เรามีน้าที่เป็นผู้หญิงโสด ไม่มีครอบครัว ญาติก็น่าจะเหลือแค่เรา ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใคร ไม่มีเพื่อน ตอนนี้อายุ 70กว่า เรารู้สึกว่าเขาคาดหวังการพึ่งพาจากเรา
เกริ่นก่อนว่า น้าไม่เคยsupportดูแลอะไรเราเลย พ่อแม่เราเสียตอนเรา20นิดๆ ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย น้าไม่เคยsupportดูแลอะไรเรา
แต่เรามีมรดกเป็นทรัพย์สินพวกที่ดินและเงินก้อนนึง
น้าคงคิดว่าเราไม่ลำบากอะไรจึงไม่ได้supportดูแลอะไร ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ ไม่เคยโทรมาถามไถ่ชีวิตว่าเป็นไงบ้าง ไม่เคยแวะมาหาเลยสักครั้ง (มหาลัยเรากับบ้านน้าตอนนั้นอยู่ไม่ไกลกัน)
แต่สิ่งที่แกช่วยคือตอนพ่อแม่เราตาย และเรายังต้องอยู่หอพักนักศึกษา แกเอาสุนัขของแม่ไปเลี้ยงให้ประมาณ3ปี หลังจากนั้นพอพี่ชายเราตั้งตัวได้ก็ไปรับกลับมาเลี้ยงเอง
พอเราเรียนจบ ก็ย้ายบ้านมาอยู่กับพี่ชาย น้าก็เอายายย้ายมาอยู่บ้านพี่ ส่วนตัวเองไปอยู่บ้านอีกหลังนึง พี่เคยขอให้น้ามาอยู่บ้านเดียวกันเพื่อดูแลยายแล้ว แต่น้าปฏิเสธ (เขาเป็นคนชอบอยู่คนเดียว ก่อนแม่เราจะเสีย ยายอยู่กับแม่เราค่ะ ยายไปอยู่กับน้าชั่วคราวหลังแม่เสีย)
น้าไม่เคยให้เงินยาย เราและพี่เป็นฝ่ายดูแลยายเป็นหลัก คือเหมือนเขามองว่าเออเราและพี่ได้มรดกมาแล้ว (มรดกมาจากฝั่งพ่อ
)ก็ควรส่งเสียเลี้ยงดูยาย ซึ่งเราไม่ติดใจอะไร
เนื่องจากเขาเป็นข้าราชการบำนาญ เวลายายหาหมอ จึงจะแจ้งให้เขามาดูแลตรงนี้ ในเรื่องสิทธิเบิก เขาก็จะมาดูแลพายายไปหาหมอเท่านั้น ไม่เคยค้างที่กับยายที่บ้านเลยสักวัน เราเป็นคนจัดยา ดูแลสารทุกข์สุกดิบยายเป็นหลัก
จนมีช่วงที่ยายเริ่มเดินไปตลาดไม่ไหว ถ้าเราไม่อยู่ ยายก็จะขอให้น้าไปซื้อกับข้าวมาให้หน่อย
แต่ใช้เงินยายที่เราให้เป็นเงินเดือน ไม่ได้ใช้เงินตัวเอง ยายต้องให้เงินไปซื้อ
จริงๆเมื่อก่อนเราก็คิดว่าน้าเป็น1ในครอบครัวนะ คิดว่ายินดีดูแลจนสุดทางหากเขาเป็นอะไร
จนยายเริ่มแก่ลง เริ่มป่วย เริ่มมีภาวะพึ่งพา ช่วงนึงยายป่วยแต่เราต้องเข้ากทม.ไปทำงาน จึงไลน์บอกน้าว่าพอจะมานอนที่บ้าน7วันได้ไหม แต่ไลน์ไปอ่านแต่ไม่ตอบ โทรหาก็ไม่รับ และไม่โทรกลับ
เราก็เลยคิดว่าการเงียบคงเป็นคำตอบแล้วหล่ะ เราจึงต้องพายายไปฝากที่สถานดูแลคนชรารายเดือนของเอกชน7วัน เราจ่ายค่าใช้จ่ายตรงนี้เอง เป็นหลักหมื่น
และมีเคสยายป่วยหนักต้องไปรพ. วันนั้นเรารับน้าไปรพ.ด้วยกัน(บ้านอยู่อำเภอเดียวกัน) พอไปถึงหมอแจ้งว่าอาจต้องนอนค้าง น้าก็บอกให้เราเฝ้านะและตัวเองกลับบ้านทันที เราก็อึ้งๆเหมือนกัน
ที่เขาไม่สนใจแม่ตัวเองขนาดนี้ และไม่สนใจถามเราเลยว่าเราสะดวกไหม คืออีกวันเราต้องเข้ากทม.ไปทำงาน สรุปเราต้องแคนเซินงานเรา เราเป็นฟรีแลนซ์ ถ้าไม่ทำงานคือไม่มีรายได้
จนมาถึงช่วงโควิท ที่เราต้องทำงานกทม ที่จำกัดการเดินทาง กลับบ้านไม่ได้ แต่ยายยังพอช่วยเหลือตัวเองได้ สิ่งที่คาดหวังจากเขาคือให้คอยมาซื้อข้าวซื้ออาหารให้ยายบ้าง คือยายอายุ92อะค่ะ แต่เขามาบ้าง ไม่มาบ้าง บางทีหายไปเป็นอาทิตย์
จนวันนึงเกิดไม่พอใจคำพูดอะไรของคนที่บ้านก็ไม่รู้ อยู่ดีๆก็ไม่มาเลยครึ่งปี คือทิ้งแม่ตัวเองที่อายุ92ให้ดูแลตัวเอง และช่วงโควิทการเงินเราก็สาหัสเหมือนกัน ไม่ได้มีรายได้พอจะจ้างคนมาดูแลคนแก่ช่วงที่เราต้องอยู่กทม
จนสุดท้ายไม่มีทางเลือกเพราะเราทำงานกทม วัคซีนก็ยังไม่ได้ กลับบ้านไปก็ต้องห่างคนแก่เพราะต้องกักตัว ยายจึงจำเป็นย้ายไปอยู่กับน้าเมื่อตนเองต้องเข้าสู่ภาวะพึ่งพา (ยายช่วยเหลือตัวเองเข้าห้องน้ำได้ แต่เดินไปตลาดไม่ไหว และเรื่องการต้องไปหาหมอในช่วงที่เราไม่อยู่) น้าก็ไม่ได้ชวนยายไปหรอก แต่ยายย้ายไปเอง
ยายอยู่กับน้าได้1ปีก็เสีย และตอนงานศพน้าไม่ออกค่าใช้จ่ายอะไรเลย
เรากับพี่เป็นคนออกค่าใช้จ่าย และเวลามีคนให้ซอง ตัวเองก็รับแต่ไม่ได้เอามาให้ และไม่เคยมาถามเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรกับเราเลยว่าเท่าไหร่ คือถ้าตนเองมีหรือไม่มีก็ควรมาปรึกษากันบ้าง
เหมือนเขาผลักภาระทางการเงินทั้งหมดมาที่เรา
แต่เวลาเขาเดือดร้อน เขาจะมาหาเรา มีครั้งนึงเขาล้มแขนหัก เขาจะไปที่รพ.เลยก็ได้ แต่เขาเลือกเดินทางมานั่งเฉยๆที่บ้านเรา บอกว่าล้มแขนหัก เป็นเราที่พาไปร.พ. ซึ่งเราก็ยินดีนะ (เป็นตอนที่ยายยังอยู่ ก่อนที่เขาจะทิ้งไม่มาหายาย)
ตอนนี้เขาเริ่มล้มป่วย เป็นมะเร็ง และเริ่มเข้าสู่ภาวะที่ต้องพึ่งพาคนอื่น เขาก็มาหาเรา ก็เป็นเราที่พาเขาไปหาหมออีกอำเภอ เป็นญาติคนเดียวที่ต้องบริจาคเลือดให้เขาเพื่อผ่าตัด
บ้านที่เราอยู่เป็นบ้านพี่ชาย ซึ่งพี่ชายก็ตัดขาดน้าไปแล้วเรื่องน้าทอดทิ้งยายและพฤติกรรมของเขาเรื่องอื่น พี่ประกาศชัดเจนว่าเขาจะไม่ยุ่งกับน้า เป็นกรรมของน้าที่ทำตัวเองจนเขาไม่อยากยุ่งด้วย
ทีนี้เวลาน้าต้องการความช่วยเหลือเขาก็จะติดต่อหาเรา เพราะเราเป็นคนใจอ่อน
แต่เราก็กังวลซึ่งศักยภาพทางการเงินของเราก็ไม่ได้มั่นคงอะไรนักเพราะทำงานอิสระ อย่างตอนดูแลยายยังมีพี่ชายช่วยsupportคนละครึ่ง
ทีนี้เราอาจจะคิดนำหน้าไปหน่อยว่าหากเขาล้มหมอนนอนเสื่อ เราควรช่วยในระดับไหนดี
แต่เราคงไม่สามารถทิ้งชีวิตตัวเองเพื่อทุ่มเทให้เขาได้ เช่นลาออกจากงานมาดูแล อะไรแบบนี้
แต่ก็รู้สึกสับสนด้วย ใจนึงก็เห็นใจ ใจนึงก็รู้สึกว่าเขาก็ไม่ได้ทำดีกับเรา
เป็นคนอื่นจะวางตัวในเรื่องนี้ยังไงดีคะ
อยากปรึกษาค่ะ ญาติที่ไม่เคยดูแลเรา คาดหวังพึ่งพาเราในบั้นปลาย ควรมีขอบเขตแต่ไหนคะ
เกริ่นก่อนว่า น้าไม่เคยsupportดูแลอะไรเราเลย พ่อแม่เราเสียตอนเรา20นิดๆ ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย น้าไม่เคยsupportดูแลอะไรเรา
แต่เรามีมรดกเป็นทรัพย์สินพวกที่ดินและเงินก้อนนึง
น้าคงคิดว่าเราไม่ลำบากอะไรจึงไม่ได้supportดูแลอะไร ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ ไม่เคยโทรมาถามไถ่ชีวิตว่าเป็นไงบ้าง ไม่เคยแวะมาหาเลยสักครั้ง (มหาลัยเรากับบ้านน้าตอนนั้นอยู่ไม่ไกลกัน)
แต่สิ่งที่แกช่วยคือตอนพ่อแม่เราตาย และเรายังต้องอยู่หอพักนักศึกษา แกเอาสุนัขของแม่ไปเลี้ยงให้ประมาณ3ปี หลังจากนั้นพอพี่ชายเราตั้งตัวได้ก็ไปรับกลับมาเลี้ยงเอง
พอเราเรียนจบ ก็ย้ายบ้านมาอยู่กับพี่ชาย น้าก็เอายายย้ายมาอยู่บ้านพี่ ส่วนตัวเองไปอยู่บ้านอีกหลังนึง พี่เคยขอให้น้ามาอยู่บ้านเดียวกันเพื่อดูแลยายแล้ว แต่น้าปฏิเสธ (เขาเป็นคนชอบอยู่คนเดียว ก่อนแม่เราจะเสีย ยายอยู่กับแม่เราค่ะ ยายไปอยู่กับน้าชั่วคราวหลังแม่เสีย)
น้าไม่เคยให้เงินยาย เราและพี่เป็นฝ่ายดูแลยายเป็นหลัก คือเหมือนเขามองว่าเออเราและพี่ได้มรดกมาแล้ว (มรดกมาจากฝั่งพ่อ
)ก็ควรส่งเสียเลี้ยงดูยาย ซึ่งเราไม่ติดใจอะไร
เนื่องจากเขาเป็นข้าราชการบำนาญ เวลายายหาหมอ จึงจะแจ้งให้เขามาดูแลตรงนี้ ในเรื่องสิทธิเบิก เขาก็จะมาดูแลพายายไปหาหมอเท่านั้น ไม่เคยค้างที่กับยายที่บ้านเลยสักวัน เราเป็นคนจัดยา ดูแลสารทุกข์สุกดิบยายเป็นหลัก
จนมีช่วงที่ยายเริ่มเดินไปตลาดไม่ไหว ถ้าเราไม่อยู่ ยายก็จะขอให้น้าไปซื้อกับข้าวมาให้หน่อย
แต่ใช้เงินยายที่เราให้เป็นเงินเดือน ไม่ได้ใช้เงินตัวเอง ยายต้องให้เงินไปซื้อ
จริงๆเมื่อก่อนเราก็คิดว่าน้าเป็น1ในครอบครัวนะ คิดว่ายินดีดูแลจนสุดทางหากเขาเป็นอะไร
จนยายเริ่มแก่ลง เริ่มป่วย เริ่มมีภาวะพึ่งพา ช่วงนึงยายป่วยแต่เราต้องเข้ากทม.ไปทำงาน จึงไลน์บอกน้าว่าพอจะมานอนที่บ้าน7วันได้ไหม แต่ไลน์ไปอ่านแต่ไม่ตอบ โทรหาก็ไม่รับ และไม่โทรกลับ
เราก็เลยคิดว่าการเงียบคงเป็นคำตอบแล้วหล่ะ เราจึงต้องพายายไปฝากที่สถานดูแลคนชรารายเดือนของเอกชน7วัน เราจ่ายค่าใช้จ่ายตรงนี้เอง เป็นหลักหมื่น
และมีเคสยายป่วยหนักต้องไปรพ. วันนั้นเรารับน้าไปรพ.ด้วยกัน(บ้านอยู่อำเภอเดียวกัน) พอไปถึงหมอแจ้งว่าอาจต้องนอนค้าง น้าก็บอกให้เราเฝ้านะและตัวเองกลับบ้านทันที เราก็อึ้งๆเหมือนกัน
ที่เขาไม่สนใจแม่ตัวเองขนาดนี้ และไม่สนใจถามเราเลยว่าเราสะดวกไหม คืออีกวันเราต้องเข้ากทม.ไปทำงาน สรุปเราต้องแคนเซินงานเรา เราเป็นฟรีแลนซ์ ถ้าไม่ทำงานคือไม่มีรายได้
จนมาถึงช่วงโควิท ที่เราต้องทำงานกทม ที่จำกัดการเดินทาง กลับบ้านไม่ได้ แต่ยายยังพอช่วยเหลือตัวเองได้ สิ่งที่คาดหวังจากเขาคือให้คอยมาซื้อข้าวซื้ออาหารให้ยายบ้าง คือยายอายุ92อะค่ะ แต่เขามาบ้าง ไม่มาบ้าง บางทีหายไปเป็นอาทิตย์
จนวันนึงเกิดไม่พอใจคำพูดอะไรของคนที่บ้านก็ไม่รู้ อยู่ดีๆก็ไม่มาเลยครึ่งปี คือทิ้งแม่ตัวเองที่อายุ92ให้ดูแลตัวเอง และช่วงโควิทการเงินเราก็สาหัสเหมือนกัน ไม่ได้มีรายได้พอจะจ้างคนมาดูแลคนแก่ช่วงที่เราต้องอยู่กทม
จนสุดท้ายไม่มีทางเลือกเพราะเราทำงานกทม วัคซีนก็ยังไม่ได้ กลับบ้านไปก็ต้องห่างคนแก่เพราะต้องกักตัว ยายจึงจำเป็นย้ายไปอยู่กับน้าเมื่อตนเองต้องเข้าสู่ภาวะพึ่งพา (ยายช่วยเหลือตัวเองเข้าห้องน้ำได้ แต่เดินไปตลาดไม่ไหว และเรื่องการต้องไปหาหมอในช่วงที่เราไม่อยู่) น้าก็ไม่ได้ชวนยายไปหรอก แต่ยายย้ายไปเอง
ยายอยู่กับน้าได้1ปีก็เสีย และตอนงานศพน้าไม่ออกค่าใช้จ่ายอะไรเลย
เรากับพี่เป็นคนออกค่าใช้จ่าย และเวลามีคนให้ซอง ตัวเองก็รับแต่ไม่ได้เอามาให้ และไม่เคยมาถามเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรกับเราเลยว่าเท่าไหร่ คือถ้าตนเองมีหรือไม่มีก็ควรมาปรึกษากันบ้าง
เหมือนเขาผลักภาระทางการเงินทั้งหมดมาที่เรา
แต่เวลาเขาเดือดร้อน เขาจะมาหาเรา มีครั้งนึงเขาล้มแขนหัก เขาจะไปที่รพ.เลยก็ได้ แต่เขาเลือกเดินทางมานั่งเฉยๆที่บ้านเรา บอกว่าล้มแขนหัก เป็นเราที่พาไปร.พ. ซึ่งเราก็ยินดีนะ (เป็นตอนที่ยายยังอยู่ ก่อนที่เขาจะทิ้งไม่มาหายาย)
ตอนนี้เขาเริ่มล้มป่วย เป็นมะเร็ง และเริ่มเข้าสู่ภาวะที่ต้องพึ่งพาคนอื่น เขาก็มาหาเรา ก็เป็นเราที่พาเขาไปหาหมออีกอำเภอ เป็นญาติคนเดียวที่ต้องบริจาคเลือดให้เขาเพื่อผ่าตัด
บ้านที่เราอยู่เป็นบ้านพี่ชาย ซึ่งพี่ชายก็ตัดขาดน้าไปแล้วเรื่องน้าทอดทิ้งยายและพฤติกรรมของเขาเรื่องอื่น พี่ประกาศชัดเจนว่าเขาจะไม่ยุ่งกับน้า เป็นกรรมของน้าที่ทำตัวเองจนเขาไม่อยากยุ่งด้วย
ทีนี้เวลาน้าต้องการความช่วยเหลือเขาก็จะติดต่อหาเรา เพราะเราเป็นคนใจอ่อน
แต่เราก็กังวลซึ่งศักยภาพทางการเงินของเราก็ไม่ได้มั่นคงอะไรนักเพราะทำงานอิสระ อย่างตอนดูแลยายยังมีพี่ชายช่วยsupportคนละครึ่ง
ทีนี้เราอาจจะคิดนำหน้าไปหน่อยว่าหากเขาล้มหมอนนอนเสื่อ เราควรช่วยในระดับไหนดี
แต่เราคงไม่สามารถทิ้งชีวิตตัวเองเพื่อทุ่มเทให้เขาได้ เช่นลาออกจากงานมาดูแล อะไรแบบนี้
แต่ก็รู้สึกสับสนด้วย ใจนึงก็เห็นใจ ใจนึงก็รู้สึกว่าเขาก็ไม่ได้ทำดีกับเรา
เป็นคนอื่นจะวางตัวในเรื่องนี้ยังไงดีคะ