยในภาคเหนือ
มาเดินเล่นสูดบรรยากาศบริสุทธิ์ในยามเช้าหรือยามเย็นฝั่งตรงข้ามของถนนสุนทรวิตร คือ วิวทิวทัศน์ภูเขาหินปูนที่เรียงรายทางฝั่งลาว
สวยสดงดงาม พญาศรีสัตตนาคราช ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คของนครพนม ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง
บนลานศรีสัตตนาคราช ถนนสุนทรวิจิตร เป็นองค์พญานาคทองเหลืองที่ใหญ่ที่สุดของภาคอีสาน มีความเด่นสง่าเพราะมี 7 เศียร
ลำตัวเดียว ซึ่งต่างร่ำลือว่า หากใครมาขอพรหรือบนบานองค์พญาศรีสัตตนาคราชอาจสัมฤทธิ์ผล เพราะเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก
ยามเช้าแบบนี้จึงคักคักไปด้วยผู้คนจากทั่วสารทิศทุกวัน โดยเฉพาะวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์
เราสองคนพี่น้องจึงไม่พลาดกราบไหว้ขอพรองค์พญาศรีสัตตนาคราช เพื่อความเป็นสิริมงคล หรือใครจะมาวิ่งก็ดีนะค่ะ
ก่อนกลับไปยังที่พัก เราแวะซื้อ "ปากหม้อศรีเทพ" กันก่อนเพื่อทานเป็นมื้อเช้า
เดินถือปากหม้อกลับมายังที่พัก พร้อมเก็บข้าวของเสร็จสรรพเพื่อจะเตรียมกลับ กทม. แต่ก่อนจะไปทริปเรายังไม่ครบเราต้องพาพ่อแม่ไปไหว้
“พญาศรีสัตตนาคราช” กันก่อน เพราะพ่อแม่ยังไม่ได้มาไหว้ และตรงข้ามลานศรีสัตตนาคราชมีร้านกาแฟน่าทานด้วย แวะชิม ชิว ดื่มบรรยากาศริมโขง
พร้อมเดินชมของฝากอีกเล็กน้อย ก่อนจะเดินทางไปไหว้พระประจำวันของคนที่เกิดวันพฤหัส
และเนื่องจากวัดพระธาตุประสิทธิ์อยู่ห่างจากตัวเมืองไกลพอสมควร ระหว่างทางเราจึงหาสถานที่ท่องเที่ยวก่อนถึงซะก่อนนั่นก็คือ “บ้านลุงโฮ”
ลุงโอจิมินห์หนะ..หรือ บ้านท่านโฮจิมินห์ ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านนาจอก ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่ที่ได้มีการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นหมู่บ้านเก่าแก่
ที่ครั้งหนึ่งอดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นายโฮจิมินห์ได้เคยเข้ามาอาศัยพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อกอบกู้เอกราชของเวียดนามในช่วงระหว่างการทำสงคราม เพื่อเตรียมการปฏิวัติสู้กับประเทศฝรั่งเศษ
โดยในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2467–2474 ลุงโฮได้ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดนครพนม โดยมาอาศัยอยู่กับเพื่อนที่มาจากเวียดนาม
ที่ถือได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทร่วมอุดมการณ์เดียวกัน เพื่อนสนิทของลุงโฮนั้นเองก็ได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย
และมีครอบครัวที่ประเทศไทย ที่นี่จึงมีอาหารเวียดนามให้กินกันอย่างแพร่หลาย
เราสามารถเดินทางจากตัวจังหวัดนครพนม มุ่งหน้าไปทางจังหวัดสกลนคร ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 22 ห่างจากตัวอำเภอเมืองประมาณ 4 กิโลเมตร
จะเป็นโค้งมีป้ายบอกทางไปหมู่บ้านมิตรภาพไทย - เวียดนาม ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 238 ขับเข้าไปจะพบป้าย บ้านนาจอก
ขับไปตามป้ายก็จะพบกับพิพิธภัณฑ์ท่านประธานโฮจิมิน ขับเลยไปอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะเป็นที่ตั้งของบ้านลุงโฮหลังแรก
ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชมนะ เปิดให้ชม 08.30 - 16.30 น.
มาถึงวัดสุดท้าย “วัดพระธาตุประสิทธิ์”
การเดินทางถ้าเดินทางมาจากตัวเมืองนครพนมให้ขับไปบนถนนทางหลวงหมายเลข 212 ผ่าน อ.ท่าอุเทน ไปจนถึงถนนทางหลวงหมายเลข 2032
พอถึงแยกก็ให้เลี้ยวซ้ายเข้า อ.ศรีสงคราม แล้วขับไปอีก 72 กิโลเมตร แต่รวมระยะทางจาก อ.เมือง ก็ประมาณ 98 กิโลเมตร
โดยในทุก ๆ ปีวัดนี้จะมีงานนมัสการพระธาตุประสิทธิ์ที่มีชื่องานว่า งานบุญเดือนสี่ของดีนาหว้า
ตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 4 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ใครมีโอกาสได้ไปร่วมงานบุญนี้นับว่าเป็นการเสริมสิริมงคลอย่างมากเลย
เรามาถึงทางวัดเค้าก็เตรียมจัดงานพอดีเลย แต่เสียดายที่เราอยู่ร่วมพิธีไม่ได้เพราะต้องเดินทางกลับกันในวันนี้แล้ว
ได้แต่ทำบุญ ถวายสังฆทาน และร่วมอนุโมธนาบุญกันไปค่ะ
ขากลับเราขับรถเช่ามาคืนที่สนามบินค่ะ และเดินทางกลับอย่างปลอดภัย ด้วยความอิ่มบุญกันถ้วนหน้า
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบนะคะ
เสริมบุญสุดปัง..ไหว้พระประจำวันเกิด@นครพนม
กะเอาไว้ว่าขึ้นรถปุ๊บหลับไปแล้วตื่นมาถึงเลย ซึ่งขอบอกว่าอย่าหาทำค่ะ..ด้วยระยะทางที่ไกลประมาณ 740 กิโลเมตร
เป็นวัดที่ 3 และยังเป็นพระธาตุประจำปีวอกด้วย (ปีเกิดเราอีกแล้ว) ไปไหว้พระธาตุประจำวันเกิด “วันจันทร์” พระธาตุเรณู เป็นวัดที่ 4
ส่วนบริเวณด้านล่างสะพาน ก็จะมีจุดชมวิวที่มองเห็นสะพานได้จากมุมล่าง
ยามเช้าแบบนี้จึงคักคักไปด้วยผู้คนจากทั่วสารทิศทุกวัน โดยเฉพาะวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์
พร้อมเดินชมของฝากอีกเล็กน้อย ก่อนจะเดินทางไปไหว้พระประจำวันของคนที่เกิดวันพฤหัส
และมีครอบครัวที่ประเทศไทย ที่นี่จึงมีอาหารเวียดนามให้กินกันอย่างแพร่หลาย