ที่มา :
กรุงเทพธุรกิจ
เส้นทางสู่ศิลปิน no.1 ชาร์ต Billboard HOT 100 ของ ‘จองกุก’ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาต้องเผชิญกับเกมการเมืองสหรัฐที่ลามเข้ามายังชาร์ตเพลงระดับโลก รวมถึงการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ครั้งแล้วครั้งเล่าของบิลบอร์ด แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถหยุดยั้งน้องเล็กแห่งวง BTS ได้
ถือเป็นชัยชนะแบบฉิวเฉียดชนิดที่เรียกว่าหืดขึ้นคอ แต่ความยากลำบากที่ได้รับกลับยิ่งทำให้การขึ้นครองอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด HOT 100 จากเพลง Seven ของ ‘จองกุก’ BTS กลายเป็นตำนานที่ได้รับการจดจำมากยิ่งขึ้น
จองกุกผู้มีสมญานามว่า
‘มักเน่ทองคำ’ (หมายถึงน้องเล็กผู้มีความสามารถรอบด้าน) ของ biggest band in the world อย่าง BTS ก็ไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง เพลง Seven ของเขาสามารถทุบสถิติมากมายจนนับไม่ถ้วน พร้อมติดท็อปชาร์ตในตลาดเพลงหลักของโลก
สถิติต่าง ๆ ที่ได้มาทำให้ความเป็นไปได้ที่เพลง Seven จะครองอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard HOT 100 มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากที่เคยได้รับการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ว่าจะติดชาร์ตในอันดับท็อป 5 ก็ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 3, 2 จนท้ายที่สุดก็สามารถเบียดเพลง
Last Night ของ
Morgan Wallen ที่ครองอันดับ 1 มานานถึง 14 สัปดาห์ลงไปแล้ว
แต่หลังจากที่เพลง
Seven ของจองกุก ได้รับการคาดการณ์ว่าจะขึ้นครองอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard HOT 100 ได้เพียงไม่นาน ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องเปลี่ยนตัวเลขคาดการณ์ใหม่โดยบอกว่าเป็นสัปดาห์ที่ไม่สามารถทำนายผู้ชนะได้ เพราะ อยู่ดี ๆ เพลง
‘Try That in a Small Town’ ของเจสัน อัลดีน (
Jason Aldean) นักร้องเพลงคันทรีชื่อดัง ก็มียอดขายพุ่งขึ้นพรวดพราดนับแสนหน่วยภายในวันเดียว จนสามารถแซงหน้าเพลงของจองกุกไปได้
เมื่อการเมืองอเมริกันเข้าแทรกแซงชาร์ตเพลง
สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าไม่ใช่เรื่องปกติที่ปัจจัยทางการเมืองจะเข้ามาแทรกแซงอันดับบนชาร์ต Billboard HOT 100 ที่เป็นเรื่องของเพลงล้วน ๆ
โดยความเป็นมาของเรื่องมีอยู่ว่า เพลง Try That in a Small Town ของเจสัน อัลดีน ได้กลายเป็นประเด็นขัดแย้งในสหรัฐฯ มาตั้งแต่ปล่อยเพลงออกมาในเดือนมีนาคมที่ผ่าน เพราะบางฝ่ายมองว่าเนื้อเพลงมีส่วนยุยงให้เกิดความรุนแรง ตลอดจนส่งเสริมการใช้อาวุธปืนในสหรัฐฯ ที่เกิดเหตุการณ์กราดยิงหมู่ขึ้นบ่อยครั้ง
ความขัดแย้งยิ่งทวีความร้อนระอุขึ้นไปอีกภายหลังจากที่มีการปล่อย MV ออกมาแล้วพบว่าไปถ่ายทำที่
ศาล Maury County Courthouse ในเมืองโคลัมเบีย รัฐเทนเนสซี ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุม็อบชาวบ้านลากหนุ่มผิวดำคนหนึ่งไปตามถนนในเมือง ก่อนจะจับเขาแขวนคอในปี 1927 ด้วยข้อกล่าวหาว่าเขาข่มขืนผู้หญิงผิวขาวทั้งที่ยังไม่ได้มีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน จนนำไปสู่การก่อเหตุจลาจลต่อต้านการเหยียดผิวครั้งใหญ่ตามมา
MV เพลงดังกล่าวมีการนำภาพฟุตเตจกลุ่มผู้ท้วงก่อเหตุรุนแรง เผาธงชาติอเมริกันมาใช้ ขณะที่เนื้อเพลงพูดว่า
“จะใช้ปืนที่ปู่มอบให้มา” ส่งผลให้สถานี CMT ซึ่งเป็นช่องที่เปิดเฉพาะเพลงคันทรี่ ประกาศแบนเพลง Try That in a Small Town นี้ ตามด้วยการประท้วงของฝ่ายสนับสนุนให้ควบคุมการใช้อาวุธปืนในสหรัฐ และกลุ่มผู้ต่อต้านการเหยียดสีผิวอีกเป็นจำนวนมาก
แต่ทว่า เจสัน อัลดีน นั้นได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนบางส่วนเช่นกัน โดยเฉพาะนักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยม เช่น
อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน "Truth Social" ให้ช่วยกันสนับสนุนเพลง Try That in a Small Town ขณะที่นักการเมืองบางรายก็นำเพลงนี้ไปเปิดในการหาเสียงของตัวเอง และนั่นเองที่ส่งผลให้อยู่ดี ๆ ยอดขายเพลงนี้ก็พุ่งขึ้นพรวดพราดภายในวันเดียว
เด็กหนุ่มจากเกาหลีใต้ผู้สร้างตำนานบทใหม่ให้วงการดนตรี
ด้วยเหตุนี้เองเมื่อคืนวันจันทร์ล่วงเข้าสู่วันอังคารที่ผ่านมาจึงมีผู้คนหลายฝ่ายจากทั่วโลกเฝ้าจับตารอการประกาศชาร์ต
Billboard HOT 100 กันด้วยใจจดจ่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยสื่อบันเทิงชั้นนำหลายสำนักถึงกับขนานนามว่าสัปดาห์นี้ถือเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของบิลบอร์ดกันเลยทีเดียว
แล้วผลก็ออกมาว่า ‘จองกุก’ เด็กหนุ่มวัย 25 ปีจากประเทศเกาหลีใต้ เป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมในระดับเมนสตรีมของโลกอย่างแท้จริงจนสามารถฝ่ามรสุมความขัดแย้งทางการเมืองภายในสหรัฐฯ ขึ้นมาครองอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard HOT 100 ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
โดยเพลง SEVEN เอาชนะไปได้ด้วยยอดสตรีม 21.9 ล้าน ยอดเปิดเพลงทางสถานีวิทยุในอเมริกา 6.4 ล้าน ยอดขาย 153,000 หน่วย ขณะที่เพลง Try That in a Small Town มียอดสตรีมน้อยกว่าครึ่งหนึ่งที่ 11.6 ล้าน ยอดเปิดเพลงทางสถานีวิทยุอเมริกา 7.6 ล้าน และยอดขาย 228,000 หน่วย
เท่านั้นไม่พอ เพลง ‘Seven (feat. Latto)’ ของจองกุกยังสามารถทำสถิติ No. 1 Billboard ALL KILL โดยสามารถครองอันดับ 1 บน 3 ชาร์ตหลักของบิลบอร์ด อันประกอบด้วย HOT 100, GLOBAL 200 และ GLOBAL 200 EXCL US ถือเป็นศิลปินเดี่ยว K-POP รายแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำสถิตินี้ได้
จองกุก ถือเป็นศิลปินเดี่ยวชาวเอเชียรายที่ 3 เท่านั้นในประวัติศาสตร์ ที่สามารถติด No.1 ชาร์ต HOT 100 ได้
คนแรก คือ
คิว ซากาโมโตะ (Kyu Sakamoto) กับเพลง
Sukiyaki ที่สร้างตำนานไว้ตั้งแต่ปี 1963 หรือเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ตามมาด้วย
จีมิน สมาชิกวง BTS เช่นเดียวกัน ที่คว้าอันดับ 1 มาครองได้เป็นคนแรกของศิลปินเกาหลีด้วยเพลง Like Crazy ในสัปดาห์ที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา และคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์คือ
จองกุก กับเพลง Seven ในสัปดาห์ที่ 29 กรกฎาคมของปี 2023 นี้
ทั้งนี้ วง BTS สามารถนำเพลงขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตระดับโลกอย่าง Billboard HOT 100 มาได้แล้วถึง 6 ครั้งจากเพลง Dynamite, Savage Love (Laxed - Siren Beat) - BTS Remix, Life Goes On, Butter, Permission to Dance และ My Universe
แต่การมาเดี่ยวเพียงคนเดียวของจองกุก แถมยังต้องเผชิญกับปัจจัยที่โหดหินอย่างเกมการเมืองของสหรัฐเข้าไปอีกจึงทำให้ชัยชนะของเขาในครั้งนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของประเทศเกาหลีใต้ ตลอดจนชาวเอเชียเป็นอย่างมากว่า ถ้าเพลงดี ศิลปินมีคุณภาพ ค่ายต้นสังกัดเข้าใจกลไกของอุตสาหกรรมดนตรี สามารถวางแผนรับมือได้อย่างชาญฉลาด และสุดท้ายคือการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งของเหล่าแฟนคลับ และแฟนเพลงแล้วละก็ การครองอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard HOT 100 สำหรับศิลปินเอเชียก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ดังคำกล่าวของ RM หัวหน้าวง BTS ที่ว่า
Team Work makes the dream work.
‘จองกุก BTS’ ศิลปินเอเชีย v.s. การเมืองสหรัฐ บนชาร์ต Billboard HOT 100
เส้นทางสู่ศิลปิน no.1 ชาร์ต Billboard HOT 100 ของ ‘จองกุก’ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาต้องเผชิญกับเกมการเมืองสหรัฐที่ลามเข้ามายังชาร์ตเพลงระดับโลก รวมถึงการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ครั้งแล้วครั้งเล่าของบิลบอร์ด แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถหยุดยั้งน้องเล็กแห่งวง BTS ได้
ถือเป็นชัยชนะแบบฉิวเฉียดชนิดที่เรียกว่าหืดขึ้นคอ แต่ความยากลำบากที่ได้รับกลับยิ่งทำให้การขึ้นครองอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด HOT 100 จากเพลง Seven ของ ‘จองกุก’ BTS กลายเป็นตำนานที่ได้รับการจดจำมากยิ่งขึ้น
จองกุกผู้มีสมญานามว่า ‘มักเน่ทองคำ’ (หมายถึงน้องเล็กผู้มีความสามารถรอบด้าน) ของ biggest band in the world อย่าง BTS ก็ไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง เพลง Seven ของเขาสามารถทุบสถิติมากมายจนนับไม่ถ้วน พร้อมติดท็อปชาร์ตในตลาดเพลงหลักของโลก
สถิติต่าง ๆ ที่ได้มาทำให้ความเป็นไปได้ที่เพลง Seven จะครองอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard HOT 100 มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากที่เคยได้รับการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ว่าจะติดชาร์ตในอันดับท็อป 5 ก็ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 3, 2 จนท้ายที่สุดก็สามารถเบียดเพลง Last Night ของ Morgan Wallen ที่ครองอันดับ 1 มานานถึง 14 สัปดาห์ลงไปแล้ว
แต่หลังจากที่เพลง Seven ของจองกุก ได้รับการคาดการณ์ว่าจะขึ้นครองอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard HOT 100 ได้เพียงไม่นาน ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องเปลี่ยนตัวเลขคาดการณ์ใหม่โดยบอกว่าเป็นสัปดาห์ที่ไม่สามารถทำนายผู้ชนะได้ เพราะ อยู่ดี ๆ เพลง ‘Try That in a Small Town’ ของเจสัน อัลดีน (Jason Aldean) นักร้องเพลงคันทรีชื่อดัง ก็มียอดขายพุ่งขึ้นพรวดพราดนับแสนหน่วยภายในวันเดียว จนสามารถแซงหน้าเพลงของจองกุกไปได้
เมื่อการเมืองอเมริกันเข้าแทรกแซงชาร์ตเพลง
สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าไม่ใช่เรื่องปกติที่ปัจจัยทางการเมืองจะเข้ามาแทรกแซงอันดับบนชาร์ต Billboard HOT 100 ที่เป็นเรื่องของเพลงล้วน ๆ
โดยความเป็นมาของเรื่องมีอยู่ว่า เพลง Try That in a Small Town ของเจสัน อัลดีน ได้กลายเป็นประเด็นขัดแย้งในสหรัฐฯ มาตั้งแต่ปล่อยเพลงออกมาในเดือนมีนาคมที่ผ่าน เพราะบางฝ่ายมองว่าเนื้อเพลงมีส่วนยุยงให้เกิดความรุนแรง ตลอดจนส่งเสริมการใช้อาวุธปืนในสหรัฐฯ ที่เกิดเหตุการณ์กราดยิงหมู่ขึ้นบ่อยครั้ง
ความขัดแย้งยิ่งทวีความร้อนระอุขึ้นไปอีกภายหลังจากที่มีการปล่อย MV ออกมาแล้วพบว่าไปถ่ายทำที่ศาล Maury County Courthouse ในเมืองโคลัมเบีย รัฐเทนเนสซี ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุม็อบชาวบ้านลากหนุ่มผิวดำคนหนึ่งไปตามถนนในเมือง ก่อนจะจับเขาแขวนคอในปี 1927 ด้วยข้อกล่าวหาว่าเขาข่มขืนผู้หญิงผิวขาวทั้งที่ยังไม่ได้มีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน จนนำไปสู่การก่อเหตุจลาจลต่อต้านการเหยียดผิวครั้งใหญ่ตามมา
MV เพลงดังกล่าวมีการนำภาพฟุตเตจกลุ่มผู้ท้วงก่อเหตุรุนแรง เผาธงชาติอเมริกันมาใช้ ขณะที่เนื้อเพลงพูดว่า “จะใช้ปืนที่ปู่มอบให้มา” ส่งผลให้สถานี CMT ซึ่งเป็นช่องที่เปิดเฉพาะเพลงคันทรี่ ประกาศแบนเพลง Try That in a Small Town นี้ ตามด้วยการประท้วงของฝ่ายสนับสนุนให้ควบคุมการใช้อาวุธปืนในสหรัฐ และกลุ่มผู้ต่อต้านการเหยียดสีผิวอีกเป็นจำนวนมาก
แต่ทว่า เจสัน อัลดีน นั้นได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนบางส่วนเช่นกัน โดยเฉพาะนักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยม เช่น อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน "Truth Social" ให้ช่วยกันสนับสนุนเพลง Try That in a Small Town ขณะที่นักการเมืองบางรายก็นำเพลงนี้ไปเปิดในการหาเสียงของตัวเอง และนั่นเองที่ส่งผลให้อยู่ดี ๆ ยอดขายเพลงนี้ก็พุ่งขึ้นพรวดพราดภายในวันเดียว
เด็กหนุ่มจากเกาหลีใต้ผู้สร้างตำนานบทใหม่ให้วงการดนตรี
ด้วยเหตุนี้เองเมื่อคืนวันจันทร์ล่วงเข้าสู่วันอังคารที่ผ่านมาจึงมีผู้คนหลายฝ่ายจากทั่วโลกเฝ้าจับตารอการประกาศชาร์ต Billboard HOT 100 กันด้วยใจจดจ่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยสื่อบันเทิงชั้นนำหลายสำนักถึงกับขนานนามว่าสัปดาห์นี้ถือเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของบิลบอร์ดกันเลยทีเดียว
แล้วผลก็ออกมาว่า ‘จองกุก’ เด็กหนุ่มวัย 25 ปีจากประเทศเกาหลีใต้ เป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมในระดับเมนสตรีมของโลกอย่างแท้จริงจนสามารถฝ่ามรสุมความขัดแย้งทางการเมืองภายในสหรัฐฯ ขึ้นมาครองอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard HOT 100 ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
โดยเพลง SEVEN เอาชนะไปได้ด้วยยอดสตรีม 21.9 ล้าน ยอดเปิดเพลงทางสถานีวิทยุในอเมริกา 6.4 ล้าน ยอดขาย 153,000 หน่วย ขณะที่เพลง Try That in a Small Town มียอดสตรีมน้อยกว่าครึ่งหนึ่งที่ 11.6 ล้าน ยอดเปิดเพลงทางสถานีวิทยุอเมริกา 7.6 ล้าน และยอดขาย 228,000 หน่วย
เท่านั้นไม่พอ เพลง ‘Seven (feat. Latto)’ ของจองกุกยังสามารถทำสถิติ No. 1 Billboard ALL KILL โดยสามารถครองอันดับ 1 บน 3 ชาร์ตหลักของบิลบอร์ด อันประกอบด้วย HOT 100, GLOBAL 200 และ GLOBAL 200 EXCL US ถือเป็นศิลปินเดี่ยว K-POP รายแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำสถิตินี้ได้
จองกุก ถือเป็นศิลปินเดี่ยวชาวเอเชียรายที่ 3 เท่านั้นในประวัติศาสตร์ ที่สามารถติด No.1 ชาร์ต HOT 100 ได้
คนแรก คือ คิว ซากาโมโตะ (Kyu Sakamoto) กับเพลง Sukiyaki ที่สร้างตำนานไว้ตั้งแต่ปี 1963 หรือเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ตามมาด้วย จีมิน สมาชิกวง BTS เช่นเดียวกัน ที่คว้าอันดับ 1 มาครองได้เป็นคนแรกของศิลปินเกาหลีด้วยเพลง Like Crazy ในสัปดาห์ที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา และคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์คือ จองกุก กับเพลง Seven ในสัปดาห์ที่ 29 กรกฎาคมของปี 2023 นี้
ทั้งนี้ วง BTS สามารถนำเพลงขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตระดับโลกอย่าง Billboard HOT 100 มาได้แล้วถึง 6 ครั้งจากเพลง Dynamite, Savage Love (Laxed - Siren Beat) - BTS Remix, Life Goes On, Butter, Permission to Dance และ My Universe
แต่การมาเดี่ยวเพียงคนเดียวของจองกุก แถมยังต้องเผชิญกับปัจจัยที่โหดหินอย่างเกมการเมืองของสหรัฐเข้าไปอีกจึงทำให้ชัยชนะของเขาในครั้งนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของประเทศเกาหลีใต้ ตลอดจนชาวเอเชียเป็นอย่างมากว่า ถ้าเพลงดี ศิลปินมีคุณภาพ ค่ายต้นสังกัดเข้าใจกลไกของอุตสาหกรรมดนตรี สามารถวางแผนรับมือได้อย่างชาญฉลาด และสุดท้ายคือการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งของเหล่าแฟนคลับ และแฟนเพลงแล้วละก็ การครองอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard HOT 100 สำหรับศิลปินเอเชียก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ดังคำกล่าวของ RM หัวหน้าวง BTS ที่ว่า
Team Work makes the dream work.