สวัสดีครับกระทู้แรกเลย วันนี้ผมจะมาเล่าความโลเล ไม่ได้เรื่องของผมให้ฟังและอยากให้ช่วยเตือนสติผมหน่อย
เรื่องของผมมีอยู่ว่า ผมเป็นเด็กที่ซิ่วมา3ปีด้วยกัน คือเพื่อนตอนนี้มันขึ้นปี4กันละ มีในกลุ่ม2คนที่อยู่ปี2-3 ปีแรกผมเข้ามหาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่งแถวศาลายาแต่ที่ผมเข้านั้นไม่ใช่เพราะความชอบในหลักสูตร หรือ ตัววิชาคณะแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นเพราะความกดดันจากทางบ้านมันมากมายผมจึงอยู่ในสภาพเปรียบดั่ง คนที่จมน้ำอยู่กลางมหาสมุทรแต่กลับมีห่วงยางชูชีพลอยมาผมจึงรีบคว้าโอกาสนั้นไว้ แต่ใช่ครับมันไม่ใช่แนวเลย เรียกได้ว่าพีธาโกรัสนี่ ไม่เข้าหัวที่ผ่านมารู้จักแต่ เลโกลัสในเดอะลอร์ด จึงได้ทำการซิ่วไป ปีที่2 แนวทางผมชัดเจนมากขึ้นผมรีบตรงไปสมัครคณะที่ผมชอบเป็นคณะเกี่ยวกับการวาดภาพ แม้จะเป็นมหาลัยเอกชน ท้าวความว่าตั้งแต่เกิดมาก็มีแค่วาดภาพนี่แหละ ที่เรามั่นใจมาตลอดว่าเก่งแม้ไร้การฝึกซ้อมก็เก่งกว่าคนที่ไปเรียนมา ตอนเรียนผมแฮปปี้มีความสุขมากๆสุดๆ แต่แล้วโควิดเจ้ากรรมก็ได้มาทำพิษปีนั้นมหาลัยที่ผมเรียนปรับการเรียนเป็นแบบที่ว่า บางคาบอาจารย์ก็ให้ไป มหาลัยบางคาบก็ออนไลน์ แล้วผมที่กำลังจะหาหออยู่ก็ตัดสินใจดรอปไป 1 ปีรอให้สถานการณ์มันดีกว่านี้ก่อนซึ่งบอกเลยคิดผิดโคตรๆ นี่นับเป็นการซิ่วครั้งที่2 มาอีกปีผมยังคงรักในศิลปะอยู่จึงได้ไปสมัครเรียนที่มหาลัยเอกชนอีกแห่งทันทีในคณะเดียวกันแต่รอบนี้ใกล้บ้าน บอกเลยตอนเรียนโคตรจะมีความสุขสุดๆ แต่จิตใจคนเรามันยากแท้หยั่งถึงเพราะผีเข้าหรืออะไรไม่รู้ในตอนนั้นผมกลัวการเข้ามามีบทบาทของ Aiมากๆ มากจนคิดจะทิ้งในสิ่งที่ผมรักไป(ย้อนคิดแล้วโคตรโง่)ผมกลัวจะตกงาน ผมกลัวจะอายญาติพี่น้องที่เรียนมหาลัยเอกชน(มาคิดตอนนี้น่าอายยังไงฟะ) ผมกลัวที่บ้านเดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่าย(ผมเป็นหลานคนเดียวที่บ้านไม่มีหนี้สิน ฐานะค่อนไปทางดี มาย้อนดูแล้วตูโคตรมโน) ผมตัดสินใจทิ้งความสุขตรงนั้น ซึ่งนับเป็นการซิ่วครั้งที่3 แล้วออกมารอสอบแอดมิชชั่น รอบนี้ผมเลือกที่จะสอบเข้ามหาลัยรัฐ ที่แรกผมสอบวาดรูปเลย แต่ไม่ผ่านคงเป็นเพราะความอ่อนซ้อม ที่รู้เพราะการเรียนมหาลัยทั้ง 2 ที่ที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ว่ามีคนที่เก่งกว่าผมอีกมาก มีพระสวรรค์กว่าผม มีพรแสวงกว่าผม ผมมันเหมือนปลาในโหลแก้วไม่รู้ความลึกของมหาสมุทร ผมเลยสมัครอีกรอบและผ่านสอบวาดเขียนมาได้เหลือแค่การสอบสัมภาษณ์ คงคิดว่าสบายละแต่ใช่ครับผมตกสัมภาษณ์ ผมจิตใจแตกสลายสุดๆ แต่ยังฮึดสู้ไปต่อรอบที่3 ผมใส่คณะแห่งความฝันผมไว้ที่1 ส่วนอีก2-3คณะเป็นคณะที่ผมคิดว่าเรียนไหวและไม่ทำให้ผมต้องออกกลางคันเหมือนคณะที่ผมเรียนมาในรอบแรก คะแนนผมก็จัดว่าอยู่ในระดับดีแต่ใช่ครับแค่ดีมันยังไม่พอเพราะมันรับเพียง15คน ผมได้คณะอันดับ2 เป็นคณะที่มีศิลปะแต่ก็มีสายสุขภาพมาด้วยแต่ผมอยากเรียนแบบเพียวๆผมจึงตัดใจและยอมทุกอย่าง ผมคิดว่าคงไม่มีวาสนาได้เรียนคณะในฝันของผมอีกต่อไปผมจึงสละอันดับ2 ไปเอาคณะอันดับ3 ที่มันไม่เกี่ยวกับศิลปะเลยเป็นมรัฐชื่อดังแถวอโศก เป็นคณะที่เรียนเกี่ยวกับสายสังคมซึ่งผมก็ได้คะแนนสังคมค่อนข้างดีตอนเรียนแถมยังไม่เคยอ่านหนังสือสอบเลย ผมจึงคิดเข้าข้างตัวเองไปว่าคงจะเรียนไหวอยู่ถ้าอ่าน ผมยืนยันสิทธิ์และตัดใจกับคณะในฝันของผมเรียบร้อย เวลาผ่านไปหลายเดือนผมกลับทรมานจิตใจ และโกรธตัวเองที่เลือกทางผิดในอดีต(ปัจจุบันด้วย) เปรียบดั่ง ชายที่บ่นคิดถึงแฟนเก่าแต่ตอนเค้าอยู่ก็ไม่ดูแล และก็เซ็งกับความย้อนแย้งตัวเองเรื่องออกจากคณะที่ชอบเพราะกลัวหางานไม่ได้ แต่คณะที่เอ็งกำลังจะไปเรียนอ่ะมันก็พอๆกันแถมยังไม่ได้ทำสิ่งที่รักอีก สุดท้ายที่ผมตัดสินใจลาขาดความฝันและสิ่งที่ผมรักผมก็ทำไม่ได้ ตอนนี้สำหรับผมความฝันมันเหมือนลูกตุ้มเหล็กถ่วงน้ำหนักใส่ใว้ที่ขาของผม ท้ายที่สุดผมก็ยังอยากเรียนมันอยู่ มเอกชนก็ได้อะไรก็ได้ มีงานไหมผมไม่สนเลย อีก1เดือนมหาลัยที่ผมสอบได้ก็จะเปิดแล้วผมก็จะลองเปิดใจเรียนดูครับ สุดท้ายนี้ ผมไม่รู้ว่าผมหลงทางอยู่หรือยังไงช่วยฟังเรื่องราวแล้วเตือนผมที ด่าผมก็ได้ผมพอจะรู้ความผิดผมอยู่ ถ้าน้องๆมาอ่านก็อย่างั่งแบบพี่ละกันนะครับสงสารคนจ่ายค่าเทอม555
เรื่องราวประสบการณ์ซิ่ว3ปี ผมหลงทางอยู่รึเปล่า?
เรื่องของผมมีอยู่ว่า ผมเป็นเด็กที่ซิ่วมา3ปีด้วยกัน คือเพื่อนตอนนี้มันขึ้นปี4กันละ มีในกลุ่ม2คนที่อยู่ปี2-3 ปีแรกผมเข้ามหาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่งแถวศาลายาแต่ที่ผมเข้านั้นไม่ใช่เพราะความชอบในหลักสูตร หรือ ตัววิชาคณะแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นเพราะความกดดันจากทางบ้านมันมากมายผมจึงอยู่ในสภาพเปรียบดั่ง คนที่จมน้ำอยู่กลางมหาสมุทรแต่กลับมีห่วงยางชูชีพลอยมาผมจึงรีบคว้าโอกาสนั้นไว้ แต่ใช่ครับมันไม่ใช่แนวเลย เรียกได้ว่าพีธาโกรัสนี่ ไม่เข้าหัวที่ผ่านมารู้จักแต่ เลโกลัสในเดอะลอร์ด จึงได้ทำการซิ่วไป ปีที่2 แนวทางผมชัดเจนมากขึ้นผมรีบตรงไปสมัครคณะที่ผมชอบเป็นคณะเกี่ยวกับการวาดภาพ แม้จะเป็นมหาลัยเอกชน ท้าวความว่าตั้งแต่เกิดมาก็มีแค่วาดภาพนี่แหละ ที่เรามั่นใจมาตลอดว่าเก่งแม้ไร้การฝึกซ้อมก็เก่งกว่าคนที่ไปเรียนมา ตอนเรียนผมแฮปปี้มีความสุขมากๆสุดๆ แต่แล้วโควิดเจ้ากรรมก็ได้มาทำพิษปีนั้นมหาลัยที่ผมเรียนปรับการเรียนเป็นแบบที่ว่า บางคาบอาจารย์ก็ให้ไป มหาลัยบางคาบก็ออนไลน์ แล้วผมที่กำลังจะหาหออยู่ก็ตัดสินใจดรอปไป 1 ปีรอให้สถานการณ์มันดีกว่านี้ก่อนซึ่งบอกเลยคิดผิดโคตรๆ นี่นับเป็นการซิ่วครั้งที่2 มาอีกปีผมยังคงรักในศิลปะอยู่จึงได้ไปสมัครเรียนที่มหาลัยเอกชนอีกแห่งทันทีในคณะเดียวกันแต่รอบนี้ใกล้บ้าน บอกเลยตอนเรียนโคตรจะมีความสุขสุดๆ แต่จิตใจคนเรามันยากแท้หยั่งถึงเพราะผีเข้าหรืออะไรไม่รู้ในตอนนั้นผมกลัวการเข้ามามีบทบาทของ Aiมากๆ มากจนคิดจะทิ้งในสิ่งที่ผมรักไป(ย้อนคิดแล้วโคตรโง่)ผมกลัวจะตกงาน ผมกลัวจะอายญาติพี่น้องที่เรียนมหาลัยเอกชน(มาคิดตอนนี้น่าอายยังไงฟะ) ผมกลัวที่บ้านเดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่าย(ผมเป็นหลานคนเดียวที่บ้านไม่มีหนี้สิน ฐานะค่อนไปทางดี มาย้อนดูแล้วตูโคตรมโน) ผมตัดสินใจทิ้งความสุขตรงนั้น ซึ่งนับเป็นการซิ่วครั้งที่3 แล้วออกมารอสอบแอดมิชชั่น รอบนี้ผมเลือกที่จะสอบเข้ามหาลัยรัฐ ที่แรกผมสอบวาดรูปเลย แต่ไม่ผ่านคงเป็นเพราะความอ่อนซ้อม ที่รู้เพราะการเรียนมหาลัยทั้ง 2 ที่ที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ว่ามีคนที่เก่งกว่าผมอีกมาก มีพระสวรรค์กว่าผม มีพรแสวงกว่าผม ผมมันเหมือนปลาในโหลแก้วไม่รู้ความลึกของมหาสมุทร ผมเลยสมัครอีกรอบและผ่านสอบวาดเขียนมาได้เหลือแค่การสอบสัมภาษณ์ คงคิดว่าสบายละแต่ใช่ครับผมตกสัมภาษณ์ ผมจิตใจแตกสลายสุดๆ แต่ยังฮึดสู้ไปต่อรอบที่3 ผมใส่คณะแห่งความฝันผมไว้ที่1 ส่วนอีก2-3คณะเป็นคณะที่ผมคิดว่าเรียนไหวและไม่ทำให้ผมต้องออกกลางคันเหมือนคณะที่ผมเรียนมาในรอบแรก คะแนนผมก็จัดว่าอยู่ในระดับดีแต่ใช่ครับแค่ดีมันยังไม่พอเพราะมันรับเพียง15คน ผมได้คณะอันดับ2 เป็นคณะที่มีศิลปะแต่ก็มีสายสุขภาพมาด้วยแต่ผมอยากเรียนแบบเพียวๆผมจึงตัดใจและยอมทุกอย่าง ผมคิดว่าคงไม่มีวาสนาได้เรียนคณะในฝันของผมอีกต่อไปผมจึงสละอันดับ2 ไปเอาคณะอันดับ3 ที่มันไม่เกี่ยวกับศิลปะเลยเป็นมรัฐชื่อดังแถวอโศก เป็นคณะที่เรียนเกี่ยวกับสายสังคมซึ่งผมก็ได้คะแนนสังคมค่อนข้างดีตอนเรียนแถมยังไม่เคยอ่านหนังสือสอบเลย ผมจึงคิดเข้าข้างตัวเองไปว่าคงจะเรียนไหวอยู่ถ้าอ่าน ผมยืนยันสิทธิ์และตัดใจกับคณะในฝันของผมเรียบร้อย เวลาผ่านไปหลายเดือนผมกลับทรมานจิตใจ และโกรธตัวเองที่เลือกทางผิดในอดีต(ปัจจุบันด้วย) เปรียบดั่ง ชายที่บ่นคิดถึงแฟนเก่าแต่ตอนเค้าอยู่ก็ไม่ดูแล และก็เซ็งกับความย้อนแย้งตัวเองเรื่องออกจากคณะที่ชอบเพราะกลัวหางานไม่ได้ แต่คณะที่เอ็งกำลังจะไปเรียนอ่ะมันก็พอๆกันแถมยังไม่ได้ทำสิ่งที่รักอีก สุดท้ายที่ผมตัดสินใจลาขาดความฝันและสิ่งที่ผมรักผมก็ทำไม่ได้ ตอนนี้สำหรับผมความฝันมันเหมือนลูกตุ้มเหล็กถ่วงน้ำหนักใส่ใว้ที่ขาของผม ท้ายที่สุดผมก็ยังอยากเรียนมันอยู่ มเอกชนก็ได้อะไรก็ได้ มีงานไหมผมไม่สนเลย อีก1เดือนมหาลัยที่ผมสอบได้ก็จะเปิดแล้วผมก็จะลองเปิดใจเรียนดูครับ สุดท้ายนี้ ผมไม่รู้ว่าผมหลงทางอยู่หรือยังไงช่วยฟังเรื่องราวแล้วเตือนผมที ด่าผมก็ได้ผมพอจะรู้ความผิดผมอยู่ ถ้าน้องๆมาอ่านก็อย่างั่งแบบพี่ละกันนะครับสงสารคนจ่ายค่าเทอม555