หลังจากได้รับไฟเขียว ผัวตัวดีก็เปิดปฏิบัติการเชิญเมียน้อยเข้าบ้าน โดยหวังว่าเมียหลวงจะทนไม่ไหวออกจากบ้านไปเอง ตัวเองจะได้ไม่โดนด่าหนัก
เป็นคุณ(ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นกองเชียร์เมียน้อย) จะเอาไง ยอมออกจากบ้านดีๆ ไหม หรือจะทน(แบบที่คุณวิโรจน์บอกว่า ต้องหน้าด้านไม่ออกเด็ดขาด)
วิเคราะห์ความเป็นไปได้
กรณีที่ 1 คือยอมออก ได้คะแนนสงสารจากผู้ชมอย่างท่วมท้น และคิดว่าครั้งหน้าจะกลับมาแบบฉันไม่ต้องพึ่งผัวเฮงซวยแล้ว ฉันรวยกว่าเดิมฉันคนเดียวคุมได้ทั้งบ้าน แต่ๆๆ อย่าคิดไปไกลอนาคตอีก 4 ปี อะไรๆ ก็ยังไม่แน่ เพราะผัวตัวดีอาจจะไปรวมหัวกับเมียน้อย รวมหัวกับพวกป้าๆ ยายๆ ออกกติกาหาวิธีสกัดเมียหลวงอีกก็ได้ ทางนี้กองเชียร์เมียหลวงหลายคนเริ่มอ่อนอกอ่อนใจ คิดจะไขก๊อกถอดใจแต่บอกได้เลย ทางเลือกนี้คือกับดัก เพราะทางเลือกนี้กลุ่มแม่ผัว และขั้วอำนาจของบ้านใหญ่ ได้วางแผนไว้แล้วหลังจากรู้ผลการเปิดพินัยกรรมปี66 แล้วพวกตัวเองได้รับแบ่งทรัพย์สมบัติน้อยกว่าที่ควรจะเป็น หน่ำซ้ำทรัพย์สินส่วนใหญ่ดันไปตกกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้า
กรณีที่ 2 คือทน แบบพจมานปี 2566 (เวอร์ชั่นที่คุณวิโรจน์กล่าวไว้) คือ ฉันไม่ไป ฉันจะทน จะให้ฉันออกต้องออกมาไล่ฉัน ให้คนทั่วประเทศได้รับรู้ว่าแกมันชั่วได้ใจขนาดไหน ทำกันฉันแบบนี้ ฉันไม่ยอมไปเด็ดขาด แกไปถามพวกเมียน้อยที่พาเข้ามาดีกว่าว่ายังรับได้ไหม ถ้าเมียหลวงยังอยู่ในบ้าน ทางเลือกนี้อาจจะเสียคะแนนจากผู้ชมไปบ้าง แต่เชื่อเถอะว่าเป็นผลดีกว่ากรณีแรกแยะ เพราะยังไงทนเต็มทีพวกป้าๆ ยายๆ บางส่วนที่ได้รับเลือกให้เข้ามาช่วยจัดการบ้านสมัยพินัยกรรมปี62 มันก็ต้องระเห็จออกจากบ้านไป หมดอำนาจบ่งการใดๆ ถึงตอนนั้นก็จะได้รู้ว่าใครกันที่จะกลับมาคุมบ้านใหญ่ได้ ดังนั้นหลังจากปีหน้า ถ้าตัวเองยังอยู่ในบ้านก็จะเริ่มปฏิบัติการเด็ดหัวเมียน้อยที่ชอบหืออือวางอำนาจ เงื่อนไขแยะก็จะได้รู้กัน
สุดท้ายผู้ชม ละครน้ำเน่ายาวนาน 9 ปี ก็ขออดทนรออีกแค่ปีเดียว เป็น 10 ปี ถือเป็น ทศวรรษที่สูญหายของประเทศ อย่าให้มันยาวนานเป็น 13-14 ปี มันยาวเกินไป แล้วเดี๋ยวจะโดนลากยาวไปอีกเป็น 20 ปี ไม่จบไม่สิ้นกันสักที แล้วก็จะกล่าวถึงพวกที่เรียกร้องให้คนอื่นเสียสละ คนที่พูดแบบนี้มันคือคนเห็นแก่ตัวชัดๆ ถามว่าคนพูดมันเคยเสียสละอะไรไหม และถ้าบังเอิญคุณยอมเสียสละตามคำเรียกร้องนั้น คนที่เรียกร้องอาจจะออกปากชมคุณแค่ครั้งเดียว แต่ในใจนั้นนึกอยู่อย่างเดียวว่า คุณมันชั่งโง่และไร้เดียงสาอะไรเช่นนี้
เมื่อเมียอ่อนอกอ่อนใจกับพฤติกรรมบ้านผัว เลยบอกผัวว่าตามใจเธอแล้วกันจะเอาไง
เป็นคุณ(ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นกองเชียร์เมียน้อย) จะเอาไง ยอมออกจากบ้านดีๆ ไหม หรือจะทน(แบบที่คุณวิโรจน์บอกว่า ต้องหน้าด้านไม่ออกเด็ดขาด)
วิเคราะห์ความเป็นไปได้
กรณีที่ 1 คือยอมออก ได้คะแนนสงสารจากผู้ชมอย่างท่วมท้น และคิดว่าครั้งหน้าจะกลับมาแบบฉันไม่ต้องพึ่งผัวเฮงซวยแล้ว ฉันรวยกว่าเดิมฉันคนเดียวคุมได้ทั้งบ้าน แต่ๆๆ อย่าคิดไปไกลอนาคตอีก 4 ปี อะไรๆ ก็ยังไม่แน่ เพราะผัวตัวดีอาจจะไปรวมหัวกับเมียน้อย รวมหัวกับพวกป้าๆ ยายๆ ออกกติกาหาวิธีสกัดเมียหลวงอีกก็ได้ ทางนี้กองเชียร์เมียหลวงหลายคนเริ่มอ่อนอกอ่อนใจ คิดจะไขก๊อกถอดใจแต่บอกได้เลย ทางเลือกนี้คือกับดัก เพราะทางเลือกนี้กลุ่มแม่ผัว และขั้วอำนาจของบ้านใหญ่ ได้วางแผนไว้แล้วหลังจากรู้ผลการเปิดพินัยกรรมปี66 แล้วพวกตัวเองได้รับแบ่งทรัพย์สมบัติน้อยกว่าที่ควรจะเป็น หน่ำซ้ำทรัพย์สินส่วนใหญ่ดันไปตกกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้า
กรณีที่ 2 คือทน แบบพจมานปี 2566 (เวอร์ชั่นที่คุณวิโรจน์กล่าวไว้) คือ ฉันไม่ไป ฉันจะทน จะให้ฉันออกต้องออกมาไล่ฉัน ให้คนทั่วประเทศได้รับรู้ว่าแกมันชั่วได้ใจขนาดไหน ทำกันฉันแบบนี้ ฉันไม่ยอมไปเด็ดขาด แกไปถามพวกเมียน้อยที่พาเข้ามาดีกว่าว่ายังรับได้ไหม ถ้าเมียหลวงยังอยู่ในบ้าน ทางเลือกนี้อาจจะเสียคะแนนจากผู้ชมไปบ้าง แต่เชื่อเถอะว่าเป็นผลดีกว่ากรณีแรกแยะ เพราะยังไงทนเต็มทีพวกป้าๆ ยายๆ บางส่วนที่ได้รับเลือกให้เข้ามาช่วยจัดการบ้านสมัยพินัยกรรมปี62 มันก็ต้องระเห็จออกจากบ้านไป หมดอำนาจบ่งการใดๆ ถึงตอนนั้นก็จะได้รู้ว่าใครกันที่จะกลับมาคุมบ้านใหญ่ได้ ดังนั้นหลังจากปีหน้า ถ้าตัวเองยังอยู่ในบ้านก็จะเริ่มปฏิบัติการเด็ดหัวเมียน้อยที่ชอบหืออือวางอำนาจ เงื่อนไขแยะก็จะได้รู้กัน
สุดท้ายผู้ชม ละครน้ำเน่ายาวนาน 9 ปี ก็ขออดทนรออีกแค่ปีเดียว เป็น 10 ปี ถือเป็น ทศวรรษที่สูญหายของประเทศ อย่าให้มันยาวนานเป็น 13-14 ปี มันยาวเกินไป แล้วเดี๋ยวจะโดนลากยาวไปอีกเป็น 20 ปี ไม่จบไม่สิ้นกันสักที แล้วก็จะกล่าวถึงพวกที่เรียกร้องให้คนอื่นเสียสละ คนที่พูดแบบนี้มันคือคนเห็นแก่ตัวชัดๆ ถามว่าคนพูดมันเคยเสียสละอะไรไหม และถ้าบังเอิญคุณยอมเสียสละตามคำเรียกร้องนั้น คนที่เรียกร้องอาจจะออกปากชมคุณแค่ครั้งเดียว แต่ในใจนั้นนึกอยู่อย่างเดียวว่า คุณมันชั่งโง่และไร้เดียงสาอะไรเช่นนี้