สวัสดีครับ ในกระทู้นี้ ผมจะมาเล่าถึงประสบการณ์ในอดีตของตัวเอง
เชื่อว่าใครหลายคน คงเคยมีประสบการณ์ที่รู้สึกเสียดาย ในอดีต เสียดายที่ตัวเอง ไม่ทำให้ดีกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ความรัก หรือความสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า "เสียใจ ดีกว่าเสียดาย" หรือ "อย่ารู้สึกเสียใจหรือเสียดาย กับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว" ผมก็เคยได้ยินประโยคดังกล่าวเช่นกัน แต่ในตอนนี้ ผมมีมุมมองว่า การที่เราพยายามคิดหรือรู้สึกแบบนั้น มันคือการโกหกหรือหลอกตัวเอง จริงอยู่ว่า "fake it until you make it" เป็นประโยคที่นำมาใช้ได้จริง แต่สำหรับผม เราไม่จำเป็นที่จะต้องบอกกับตัวเองแบบนั้นเลย ในมุมมองผมตอนนี้ ผมมองว่า การที่เรารู้สึก เสียใจ หรือ เสียดาย ออกจะเป็นเรื่องที่ดีเลยด้วยซ้ำ เพราะความรู้สึก ไม่มีดีหรือแย่ ผิดหรือถูก หลักสำคัญคือ การที่ตัวเราเองนั้น ยอมรับการมีอยู่ของมัน และ สามารถที่จะจัดการและแบกรับมันไว้ และก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ อย่างมีความสุข
ประสบการณ์ในอดีตที่ผมรู้สึกเสียดายนั้น จะมีอยู่ด้วยกันหลักๆ 2 เรื่อง คือ
1.เพื่อน
ณ ปัจจุบัน ตอนนี้ ผมตระหนักได้แล้วว่า "เพื่อน" นั้น สำคัญต่อชีวิตแค่ไหน..... แล้วผมเสียดายอะไรล่ะ? ผมเสียดาย ที่ผมเห็นอีโก้ของตัวผมเองสำคัญกว่า ทำให้เพื่อนๆ เริ่มถอยห่างออกไปเรื่อยๆ ด้วยความที่ผมค่อนข้าง Sensitive ต่อคำพูด และการกระทำบางอย่างที่เค้าทำเป็นปกติ ทำให้เพื่อนๆรู้สึกอึดอัด อย่างนี้ก็ไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่ดี เพื่อนคงจะงงว่า สรุปแล้ว จะเอายังไงกันแน่ ซึ่ง จุดที่ผมเสียดายคือ ผมรู้สึกว่า มีใครหลายคนออกไปจากชีวิตของผมเป็นจำนวนมาก หรือบางที ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ อาจจะเป็นเพราะช่วงวัยที่ มีการแยกย้าย เติบโต เหมือนนกที่ออกจากอ้อมอกพ่อแม่ เพื่อไปสร้างรังของตัวเอง แต่ผมก็ไม่โทษหนังสือหรอกนะที่ทำให้ผมมีมุมมองที่เปลี่ยนไป จนคนรอบตัวเริ่มสังเกตเห็นชัดเจนว่า ผมไม่ใช่คนเดิม จำได้เลยว่า ช่วงที่ยึดติดกับความสำเร็จ ตอนนั้นเป็นคนที่ใจร้อนมาก จนมองข้ามหลายสิ่งหลายอย่างไป มองข้ามสิ่งที่มี มองข้ามปัจจุบัน
2.ความรัก
ความรัก ผมเชื่อว่า ไม่มีใครไม่รู้จักมัน เพราะมันอยู่คู่กับเรามาตั้งแต่ตัวเราเองเกิด (เฉกเช่นกับเงินทอง) แต่ความรักที่ผมกำลังจะพูดถึง คือความรักใยวัยเรียน วัยรุ่น หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่..... ชีวิตผม ได้พบเจอกับความรักรูปแบบนี้หลายรอบพอสมควร แต่สมหวังแค่ครั้งเดียว ซึ่ง ไปครั้งเดียวนี่แหละ คือจุดเปลี่ยน ความรักที่สมหวัง หรือจะพูดอีกอย่างคือ แฟนคนแรก กอดแรก เป็นอะไรที่ เจ็บปวดมากที่สุดแล้ว เท่าที่ผมเคยสัมผัสกับความรักมา ตอนคบกัน ก็มีความสุขดี มีทะเลาะกันบ้าง เราคบกันไม่นานมากนัก แค่ประมาณ 1 ไตรมาสกว่าๆ จากนั้นก้เลิกรา แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาอันสั้น แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยบทเรียนต่างๆ เป็นบทเรียนที่ ตัวผมเองนั้น ต้องเรียนรู้มันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าผมจะเข้าใจ จนกว่าผมจะกลายเป็นคนที่ดีกว่าเดิม ทุกวันนี้ยอมรับเลยว่า คำพูด ภาพวันเก่าๆ ยังฉายอยู่ในหัวผมอยู่เลย แต่ผมก็ไม่ได้ปล่อยตัวเองซึมทั้งวันหรอก อย่างน้อยก็ยังดี ที่พยายามที่จะหาวิธีรับมือในรูปแบบต่างๆ ลองมาหลากหลายวิธี สุดท้ายผมก็ค้นพบว่า สิ่งสำคัญคือ 1.อดทน 2.ใช้เวลา ใช้ทุกวันให้มีความสุข..... ผมไม่ชอบคำพุดที่ว่า "เป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง" ผมไม่เชื่อคำพูดนี้ แต่ผมเชื่อคำพูดที่ว่า "เป็นมนุษย์ต้องเข้มแข็ง" แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่เข้มแข็งขนาดนั้นหรอก แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอนานเกินไป (เป็นคนที่ร้องไห้ยากมากๆ)
สำหรับกระทู้นี้ ผมตั้งมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของผม คุณผู้อ่านมีความคิดเห็นอย่างไร สามารถพิมพ์ไว้ได้ใต้กระทู้นี้ หรือ inbox มา ก็ได้เช่นกัน ขอบคุณที่ใจดีกดเข้ามาอ่านนะครับ ขอบคุณครับ 02.01 น. อา. 23/7/2566
ความเสียดายในอดีต
เชื่อว่าใครหลายคน คงเคยมีประสบการณ์ที่รู้สึกเสียดาย ในอดีต เสียดายที่ตัวเอง ไม่ทำให้ดีกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ความรัก หรือความสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า "เสียใจ ดีกว่าเสียดาย" หรือ "อย่ารู้สึกเสียใจหรือเสียดาย กับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว" ผมก็เคยได้ยินประโยคดังกล่าวเช่นกัน แต่ในตอนนี้ ผมมีมุมมองว่า การที่เราพยายามคิดหรือรู้สึกแบบนั้น มันคือการโกหกหรือหลอกตัวเอง จริงอยู่ว่า "fake it until you make it" เป็นประโยคที่นำมาใช้ได้จริง แต่สำหรับผม เราไม่จำเป็นที่จะต้องบอกกับตัวเองแบบนั้นเลย ในมุมมองผมตอนนี้ ผมมองว่า การที่เรารู้สึก เสียใจ หรือ เสียดาย ออกจะเป็นเรื่องที่ดีเลยด้วยซ้ำ เพราะความรู้สึก ไม่มีดีหรือแย่ ผิดหรือถูก หลักสำคัญคือ การที่ตัวเราเองนั้น ยอมรับการมีอยู่ของมัน และ สามารถที่จะจัดการและแบกรับมันไว้ และก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ อย่างมีความสุข
ประสบการณ์ในอดีตที่ผมรู้สึกเสียดายนั้น จะมีอยู่ด้วยกันหลักๆ 2 เรื่อง คือ
1.เพื่อน
ณ ปัจจุบัน ตอนนี้ ผมตระหนักได้แล้วว่า "เพื่อน" นั้น สำคัญต่อชีวิตแค่ไหน..... แล้วผมเสียดายอะไรล่ะ? ผมเสียดาย ที่ผมเห็นอีโก้ของตัวผมเองสำคัญกว่า ทำให้เพื่อนๆ เริ่มถอยห่างออกไปเรื่อยๆ ด้วยความที่ผมค่อนข้าง Sensitive ต่อคำพูด และการกระทำบางอย่างที่เค้าทำเป็นปกติ ทำให้เพื่อนๆรู้สึกอึดอัด อย่างนี้ก็ไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่ดี เพื่อนคงจะงงว่า สรุปแล้ว จะเอายังไงกันแน่ ซึ่ง จุดที่ผมเสียดายคือ ผมรู้สึกว่า มีใครหลายคนออกไปจากชีวิตของผมเป็นจำนวนมาก หรือบางที ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ อาจจะเป็นเพราะช่วงวัยที่ มีการแยกย้าย เติบโต เหมือนนกที่ออกจากอ้อมอกพ่อแม่ เพื่อไปสร้างรังของตัวเอง แต่ผมก็ไม่โทษหนังสือหรอกนะที่ทำให้ผมมีมุมมองที่เปลี่ยนไป จนคนรอบตัวเริ่มสังเกตเห็นชัดเจนว่า ผมไม่ใช่คนเดิม จำได้เลยว่า ช่วงที่ยึดติดกับความสำเร็จ ตอนนั้นเป็นคนที่ใจร้อนมาก จนมองข้ามหลายสิ่งหลายอย่างไป มองข้ามสิ่งที่มี มองข้ามปัจจุบัน
2.ความรัก
ความรัก ผมเชื่อว่า ไม่มีใครไม่รู้จักมัน เพราะมันอยู่คู่กับเรามาตั้งแต่ตัวเราเองเกิด (เฉกเช่นกับเงินทอง) แต่ความรักที่ผมกำลังจะพูดถึง คือความรักใยวัยเรียน วัยรุ่น หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่..... ชีวิตผม ได้พบเจอกับความรักรูปแบบนี้หลายรอบพอสมควร แต่สมหวังแค่ครั้งเดียว ซึ่ง ไปครั้งเดียวนี่แหละ คือจุดเปลี่ยน ความรักที่สมหวัง หรือจะพูดอีกอย่างคือ แฟนคนแรก กอดแรก เป็นอะไรที่ เจ็บปวดมากที่สุดแล้ว เท่าที่ผมเคยสัมผัสกับความรักมา ตอนคบกัน ก็มีความสุขดี มีทะเลาะกันบ้าง เราคบกันไม่นานมากนัก แค่ประมาณ 1 ไตรมาสกว่าๆ จากนั้นก้เลิกรา แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาอันสั้น แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยบทเรียนต่างๆ เป็นบทเรียนที่ ตัวผมเองนั้น ต้องเรียนรู้มันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าผมจะเข้าใจ จนกว่าผมจะกลายเป็นคนที่ดีกว่าเดิม ทุกวันนี้ยอมรับเลยว่า คำพูด ภาพวันเก่าๆ ยังฉายอยู่ในหัวผมอยู่เลย แต่ผมก็ไม่ได้ปล่อยตัวเองซึมทั้งวันหรอก อย่างน้อยก็ยังดี ที่พยายามที่จะหาวิธีรับมือในรูปแบบต่างๆ ลองมาหลากหลายวิธี สุดท้ายผมก็ค้นพบว่า สิ่งสำคัญคือ 1.อดทน 2.ใช้เวลา ใช้ทุกวันให้มีความสุข..... ผมไม่ชอบคำพุดที่ว่า "เป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง" ผมไม่เชื่อคำพูดนี้ แต่ผมเชื่อคำพูดที่ว่า "เป็นมนุษย์ต้องเข้มแข็ง" แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่เข้มแข็งขนาดนั้นหรอก แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอนานเกินไป (เป็นคนที่ร้องไห้ยากมากๆ)
สำหรับกระทู้นี้ ผมตั้งมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของผม คุณผู้อ่านมีความคิดเห็นอย่างไร สามารถพิมพ์ไว้ได้ใต้กระทู้นี้ หรือ inbox มา ก็ได้เช่นกัน ขอบคุณที่ใจดีกดเข้ามาอ่านนะครับ ขอบคุณครับ 02.01 น. อา. 23/7/2566