เอสเกอร์ โฮล์ม ตำรวจภาคสนามที่ถูกย้ายมาปฏิบัติหน้าที่รับแจ้งเหตุฉุกเฉินระหว่างรอการพิจารณาคดีส่วนตัวของเขา ซึ่งตัวเขาไม่เต็มใจทำงานกับหน้าที่นี้เท่าไหร่นัก จนกระทั่งการโทรเข้ามาแจ้งเหตุฉุกเฉินของสายปริศนาคนหนึ่งที่โทรเข้ามาด้วยน้ำเสียงตื่นกลัวเป็นพิเศษ จึงทำให้เขาสนใจสายนี้อย่างรวดเร็ว และด้วยประสบการณ์การเป็นตำรวจของเขามานานจึงรู้ภายหลังว่า อีเบน กำลังถูกลักพาตัวจากคนร้ายอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เอสเกอร์ จึงต้องพยายามทำทุกทางเพื่อหาทางให้ความช่วยเหลือหญิงสาวที่อยู่ปลายสายและชะตากรรมของเธอกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายทุกวินาทีเป็นวินาทีตาย
ภาพยนตร์ Crime , Drama และ Thriller น้ำดีส่งตรงจากประเทศเดนมาร์กปี 2018 แถมติด 1 ในรายชื่อภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมจากเทศกาลงานออสการ์ปีเดียวกัน เริ่มต้นมาหนังจะพาเราโฟกัสไปที่ตัวพระเอกเปรียบแทนคนดูว่าตนเองเป็นใคร ทำอะไรอยู่ที่แห่งนี้ ซึ่งช่วงนี้ค่อนข้างน่าเบื่อไปนิดนึงเหมือนเกริ่นนำปูทางให้เราทำความรู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับพระเอกถึงกิจวัตรการทำงานของพระเอกที่นั่งรับสายแก่คนร้องเรียนมากมายหลายรูปแบบทั้งโทรมาแจ้งเหตุจริงและมาแกล้งเพื่อกวนประสาทปะปนกันไปด้วยความเบื่อหน่ายถึงขั้นกินยาแก้ปวดหัวฆ่าเวลา จนกระทั่งได้รับจากสายปริศนาคนหนึ่งที่โทรแจ้งว่าปลายสายได้ถูกลักพาตัวมานี่แหล่ะความสนุกของหนังเริ่มทำงานทันที แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด เพราะ ตรงจุดนี้เองหนังค่อย ๆ เปิดปมในอดีตของพระเอกไปพร้อมกับเรื่องที่ซุกซ่อนไว้ของเสียงสาวปริศนาพร้อมกันทีละนิดเพื่อให้เราปะติดประต่อได้ถูก จากนั้นหนังค่อย ๆ เปลี่ยนโหมดเข้าสู่การไล่ล่าติดตามสืบสวนตำรวจกับผู้ร้ายโดยไม่มีฉาก Action ใด ๆ ทั้งสิ้น มีแวะพักข้างทางประปรายนิดหน่อย แม้เราจะเห็นตัวพระเอกนั่งอยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว
โดยรวมระยะเวลา 1 ชั่วโมง 25 นาที สำหรับผมที่ให้ทั้งความสนุก ตื่นเต้น อึดอัด และกดดันยิ่งกว่าหนัง Action สาดกระสุนโครมครามเสียอีก มีแอบย้วยระยะทางบ้างแต่ยังน่าติดตามต่อไปจนจบเหมือนเดินเรื่องผ่านไปเร็ว บทสรุปเดาทางไม่ถูกว่าจะจบลงแบบไหน พอถึงช่วงสรุปสร้างความช็อคกับความหักมุมจนรู้สึกงงและสะเทือนใจว่าทำไมมันลงเอยแบบนี้ เพราะ ตลอดทางที่ดูไปแต่ละฉากมีความเรียบง่ายในสถานที่เดียวแต่ในหัวเต็มไปด้วยคำถามกับเหตุการณ์จากปลายสายที่เราไม่เห็นภาพเต็มไปหมด แม้ว่า Plot เจ้าหน้าที่โอเปอเรเตอร์ หรือ เจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุติดตามคนร้ายจะไม่ใช่ Plot ใหม่แต่ตัวหนังสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดความเป็นหนังแนวสืบสวนสอบสวนออกไปจากเดิมได้น่าสนใจไม่น้อยด้วยการเพิ่มน้ำหนักไปที่ปมของพระเอกรองรับบทให้มีมิติเข้าไปช่วยให้เราเข้าใจพร้อมเอาใจช่วยด้วยกันมากขึ้น แม้อีกฝ่ายมีแค่เสียงจากโทรศัพท์อย่างเดียว มันจึงทำให้คนดูอย่างเราต้องใช้สมาธิในการคิด วิเคราะห์ แยกแยะแล้วจินตนาการตามภาพไปพร้อมกับพระเอกกันว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นใครทำอะไรกันไปเรียบเรียงเอาเองจนเล่นสมองทำงานกันหนักหน่วงเลยทีเดียว ซึ่งเข้าใจได้ไม่ยากเช่นกัน
ส่วนตัวผมได้ดูมาทั้ง 2 เวอร์ชั่น ทั้งของต้นฉบับอย่างผู้กำกับ Gustav Moller จาก I Morke (2015) และ ส่วนของรีเมคโดยผู้กำกับ Antoine Fuqua จาก Training Day (2001) ถ้าให้เปรียบเทียบว่าเวอร์ชั่นไหนดีกว่าผมว่าคงบอกยากหน่อยเพราะทั้ง2 ทำได้ดีตามสไตล์ของตนเอง แต่ถ้าถามว่าชอบ Version ไหน ผมชอบเวอร์ชั่นดั้งเดิมมากกว่าตรงที่ความสดใหม่ของ Plot ที่ดุเดือด และ หนักแน่น จังหวะเล่าเรื่องที่นิ่งเงียบแต่ดุดัน เหมือนจะเดาทางได้แต่ไม่ง่าย ส่วนเวอร์ชั่นรีเมคที่แสดงโดยเฮีย Jake Gyllenhaal ทำได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน มีปรับเปลี่ยน Details บางอย่างไปตามบริบทตามสังคมหน่อยเพื่อไม่ให้ซ้ำกับต้นฉบับจนเกินไป เพียงแต่ว่ามันสรุปตามสูตรสำเร็จตามฉบับ Hollywood ไปจนไม่ต้องลุ้นอะไรมากไปกว่าการเก็บตกรายละเอียดจากข้อมูลบางอย่างที่ยังตกค้างอยู่จากเวอร์ชั่นเดิมเข้าไปเสริมเติมแต่งให้เรื่องมีมูลเหตุมีคำตอบที่ชัดเจนมากขึ้นแค่นั้น รวมถึงสิ่งที่ทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนกันคือ ตัวหนังสามารถสื่อสาร Message ในสาระถึงเส้นแบ่งระหว่างกฎหมายกับความถูกต้อง การไถ่บาปในจิตใจ ความกดดัน การตัดสินใจ รวมถึงการก้าวข้ามบาดแผลในอดีต ปมปัญหาที่มันค้างคาใจได้ลึกซึ้งกินใจเช่นกัน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.51 The Guilty : ขีดเส้นตาย สายเร่งด่วน ซ่อนปมระทึก
เอสเกอร์ โฮล์ม ตำรวจภาคสนามที่ถูกย้ายมาปฏิบัติหน้าที่รับแจ้งเหตุฉุกเฉินระหว่างรอการพิจารณาคดีส่วนตัวของเขา ซึ่งตัวเขาไม่เต็มใจทำงานกับหน้าที่นี้เท่าไหร่นัก จนกระทั่งการโทรเข้ามาแจ้งเหตุฉุกเฉินของสายปริศนาคนหนึ่งที่โทรเข้ามาด้วยน้ำเสียงตื่นกลัวเป็นพิเศษ จึงทำให้เขาสนใจสายนี้อย่างรวดเร็ว และด้วยประสบการณ์การเป็นตำรวจของเขามานานจึงรู้ภายหลังว่า อีเบน กำลังถูกลักพาตัวจากคนร้ายอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เอสเกอร์ จึงต้องพยายามทำทุกทางเพื่อหาทางให้ความช่วยเหลือหญิงสาวที่อยู่ปลายสายและชะตากรรมของเธอกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายทุกวินาทีเป็นวินาทีตาย
ภาพยนตร์ Crime , Drama และ Thriller น้ำดีส่งตรงจากประเทศเดนมาร์กปี 2018 แถมติด 1 ในรายชื่อภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมจากเทศกาลงานออสการ์ปีเดียวกัน เริ่มต้นมาหนังจะพาเราโฟกัสไปที่ตัวพระเอกเปรียบแทนคนดูว่าตนเองเป็นใคร ทำอะไรอยู่ที่แห่งนี้ ซึ่งช่วงนี้ค่อนข้างน่าเบื่อไปนิดนึงเหมือนเกริ่นนำปูทางให้เราทำความรู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับพระเอกถึงกิจวัตรการทำงานของพระเอกที่นั่งรับสายแก่คนร้องเรียนมากมายหลายรูปแบบทั้งโทรมาแจ้งเหตุจริงและมาแกล้งเพื่อกวนประสาทปะปนกันไปด้วยความเบื่อหน่ายถึงขั้นกินยาแก้ปวดหัวฆ่าเวลา จนกระทั่งได้รับจากสายปริศนาคนหนึ่งที่โทรแจ้งว่าปลายสายได้ถูกลักพาตัวมานี่แหล่ะความสนุกของหนังเริ่มทำงานทันที แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด เพราะ ตรงจุดนี้เองหนังค่อย ๆ เปิดปมในอดีตของพระเอกไปพร้อมกับเรื่องที่ซุกซ่อนไว้ของเสียงสาวปริศนาพร้อมกันทีละนิดเพื่อให้เราปะติดประต่อได้ถูก จากนั้นหนังค่อย ๆ เปลี่ยนโหมดเข้าสู่การไล่ล่าติดตามสืบสวนตำรวจกับผู้ร้ายโดยไม่มีฉาก Action ใด ๆ ทั้งสิ้น มีแวะพักข้างทางประปรายนิดหน่อย แม้เราจะเห็นตัวพระเอกนั่งอยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว
โดยรวมระยะเวลา 1 ชั่วโมง 25 นาที สำหรับผมที่ให้ทั้งความสนุก ตื่นเต้น อึดอัด และกดดันยิ่งกว่าหนัง Action สาดกระสุนโครมครามเสียอีก มีแอบย้วยระยะทางบ้างแต่ยังน่าติดตามต่อไปจนจบเหมือนเดินเรื่องผ่านไปเร็ว บทสรุปเดาทางไม่ถูกว่าจะจบลงแบบไหน พอถึงช่วงสรุปสร้างความช็อคกับความหักมุมจนรู้สึกงงและสะเทือนใจว่าทำไมมันลงเอยแบบนี้ เพราะ ตลอดทางที่ดูไปแต่ละฉากมีความเรียบง่ายในสถานที่เดียวแต่ในหัวเต็มไปด้วยคำถามกับเหตุการณ์จากปลายสายที่เราไม่เห็นภาพเต็มไปหมด แม้ว่า Plot เจ้าหน้าที่โอเปอเรเตอร์ หรือ เจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุติดตามคนร้ายจะไม่ใช่ Plot ใหม่แต่ตัวหนังสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดความเป็นหนังแนวสืบสวนสอบสวนออกไปจากเดิมได้น่าสนใจไม่น้อยด้วยการเพิ่มน้ำหนักไปที่ปมของพระเอกรองรับบทให้มีมิติเข้าไปช่วยให้เราเข้าใจพร้อมเอาใจช่วยด้วยกันมากขึ้น แม้อีกฝ่ายมีแค่เสียงจากโทรศัพท์อย่างเดียว มันจึงทำให้คนดูอย่างเราต้องใช้สมาธิในการคิด วิเคราะห์ แยกแยะแล้วจินตนาการตามภาพไปพร้อมกับพระเอกกันว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นใครทำอะไรกันไปเรียบเรียงเอาเองจนเล่นสมองทำงานกันหนักหน่วงเลยทีเดียว ซึ่งเข้าใจได้ไม่ยากเช่นกัน
ส่วนตัวผมได้ดูมาทั้ง 2 เวอร์ชั่น ทั้งของต้นฉบับอย่างผู้กำกับ Gustav Moller จาก I Morke (2015) และ ส่วนของรีเมคโดยผู้กำกับ Antoine Fuqua จาก Training Day (2001) ถ้าให้เปรียบเทียบว่าเวอร์ชั่นไหนดีกว่าผมว่าคงบอกยากหน่อยเพราะทั้ง2 ทำได้ดีตามสไตล์ของตนเอง แต่ถ้าถามว่าชอบ Version ไหน ผมชอบเวอร์ชั่นดั้งเดิมมากกว่าตรงที่ความสดใหม่ของ Plot ที่ดุเดือด และ หนักแน่น จังหวะเล่าเรื่องที่นิ่งเงียบแต่ดุดัน เหมือนจะเดาทางได้แต่ไม่ง่าย ส่วนเวอร์ชั่นรีเมคที่แสดงโดยเฮีย Jake Gyllenhaal ทำได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน มีปรับเปลี่ยน Details บางอย่างไปตามบริบทตามสังคมหน่อยเพื่อไม่ให้ซ้ำกับต้นฉบับจนเกินไป เพียงแต่ว่ามันสรุปตามสูตรสำเร็จตามฉบับ Hollywood ไปจนไม่ต้องลุ้นอะไรมากไปกว่าการเก็บตกรายละเอียดจากข้อมูลบางอย่างที่ยังตกค้างอยู่จากเวอร์ชั่นเดิมเข้าไปเสริมเติมแต่งให้เรื่องมีมูลเหตุมีคำตอบที่ชัดเจนมากขึ้นแค่นั้น รวมถึงสิ่งที่ทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนกันคือ ตัวหนังสามารถสื่อสาร Message ในสาระถึงเส้นแบ่งระหว่างกฎหมายกับความถูกต้อง การไถ่บาปในจิตใจ ความกดดัน การตัดสินใจ รวมถึงการก้าวข้ามบาดแผลในอดีต ปมปัญหาที่มันค้างคาใจได้ลึกซึ้งกินใจเช่นกัน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้