เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 66 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ศาลอาญาได้นัดฟังคำพิพากษาคดีของ “นายประวิตร” อายุ 20 ปี พนักงานขนสินค้าในโรงงานน้ำมันแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ ในคดีเผาป้อมจราจรใต้ทางด่วนดินแดง หลังยุติม็อบ10สิงหา64
โดยศาลพิพากษาว่า จำเลยมีเจตนาวางเพลิงเผาป้อมจราจร ซึ่งไม่ใช่สาธารณสถานแต่อย่างใด แต่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยจึงมีความผิดในฐาน “ร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ ในป้อมจราจรที่ถูกเผาไหม้เสียหายไปด้วยนั้น ถือว่าจำเลยมีเจตนาเผาทรัพย์สินของผู้อื่นในคราวเดียวกัน ดังนั้นจำเลยจะต้องชดใช้สินไหมทดแทนตามการกระทำของตนเอง รวมทั้งสิ้น 428,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปีของเงินต้น นับตั้งแต่เกิดเหตุไปจนถึงวันที่อัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาล คิดเป็นดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น 5,460.25 บาท รวมเป็นค่าสินไหมที่จำเลยต้องชดใช้แก่ผู้ร้องทั้งสิ้น 434,060.25 บาท
และศาลเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องทุกข้อหา เป็นความผิดหลายกรรมต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงไป แต่ขณะเกิดเหตุจำเลยมีอายุ 19 ปีเศษ จึงสมควรให้ลดอัตราส่วนโทษ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76
ความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้จำคุก 8 เดือน ส่วนข้อหาอื่นๆ ที่เหลือให้ลงโทษในข้อหาร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งเป็นบทลงโทษที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว โดยให้จำคุก 12 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นเหตุให้บรรเทาโทษกระทงละกึ่งหนึ่ง ความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คงจำคุก 4 เดือน ส่วนฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนฯ คงจำคุก 6 ปี รวมโทษจำคุกทั้งสิ้น 6 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงการลงโทษ
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น ทนายได้ยื่นประกันในชั้นอุทธรณ์ โดยศาลอาญามีคำสั่งให้ส่งคำร้องขอประกันให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาสั่ง ประวิตรจึงถูกควบคุมตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อรอฟังคำสั่ง ซึ่งคาดว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งภายใน 2-3 วันนี้
https://www.topnews.co.th/news/749620
ไม่รอด จำคุก 3 นิ้ว 6 ปี ไม่รออาญา เผาป้อมตำรวจดินแดง พร้อมต้องจ่ายชดใช้
โดยศาลพิพากษาว่า จำเลยมีเจตนาวางเพลิงเผาป้อมจราจร ซึ่งไม่ใช่สาธารณสถานแต่อย่างใด แต่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยจึงมีความผิดในฐาน “ร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ ในป้อมจราจรที่ถูกเผาไหม้เสียหายไปด้วยนั้น ถือว่าจำเลยมีเจตนาเผาทรัพย์สินของผู้อื่นในคราวเดียวกัน ดังนั้นจำเลยจะต้องชดใช้สินไหมทดแทนตามการกระทำของตนเอง รวมทั้งสิ้น 428,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปีของเงินต้น นับตั้งแต่เกิดเหตุไปจนถึงวันที่อัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาล คิดเป็นดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น 5,460.25 บาท รวมเป็นค่าสินไหมที่จำเลยต้องชดใช้แก่ผู้ร้องทั้งสิ้น 434,060.25 บาท
และศาลเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องทุกข้อหา เป็นความผิดหลายกรรมต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงไป แต่ขณะเกิดเหตุจำเลยมีอายุ 19 ปีเศษ จึงสมควรให้ลดอัตราส่วนโทษ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76
ความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้จำคุก 8 เดือน ส่วนข้อหาอื่นๆ ที่เหลือให้ลงโทษในข้อหาร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งเป็นบทลงโทษที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว โดยให้จำคุก 12 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นเหตุให้บรรเทาโทษกระทงละกึ่งหนึ่ง ความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คงจำคุก 4 เดือน ส่วนฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนฯ คงจำคุก 6 ปี รวมโทษจำคุกทั้งสิ้น 6 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงการลงโทษ
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น ทนายได้ยื่นประกันในชั้นอุทธรณ์ โดยศาลอาญามีคำสั่งให้ส่งคำร้องขอประกันให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาสั่ง ประวิตรจึงถูกควบคุมตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อรอฟังคำสั่ง ซึ่งคาดว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งภายใน 2-3 วันนี้
https://www.topnews.co.th/news/749620