ตอนนั้นผมอยู่ ป.4 ปลายเทอม กำลังจะขึ้น ป.5
ได้เงินไปโรงเรียนวันละบาท
แม่ผมทำขนมหาบขายในหมู่บ้าน
ยายกับน้าๆทำกับข้าวไปขายตลาดตั้งแต่เช้ามืด
ถึงช่วงน้ำขอด ก็พากันไปหาลูกอ๊อดมาขายบ้าง
ช่วงน้ำหลาก ก็ได้ปลาหลดมาขาย
ช่วงหน้าฝนก็ได้กบมาขาย
หน้าแล้งก็จะได้พวกแมลงมาขาย
เป็นแม่ค้าที่ขายของกินแล้วแต่ฤดูกาล
ไม่ได้ขายอะไรเฉพาะเจาะจง
ตอนนั้นผมยังเด็ก วันๆก็เอาแต่เล่นซนไปตามประสาเด็ก
วันหนึ่งช่วงพักเที่ยง เพื่อนมันพากันไปปั่นจิ้งหรีดให้กัดกัน อยู่ตรงหลังโรงเรียน
กลุ่มเด็กที่ไปมุงดูอยุ่ตรงนั้นจึงเป็น กลุ่มย่อมๆ ขนาดสักเจ็ดแปดคนได้
รวมทั้งผมด้วย
พอเห็นเพื่อนมันเริ่มมีการแข่งติดปลายนวมกัน
ยกต่อไป กลุ่มที่มุงอยู่ก็แบ่งเป็นสองฝ่าย
ต่างคนต่างลงขันเชียร์ฝ่ายที่ตัวเองคิดว่าจะชนะ
ไม่นานเสียงเชียร์ก็ดังขึ้น ราวกับเสียงเชียร์มวย
เที่ยงนั้น ผมมีรายได้เพิ่มมาโดยโชคช่วย
รวมกับที่แม่ให้ ในกระเป๋าผมก็มีเงินถึง3บาทแล้ว
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการหารายได้ของผมในช่วงวัยเยาว์
ตื่นเช้ามา ผมไปโรงเรียนแต่เช้า
ก็เจอพวกกลุ่มที่มันปั่นจิ้งหรีด
พากันไปจับจิ้งหรีด ตามซอกมุมต่างๆของรั้วโรงเรียน
คงจะเตรียมพร้อมกับศึกสังเวียนเดือดในเที่ยงวันเป็นแน่แท้
ผมก็เลยไปสมทบกับพวกมัน แล้วก็ช่วยกันหาจิ้งหรีดอย่างขมีขมัน
หลังจากขึ้นเรียน แล้วถึงช่วงพักเที่ยง
เราก็นัดกันไปหลังโรงเรียน เหมือนเดิม
แต่ครั้งนี้ ผมหมดตูด ไม่เหมือนเมื่อวาน
เจ้าตี๋ลักษณ์ ลูกชาย เสี่ย เพ็ง เจ้าของร้านขายเหล้าประจำหมู่บ้าน
จัดว่าเจ้าตี๋ลักษณ์ มันก็ฐานะดีสุดในรุ่นเลยทีเดียว
ออกปากชวนผม หลังจากเสียเดิมพันไปด้วยเงินก้อนใหญ่ถึง 5 บาท
พรุ้งนี้ ไม่ต้องไปจับจิ้งหรีดแล้ว ไปซื้อที่ตลาดเช้าเลย
ผมได้แต่ยืนนิ่ง ดูสีหน้ามันจริงจังมาก
เช้าวันต่อมา ผม ตี๋ลักษณ์ กับ ก๊วนเพื่อนๆ สาม สี่ คน ก็นัดมาเจอกันที่ตลาด
แล้วก็ไปหาซื้อจิ้งหรีดที่ตลาดสดตอนเช้ากัน
แหละนี่เองที่ทำให้ผมรู้ว่า จิ้งหรีดมันมีราคาดีมาก
ถ้าเราจับมาขายให้แม่ค้าได้ ก็จะทำให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นทีเดียว
พอไปถึงโรงเรียน ผมก็เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อน สนิทคนหนึ่ง
มันชื่อไอ้แหว่ง เพราะริมฝึปากตรงด้านบนใกล้ผิสบ มันจะแหว่งๆ เป็นเหมือนรอยแผลเป็น
ทำให้เวลามันพูด มันจะพูดไม่ค่อยชัด
ผมก็พูดกับมันประมาณว่า พอจะรู้ไหมว่าที่ไหนที่เราจะไปจับจิ้งหรีดได้เยอะๆ
ข้าจะเอาไปขาย ให้กับแม่ค้าในตลาด ราคาดีมาก
ถ้าเอ็งกับข้าไปจับมาได้ เงินเราก็จะหารสอง ดีไหมวะเพื่อน
ไอ้แหว่งก็ตอบผม แบบเสียงใสมาเลย
ดะ ดะ ดี เพี้ยน
ดะ ดะ เดี๋ยวข้า จะจะไป ถะ ถาม น้าให้
คือเจ้าแหว่งมัน ติดอ่างนิดๆอะครับ
สรุปผมกับไอ้แหว่ง ก็นัดเจอกัน หลังเลิกเรียน ที่บ้านมัน
หลังจากที่ผมกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านตัวเองแล้ว
ได้คุถังอันหนึ่งกับสวิงหาปลาของพี่ชาย ผมก็รีบตรงดิ่งไปหาเจ้าแหว่งที่บ้านมันทันที
พอไปถึงบ้านเพื่อน มันก็เตรียมพร้อมรอผมอยู่แล้ว
เพื่อนก็บอกผมว่า ถ้าจะหาจิ้งหรีดให้ได้เยอะๆต้องไปแถวโรงตัดไม้
แถวนั้นมีขี้เลี่อยเยอะ น่าจะมีแมงไปกินขี้เลื่อยเยอะรวมทั้งจิ้งหรีดด้วย
พอรู้เป้าหมาย
ผมกับไอ้แหว่งสองคน ก็ปั่นจักรยานมุ่งหน้าไปที่โรงตัดไม้ทันที
พอถึง ตอนนั้นก็เย็นมากแล้ว
บรรยากาศของโรงไม้ มันจะเหมือนเพิงหมาแหงน
แต่มีขนาดใหญ่ และเสาสูงๆ ไม่มีกำแพงกั้น
ข้างในก็จะมี ไม้กองๆเต็มไปหมด บางจุดที่เขาไสไม้ ก็จะมีขี้เลื่อยเต็มไปหมด
เราไม่ได้เข้าไปในเขตพื้นที่ของเขา
แต่เดินดูไปตามขอบรั้วด้านนอก ที่มีต้นกระถินขึ้นแซมอยู่ตามรั้วลวดหนาม
เดินผ่านตรงไหนมีไม้กระดานเล็กๆวางอยู่ที่พื้น เพื่อนมันก็จะไปเปิดดู
บางทีก็จะมีจิ้งหรีดหลบอยู่
เราเดินวนหาอยู่แถวนั้น นานเหมือนกัน
แต่ก็ได้มาไม่กี่ตัวเอง
จนบรรยากาศเริ่มแสงหมด
ผมก็เริ่มบ่นขึ้นมา
ไม่เห็นมีเยอะ อย่างที่น้าเอ็งบอกเลย
สงสัยจะไม่ได้เรื่อง
เจ้าแหว่งมันก็มองโลกในแง่ดี ก็บอกผมว่า
เดินไปดูข้างในอีกดีไหม เผื่อ มันจะอยู่ทางโน้นกัน
ผมมองไป ตรงนั้นมันเป็นป่าด้านหลังของโรงไม้แล้วครับ
มีป่าค่อนข้างหนาตา
ผมก็เลยพากันเดินเข้าไปดู
ปรากฏว่า พ้นป่าตรงนั้นไปนิดเดียว
มันก็ติดกับกำแพงวัด
พอเดินไปดูใกล้ๆ มันเป็นกำแพงด้านข้าง ของวัด
เราก็เลยเดินเรียบไปตามกำแพงวัด
เดินอ้อมไปเรื่อยๆ แล้วก็หาจิ้งหรีดไปด้วย
จนเริ่มมืด เพื่อนมันก็เอาไฟฉายออกมาส่องไปตามทางที่เราจะเดิน
เดินไปไม่นาน
คราวนี้ มันก็ไปโผล่ที่หลังวัด
จะมีกำแพงสูงแล้วก็มีประตูเข้าวัด
ด้านหลังตรงนี้ก็จะเป็นต้นไม้ใหญ่สูงๆ เยอะมาก
แต่เราเข้าไปไม่ได้
มันต้องลอดรั้วลวดหนามเข้าไป
ผมกับเพื่อนทำท่าจะกลับแล้ว
แต่ไอ้แหว่งมันก็ฉายไฟฉายไปที่กำแพงวัดด้านใน
เฮ้ยดูดิ
แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยครับ
ตอนนั้น
ที่ผมเห็นคือ จิ้งหรีดเป็นร้อยๆ เกาะอยู่กับกำแพงวัด จนกำแพงดำพืดไปหมด
ผมกับไอ้แหว่งดีใจมาก
เฮ้ย รวยแล้วเรา
แล้วก็พากันลอดลวดหนามเข้าไปในเขตหลังวัดจนได้
พอเข้าไปถึงเราก็รีบไปจับจิ้งหรีดกัน
มันเยอะมาก
จับใส่ถุงพลาสติกมัดปากถุงไว้แล้วก็ทิ้งไว้ในคุถัง
ยิ่งเดินเข้าไปตามต้นไม้ใหญ่ๆ มันก็เกาะกันที่ต้นไม้ใหญ่ๆเต็มเลย
ผมกับไอ้แหว่งต่างก็สนุกสนานในการจับมาก
จนเผลอตัวหลงเข้าไปในป่าลึกเข้า ลึกเข้า
สุดท้ายมาเจอกับลานโล่ง
ผมหยุดชะงัก พยายามสำรวจไปรอบๆ
แล้วผมก็เห็นอะไรบางอย่าง ที่ตั้งโด่อยู่ตรงพื้นดิน เป็นแท่งดำๆ ลักษณะเหมือนไม้กางเขน ปักอยู่กับพื้น เต็มพื้นที่ไปหมด
ขนหัวผมลุกตั้ง
เห้ย ไอ้แหว่ง ดูดิ
เจ้าแหว่ง ฉายไฟไปรอบๆ แล้วมันก็อุทานขึ้น
ปะ ปะ ป่าช้า
สิ้นเสียงไอ้แหว่ง
ปานนัดหมาย
ผมกับไอ้แหว่งรีบถอยกรูด ออกไปตามทางเดิม
รีบเดินอย่างไว ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
จากที่เดินไวๆกันอยู่ดีๆ มันก็ดันพาผมวิ่งเลยทีนี้
ผมก็วิ่งไปถือคุถังวิ่งตาม
อย่างเหนื่อย
จนออกมาจากในป่าได้
ก็มาหยุดพักอยู่ใกล้ๆกับกำแพงหลังวัด
ใกล้ๆประตูวัด
ผมกับไอ้แหว่งทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นหญ้า อย่างไม่ได้นัดหมาย
พร้อมกับเสียงหายใจหอบ แรงๆ ฟืดฟาดแข่งกัน
เอ็งจะพาข้าวิ่งทำไมวะ
ผมถามไอ้แหว่งพลาง หายใจหอบไปพลาง
ไอ้แหว่งมันก็โทษผมอีกว่า ผมพามันวิ่งก่อน
มันเห็นผมวิ่ง มันก็เลยวิ่ง
อ้าว ไหงมาโทษกันแบบนี้
ผมนั่งหันหลังไปทางกำแพงวัด
เหยีดขาตรงไปทางป่าช้า
ไอ้แหว่ง มันก็นั่งตรงข้ามกับผม หันหน้าไปทางกำแพงวัด
ผมได้ยินเสียงมันหายใจแรง เฮือกใหญ่ แล้วก็เงียบลง
เลยทำให้ผมต้องรีบหันไปดูหน้ามันทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
พอมองไปที่หน้ามัน ก็เห็นมันอ้าปากค้าง ตาเหลือกโต
พร้อมกับพูดออกมา
ผะ ผะ ผะ
ผมตกใจมาก ที่เห็นอาการตัวเกร็งของมัน
ไม่ทันที่ไอ้แหว่งจะพูดจบผมก็ สวนคำพูดของมันขึ้นทันที
ผะผะผีหรือวะ
พูดจบก็รีบลุกกระโจนไปข้างหน้าอย่างไว
ตั้งท่าจะวิ่งสุดกำลัง
แต่ไอ้แหว่งมันดึงมือผมไว้แน่น แล้วก็พูดออกมาด้วยเสียงอันดัง
ผะ ผะ พระ
พอผมได้ยินเท่านั้นแหละ
หันหลังกลับไปดู
อ้าว เป็นพระยืนถือตะเกียง อยู่ตรงประตูรั้ววัด
โธ่เอ้ย ไอ้แหว่ง แกทำไมไม่พูดให้เร็วๆกว่านี้วะ
พอมองไปเห็นเป็นหลวงพี่ยืนอยู่ตรงนั้น
ก็ได้ยินเสียงหลวงพี่ตระโกนถามมา
มาทำอะไรกัน
ผมกับเพื่อนก็ค่อยๆเดินไปหาท่าน
แล้วก็บอกว่า มาจับจิ้งหหรีด
ท่านก็พูดเป็นเสียงดุๆว่า
นี่มันเขตวัดเขาไม่ให้มาจับอะไรทั้งนั้น
เอาไปปล่อยซะ
ผมรู้สึกเสียดายมากตอนนั้น
แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้
เลยเดินไปที่โคนต้นไม่ใหญ่ แล้วก็เทถุงใส่จิ้งหรีด ไว้ที่โคนต้นไม้
แล้วก็เดินเอาถังเปล่ามาให้หลวงพี่ดู
แล้วก็บอกว่า ปล่อยหมดแล้ว
หลวงพี่พอเห็นแบบนั้น ก็บอกให้เรารีบกลับบ้านจะสองทุ่มแล้ว
เดี่ยวพ่อแม่จะเป็นห่วง
ผมกับเพื่อนก็เดินไปออกที่หน้าประตูวัด
พอออกมาจากวัดได้ ผมก็รีบไปเอาจักรยาน
แล้วก็บอกไอ้แหว่งว่า เฮ้ยเร็ว กลับไปเอาจิ้งหรีดก่อน
แล้วผมก็ไปมุดรั้วตรงนั้น เข้าไปเอาถุงจิ้งหรีดออกมาจนได้
ตื่นเช้ามา ผมก็เอาจิ้งหรีดไปขายให้แม่ค้า ได้เงินมามากโขอยู่ สำหรับเด็กในตอนนั้น
แล้วพอผ่านไปสองสามวันเงินหมด ผมก็ชวนเจ้าแหว่งมันไปจับจิ้งหรีดอีก
บางทีก็คัดเอาจิ้งหรีดตัวเขื่องๆหน่อย ไปขายให้ไอ้ตี๋ลักษณ์
ผมใช้ชีวิตหรูหรา อยู่พักใหญ่
มีเงินซื้อไอตีม เลี้ยงสาวๆ จนเกินหน้าเกินตาไอ้ตี๋ลักษณ์มัน
เพื่อนๆหลายคนคงสงสัยแหละว่า ผมไปทำอะไรมา
ผมกับไอ้แหว่ง พากันไปหาจิ้งหรีดหลังวัด กันดึกๆ
บางทีก็ต้องรอถึงเที่ยงคืนเลย
ผ่านไปสองอาทิตย์
ผมก็ไปจับจิ้งหรีดกับไอ้แหว่งเหมือนเคย
แต่คราวนี้กะว่าจะไปเร็วหน่อย สัก3ทุ่ม
พอไปถึง รั้ววัดตรงที่เราจะลอดเข้าไป
ก็ปรากฏว่าได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกัน
ผมกับไอ้แหว่งก็แอบดูอยู่ตรงรั้วลวดหนาม
ก็เห็นเป็นเด็กผู้ชาย ฉายไฟส่องไปมา กำลังจับจิ้งหรีดกันใหญ่
อ้าว มีคนมาจับจิ้งหรีดก่อนเราแล้ว
พอแอบดูจนกระทั้งพวกมันจะกลับ
ถึงรู้ว่ามันเป็นพวกไอ้ตี๋ลักษณ์กับก๊วนของพวกมัน
อ้าวมันรู้ได้ยังไงว่า เรามาจับจิ้งหรีดที่นี่
แล้วเราก็รอจนพวกมัน กลับกันไปหมดแล้ว
ผมก็กลับไปหาจิ้งหรีดกัน
ปรากฏว่าได้จิ้งหรีดน้อยลงมาก
ผมก็ได้แต่บ่นว่า พวกมันรู้ได้ยังไง
แล้วไอ้แหว่งมันก็เล่าให้ฟังว่า
มันไปพูดเรื่องนี้ให้ยัยไก่ฟัง มันคงเอาไปบอกพวกไอ้ตี๋ลักษณ์แน่เลย
ผมก็เลยต่อว่าไอ้แหว่งมันไป โห แกจะไปเล่าให้คนอื่นฟังทำไมนี่ ความผิดของเอ็งเลยนี่
แล้วไอ้แหว่งมันก็ถามผม
ละ ละ แล้ว เราจะจะทำ ยะยังไงกันดี
คืนนั้นผ่านไป
เช้าวันต่อมาผมไม่ได้เอาจิ้งหรีดไปขาย เพราะว่ามันได้น้อย
อีกอย่างพวกตี๋ลักษณ์มันก็คงเอาไปขายให้แม่ค้าคนนั้นแน่
ถ้าเราเอาไปขายอีก แม่ค้าก็คงไม่ซื้อแล้ว
ก็เลยไม่ได้ไปขาย
แล้วอีกสามวันต่อมา
ผมนอนคิดตั้งสามวัน จะทำยังไงดี
วันนี้ถ้าเจอพวกนั้นอีกจะต้องจัดการให้ได้ ก็เลยเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือบางอย่างไปด้วยเป็นพิเศษ
พอถึงเวลา
ผมกับเพื่อน พากันไปจับจิ้งหรีดให้เร็วขึ้นหน่อย
เดี๋ยวพวกตี๋ลักษณ์มันมาก่อนแล้วจิ้งหรีดจะหมดก่อน
ช่วงที่กำลังจับจิ้งหรีดใส่ถังกันอยู่นั้น
อยู่ๆก็เริ่มได้ยินเสียงคนเดินอยู่แถวๆรั้วลวดหนามที่เราเข้ามากัน
ผมรีบพาเจ้าแหว่ง ไปหลบอยู่หลังกำแพงวัด
ตอนนั้นสัก 3ทุ่มกว่าๆได้
พอปิดไฟฉายหลบอยู่หลังกำแพงได้สักพัก
ก็เริ่มได้ยินเสียงคนคุยกัน อยู่ที่หลังกำแพงฝั่งตรงข้าม
เสียงงุง งิ๊ง งูง งิ๊ง กันอยู่ ฟังไม่ได้ศัพท์
สักพัก ผมก็ตัดสินใจ เอาตะกร้าของแม่ออกมาคว่ำไว้กับพื้น
เอามุ้งคลุมไปที่ตะกร้า แล้วก็เอาลำไม้ไผ่แห้งที่เตรียมไว้แล้ว
สอดเข้าไปในตะกร้า แล้วก็ช่วยกันยกไม้ไผ่ตั้งขึ้นตรง
ตะกร้าที่ถูกมุ้งคลุมอยู่ก็ ลอยสูงลิ่วขึ้นไปตามยอดไม้ไผ่
ท่ามกลางความมืด
ตะกร้านั้นดูเหมือนหัวอะไรใหญ่ๆ เป็นเงาดำตะคุ่มตะคุ่ม
มุ้งปลิวไปมาในอากาศ มันดูเหมือนร่างอะไรสูงใหญ่แต่ผอมเพียว กำลังลอยไปมา
ผมกับเพื่อนพากันโบกไม้ไปมาอยู่พักหนึ่ง
แล้วไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องออกมาจากฝั่งกำแพงด้านหลังนั้น
เห้ย..
แล้วก็เงียบเลย
ผมกับเพื่อนรีบเอาไม้ลง แล้วก็รอฟังเสียงพวกนั้น จะว่ายังไงกันต่อ
แต่ทุกอย่างก็เงียบมาก
พอสักพักพวกผมก็เลยพากันออกไปดู
ปรากฏว่า ไม่มีใครอยู่ตรงหลังกำแพงตรงนั้นเลย
ผมก็คิดในใจ
ได้ผล
สรุปผมก็ได้จิ้งหรีดไปขายเหมือนตามเคย
ตื่นเช้ามา
วันนี้เป็นวันหยุด ผมไม่ได้ไปโรงเรียน และก็เป็นวันพระด้วย
ยายต้องไปวัด เห็นผมไม่ได้ไปโรงเรียน ก็เลยพาผมไปวัดด้วย
ทุกอย่างก็ปกติ เหมือนทุกครั้งที่ไปวัด
แต่หลังจาก พระฉันเสร็จ
กำลังจะแยกย้ายกลับ
อยู่ๆก็มีกลุ่มคน กลุ่มหนึ่ง หามใครคนหนึ่งมาวัด
ทุกคนหันไปมองด้วยความสงสัย
พอเอาขึ้นมาที่ศาลาได้
ปรากฏว่าเป็น เสี่ยเพ็ง พ่อของไอ้ตี๋ลักษณ์
สภาพคือ ตัวสั่น ปากซีด หัวฟูตั้ง
หลวงพ่อก็ถามว่า เป็นอะไรถึงได้หามกันมาแบบนี้
คนที่หามมาเขาก็เล่าว่า
เมื่อคืน เสี่ยเพ็งมาจับจิ้งหรีดที่หลังวัด แล้วเจอผีเปรตที่ท้ายวัดเล่นงานเอาอะสิ
พอผมได้ฟัง ผมก็ตกใจ
อ้าว เมื่อคืนไม่ใช่พวกไอ้ตี๋ลักษณ์หรือ
แล้วคนนั้นเขาก็เล่าต่ออีก
สรุปใจความ คือ พวกไอ้ตี๋ลักษณ์มันมาจับจิ้งหรีดไปให้พวกเสี่ยเพ็งกินแกล้มเหล้า
แล้วเสี่ยเพ็งก็เกิดติดใจในรสชาติ
วันนั้นเสี่ยเพ็งอยากมาจับเอง ก็เลยไม่ได้บอกลูกๆ แล้วก็พาเพื่อนในวงเหล้าด้วยกันนั้นแหละไปจับจิ้งหรีด
ที่สุดเลยโดนดีเข้าให้
ต้องมาทำพิธีขอขมาเป็นการใหญ่
กว่าอาการแกจะดีขึ้น ก็หลายเดือนอยู่เหมือนกัน
จากเหตุการณ์วันนั้นชาวบ้านก็ลือกันไปว่า นั่นเป็นเปรตยายหอม
ที่เป็นคนดูแลวัดคนก่อน แกชอบยักยอกของวัดไปใช้ส่วนตัว
ก่อนถึงวันพระใหญ่
ได้เงินไปโรงเรียนวันละบาท
แม่ผมทำขนมหาบขายในหมู่บ้าน
ยายกับน้าๆทำกับข้าวไปขายตลาดตั้งแต่เช้ามืด
ถึงช่วงน้ำขอด ก็พากันไปหาลูกอ๊อดมาขายบ้าง
ช่วงน้ำหลาก ก็ได้ปลาหลดมาขาย
ช่วงหน้าฝนก็ได้กบมาขาย
หน้าแล้งก็จะได้พวกแมลงมาขาย
เป็นแม่ค้าที่ขายของกินแล้วแต่ฤดูกาล
ไม่ได้ขายอะไรเฉพาะเจาะจง
ตอนนั้นผมยังเด็ก วันๆก็เอาแต่เล่นซนไปตามประสาเด็ก
วันหนึ่งช่วงพักเที่ยง เพื่อนมันพากันไปปั่นจิ้งหรีดให้กัดกัน อยู่ตรงหลังโรงเรียน
กลุ่มเด็กที่ไปมุงดูอยุ่ตรงนั้นจึงเป็น กลุ่มย่อมๆ ขนาดสักเจ็ดแปดคนได้
รวมทั้งผมด้วย
พอเห็นเพื่อนมันเริ่มมีการแข่งติดปลายนวมกัน
ยกต่อไป กลุ่มที่มุงอยู่ก็แบ่งเป็นสองฝ่าย
ต่างคนต่างลงขันเชียร์ฝ่ายที่ตัวเองคิดว่าจะชนะ
ไม่นานเสียงเชียร์ก็ดังขึ้น ราวกับเสียงเชียร์มวย
เที่ยงนั้น ผมมีรายได้เพิ่มมาโดยโชคช่วย
รวมกับที่แม่ให้ ในกระเป๋าผมก็มีเงินถึง3บาทแล้ว
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการหารายได้ของผมในช่วงวัยเยาว์
ตื่นเช้ามา ผมไปโรงเรียนแต่เช้า
ก็เจอพวกกลุ่มที่มันปั่นจิ้งหรีด
พากันไปจับจิ้งหรีด ตามซอกมุมต่างๆของรั้วโรงเรียน
คงจะเตรียมพร้อมกับศึกสังเวียนเดือดในเที่ยงวันเป็นแน่แท้
ผมก็เลยไปสมทบกับพวกมัน แล้วก็ช่วยกันหาจิ้งหรีดอย่างขมีขมัน
หลังจากขึ้นเรียน แล้วถึงช่วงพักเที่ยง
เราก็นัดกันไปหลังโรงเรียน เหมือนเดิม
แต่ครั้งนี้ ผมหมดตูด ไม่เหมือนเมื่อวาน
เจ้าตี๋ลักษณ์ ลูกชาย เสี่ย เพ็ง เจ้าของร้านขายเหล้าประจำหมู่บ้าน
จัดว่าเจ้าตี๋ลักษณ์ มันก็ฐานะดีสุดในรุ่นเลยทีเดียว
ออกปากชวนผม หลังจากเสียเดิมพันไปด้วยเงินก้อนใหญ่ถึง 5 บาท
พรุ้งนี้ ไม่ต้องไปจับจิ้งหรีดแล้ว ไปซื้อที่ตลาดเช้าเลย
ผมได้แต่ยืนนิ่ง ดูสีหน้ามันจริงจังมาก
เช้าวันต่อมา ผม ตี๋ลักษณ์ กับ ก๊วนเพื่อนๆ สาม สี่ คน ก็นัดมาเจอกันที่ตลาด
แล้วก็ไปหาซื้อจิ้งหรีดที่ตลาดสดตอนเช้ากัน
แหละนี่เองที่ทำให้ผมรู้ว่า จิ้งหรีดมันมีราคาดีมาก
ถ้าเราจับมาขายให้แม่ค้าได้ ก็จะทำให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นทีเดียว
พอไปถึงโรงเรียน ผมก็เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อน สนิทคนหนึ่ง
มันชื่อไอ้แหว่ง เพราะริมฝึปากตรงด้านบนใกล้ผิสบ มันจะแหว่งๆ เป็นเหมือนรอยแผลเป็น
ทำให้เวลามันพูด มันจะพูดไม่ค่อยชัด
ผมก็พูดกับมันประมาณว่า พอจะรู้ไหมว่าที่ไหนที่เราจะไปจับจิ้งหรีดได้เยอะๆ
ข้าจะเอาไปขาย ให้กับแม่ค้าในตลาด ราคาดีมาก
ถ้าเอ็งกับข้าไปจับมาได้ เงินเราก็จะหารสอง ดีไหมวะเพื่อน
ไอ้แหว่งก็ตอบผม แบบเสียงใสมาเลย
ดะ ดะ ดี เพี้ยน
ดะ ดะ เดี๋ยวข้า จะจะไป ถะ ถาม น้าให้
คือเจ้าแหว่งมัน ติดอ่างนิดๆอะครับ
สรุปผมกับไอ้แหว่ง ก็นัดเจอกัน หลังเลิกเรียน ที่บ้านมัน
หลังจากที่ผมกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านตัวเองแล้ว
ได้คุถังอันหนึ่งกับสวิงหาปลาของพี่ชาย ผมก็รีบตรงดิ่งไปหาเจ้าแหว่งที่บ้านมันทันที
พอไปถึงบ้านเพื่อน มันก็เตรียมพร้อมรอผมอยู่แล้ว
เพื่อนก็บอกผมว่า ถ้าจะหาจิ้งหรีดให้ได้เยอะๆต้องไปแถวโรงตัดไม้
แถวนั้นมีขี้เลี่อยเยอะ น่าจะมีแมงไปกินขี้เลื่อยเยอะรวมทั้งจิ้งหรีดด้วย
พอรู้เป้าหมาย
ผมกับไอ้แหว่งสองคน ก็ปั่นจักรยานมุ่งหน้าไปที่โรงตัดไม้ทันที
พอถึง ตอนนั้นก็เย็นมากแล้ว
บรรยากาศของโรงไม้ มันจะเหมือนเพิงหมาแหงน
แต่มีขนาดใหญ่ และเสาสูงๆ ไม่มีกำแพงกั้น
ข้างในก็จะมี ไม้กองๆเต็มไปหมด บางจุดที่เขาไสไม้ ก็จะมีขี้เลื่อยเต็มไปหมด
เราไม่ได้เข้าไปในเขตพื้นที่ของเขา
แต่เดินดูไปตามขอบรั้วด้านนอก ที่มีต้นกระถินขึ้นแซมอยู่ตามรั้วลวดหนาม
เดินผ่านตรงไหนมีไม้กระดานเล็กๆวางอยู่ที่พื้น เพื่อนมันก็จะไปเปิดดู
บางทีก็จะมีจิ้งหรีดหลบอยู่
เราเดินวนหาอยู่แถวนั้น นานเหมือนกัน
แต่ก็ได้มาไม่กี่ตัวเอง
จนบรรยากาศเริ่มแสงหมด
ผมก็เริ่มบ่นขึ้นมา
ไม่เห็นมีเยอะ อย่างที่น้าเอ็งบอกเลย
สงสัยจะไม่ได้เรื่อง
เจ้าแหว่งมันก็มองโลกในแง่ดี ก็บอกผมว่า
เดินไปดูข้างในอีกดีไหม เผื่อ มันจะอยู่ทางโน้นกัน
ผมมองไป ตรงนั้นมันเป็นป่าด้านหลังของโรงไม้แล้วครับ
มีป่าค่อนข้างหนาตา
ผมก็เลยพากันเดินเข้าไปดู
ปรากฏว่า พ้นป่าตรงนั้นไปนิดเดียว
มันก็ติดกับกำแพงวัด
พอเดินไปดูใกล้ๆ มันเป็นกำแพงด้านข้าง ของวัด
เราก็เลยเดินเรียบไปตามกำแพงวัด
เดินอ้อมไปเรื่อยๆ แล้วก็หาจิ้งหรีดไปด้วย
จนเริ่มมืด เพื่อนมันก็เอาไฟฉายออกมาส่องไปตามทางที่เราจะเดิน
เดินไปไม่นาน
คราวนี้ มันก็ไปโผล่ที่หลังวัด
จะมีกำแพงสูงแล้วก็มีประตูเข้าวัด
ด้านหลังตรงนี้ก็จะเป็นต้นไม้ใหญ่สูงๆ เยอะมาก
แต่เราเข้าไปไม่ได้
มันต้องลอดรั้วลวดหนามเข้าไป
ผมกับเพื่อนทำท่าจะกลับแล้ว
แต่ไอ้แหว่งมันก็ฉายไฟฉายไปที่กำแพงวัดด้านใน
เฮ้ยดูดิ
แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยครับ
ตอนนั้น
ที่ผมเห็นคือ จิ้งหรีดเป็นร้อยๆ เกาะอยู่กับกำแพงวัด จนกำแพงดำพืดไปหมด
ผมกับไอ้แหว่งดีใจมาก
เฮ้ย รวยแล้วเรา
แล้วก็พากันลอดลวดหนามเข้าไปในเขตหลังวัดจนได้
พอเข้าไปถึงเราก็รีบไปจับจิ้งหรีดกัน
มันเยอะมาก
จับใส่ถุงพลาสติกมัดปากถุงไว้แล้วก็ทิ้งไว้ในคุถัง
ยิ่งเดินเข้าไปตามต้นไม้ใหญ่ๆ มันก็เกาะกันที่ต้นไม้ใหญ่ๆเต็มเลย
ผมกับไอ้แหว่งต่างก็สนุกสนานในการจับมาก
จนเผลอตัวหลงเข้าไปในป่าลึกเข้า ลึกเข้า
สุดท้ายมาเจอกับลานโล่ง
ผมหยุดชะงัก พยายามสำรวจไปรอบๆ
แล้วผมก็เห็นอะไรบางอย่าง ที่ตั้งโด่อยู่ตรงพื้นดิน เป็นแท่งดำๆ ลักษณะเหมือนไม้กางเขน ปักอยู่กับพื้น เต็มพื้นที่ไปหมด
ขนหัวผมลุกตั้ง
เห้ย ไอ้แหว่ง ดูดิ
เจ้าแหว่ง ฉายไฟไปรอบๆ แล้วมันก็อุทานขึ้น
ปะ ปะ ป่าช้า
สิ้นเสียงไอ้แหว่ง
ปานนัดหมาย
ผมกับไอ้แหว่งรีบถอยกรูด ออกไปตามทางเดิม
รีบเดินอย่างไว ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
จากที่เดินไวๆกันอยู่ดีๆ มันก็ดันพาผมวิ่งเลยทีนี้
ผมก็วิ่งไปถือคุถังวิ่งตาม
อย่างเหนื่อย
จนออกมาจากในป่าได้
ก็มาหยุดพักอยู่ใกล้ๆกับกำแพงหลังวัด
ใกล้ๆประตูวัด
ผมกับไอ้แหว่งทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นหญ้า อย่างไม่ได้นัดหมาย
พร้อมกับเสียงหายใจหอบ แรงๆ ฟืดฟาดแข่งกัน
เอ็งจะพาข้าวิ่งทำไมวะ
ผมถามไอ้แหว่งพลาง หายใจหอบไปพลาง
ไอ้แหว่งมันก็โทษผมอีกว่า ผมพามันวิ่งก่อน
มันเห็นผมวิ่ง มันก็เลยวิ่ง
อ้าว ไหงมาโทษกันแบบนี้
ผมนั่งหันหลังไปทางกำแพงวัด
เหยีดขาตรงไปทางป่าช้า
ไอ้แหว่ง มันก็นั่งตรงข้ามกับผม หันหน้าไปทางกำแพงวัด
ผมได้ยินเสียงมันหายใจแรง เฮือกใหญ่ แล้วก็เงียบลง
เลยทำให้ผมต้องรีบหันไปดูหน้ามันทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
พอมองไปที่หน้ามัน ก็เห็นมันอ้าปากค้าง ตาเหลือกโต
พร้อมกับพูดออกมา
ผะ ผะ ผะ
ผมตกใจมาก ที่เห็นอาการตัวเกร็งของมัน
ไม่ทันที่ไอ้แหว่งจะพูดจบผมก็ สวนคำพูดของมันขึ้นทันที
ผะผะผีหรือวะ
พูดจบก็รีบลุกกระโจนไปข้างหน้าอย่างไว
ตั้งท่าจะวิ่งสุดกำลัง
แต่ไอ้แหว่งมันดึงมือผมไว้แน่น แล้วก็พูดออกมาด้วยเสียงอันดัง
ผะ ผะ พระ
พอผมได้ยินเท่านั้นแหละ
หันหลังกลับไปดู
อ้าว เป็นพระยืนถือตะเกียง อยู่ตรงประตูรั้ววัด
โธ่เอ้ย ไอ้แหว่ง แกทำไมไม่พูดให้เร็วๆกว่านี้วะ
พอมองไปเห็นเป็นหลวงพี่ยืนอยู่ตรงนั้น
ก็ได้ยินเสียงหลวงพี่ตระโกนถามมา
มาทำอะไรกัน
ผมกับเพื่อนก็ค่อยๆเดินไปหาท่าน
แล้วก็บอกว่า มาจับจิ้งหหรีด
ท่านก็พูดเป็นเสียงดุๆว่า
นี่มันเขตวัดเขาไม่ให้มาจับอะไรทั้งนั้น
เอาไปปล่อยซะ
ผมรู้สึกเสียดายมากตอนนั้น
แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้
เลยเดินไปที่โคนต้นไม่ใหญ่ แล้วก็เทถุงใส่จิ้งหรีด ไว้ที่โคนต้นไม้
แล้วก็เดินเอาถังเปล่ามาให้หลวงพี่ดู
แล้วก็บอกว่า ปล่อยหมดแล้ว
หลวงพี่พอเห็นแบบนั้น ก็บอกให้เรารีบกลับบ้านจะสองทุ่มแล้ว
เดี่ยวพ่อแม่จะเป็นห่วง
ผมกับเพื่อนก็เดินไปออกที่หน้าประตูวัด
พอออกมาจากวัดได้ ผมก็รีบไปเอาจักรยาน
แล้วก็บอกไอ้แหว่งว่า เฮ้ยเร็ว กลับไปเอาจิ้งหรีดก่อน
แล้วผมก็ไปมุดรั้วตรงนั้น เข้าไปเอาถุงจิ้งหรีดออกมาจนได้
ตื่นเช้ามา ผมก็เอาจิ้งหรีดไปขายให้แม่ค้า ได้เงินมามากโขอยู่ สำหรับเด็กในตอนนั้น
แล้วพอผ่านไปสองสามวันเงินหมด ผมก็ชวนเจ้าแหว่งมันไปจับจิ้งหรีดอีก
บางทีก็คัดเอาจิ้งหรีดตัวเขื่องๆหน่อย ไปขายให้ไอ้ตี๋ลักษณ์
ผมใช้ชีวิตหรูหรา อยู่พักใหญ่
มีเงินซื้อไอตีม เลี้ยงสาวๆ จนเกินหน้าเกินตาไอ้ตี๋ลักษณ์มัน
เพื่อนๆหลายคนคงสงสัยแหละว่า ผมไปทำอะไรมา
ผมกับไอ้แหว่ง พากันไปหาจิ้งหรีดหลังวัด กันดึกๆ
บางทีก็ต้องรอถึงเที่ยงคืนเลย
ผ่านไปสองอาทิตย์
ผมก็ไปจับจิ้งหรีดกับไอ้แหว่งเหมือนเคย
แต่คราวนี้กะว่าจะไปเร็วหน่อย สัก3ทุ่ม
พอไปถึง รั้ววัดตรงที่เราจะลอดเข้าไป
ก็ปรากฏว่าได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกัน
ผมกับไอ้แหว่งก็แอบดูอยู่ตรงรั้วลวดหนาม
ก็เห็นเป็นเด็กผู้ชาย ฉายไฟส่องไปมา กำลังจับจิ้งหรีดกันใหญ่
อ้าว มีคนมาจับจิ้งหรีดก่อนเราแล้ว
พอแอบดูจนกระทั้งพวกมันจะกลับ
ถึงรู้ว่ามันเป็นพวกไอ้ตี๋ลักษณ์กับก๊วนของพวกมัน
อ้าวมันรู้ได้ยังไงว่า เรามาจับจิ้งหรีดที่นี่
แล้วเราก็รอจนพวกมัน กลับกันไปหมดแล้ว
ผมก็กลับไปหาจิ้งหรีดกัน
ปรากฏว่าได้จิ้งหรีดน้อยลงมาก
ผมก็ได้แต่บ่นว่า พวกมันรู้ได้ยังไง
แล้วไอ้แหว่งมันก็เล่าให้ฟังว่า
มันไปพูดเรื่องนี้ให้ยัยไก่ฟัง มันคงเอาไปบอกพวกไอ้ตี๋ลักษณ์แน่เลย
ผมก็เลยต่อว่าไอ้แหว่งมันไป โห แกจะไปเล่าให้คนอื่นฟังทำไมนี่ ความผิดของเอ็งเลยนี่
แล้วไอ้แหว่งมันก็ถามผม
ละ ละ แล้ว เราจะจะทำ ยะยังไงกันดี
คืนนั้นผ่านไป
เช้าวันต่อมาผมไม่ได้เอาจิ้งหรีดไปขาย เพราะว่ามันได้น้อย
อีกอย่างพวกตี๋ลักษณ์มันก็คงเอาไปขายให้แม่ค้าคนนั้นแน่
ถ้าเราเอาไปขายอีก แม่ค้าก็คงไม่ซื้อแล้ว
ก็เลยไม่ได้ไปขาย
แล้วอีกสามวันต่อมา
ผมนอนคิดตั้งสามวัน จะทำยังไงดี
วันนี้ถ้าเจอพวกนั้นอีกจะต้องจัดการให้ได้ ก็เลยเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือบางอย่างไปด้วยเป็นพิเศษ
พอถึงเวลา
ผมกับเพื่อน พากันไปจับจิ้งหรีดให้เร็วขึ้นหน่อย
เดี๋ยวพวกตี๋ลักษณ์มันมาก่อนแล้วจิ้งหรีดจะหมดก่อน
ช่วงที่กำลังจับจิ้งหรีดใส่ถังกันอยู่นั้น
อยู่ๆก็เริ่มได้ยินเสียงคนเดินอยู่แถวๆรั้วลวดหนามที่เราเข้ามากัน
ผมรีบพาเจ้าแหว่ง ไปหลบอยู่หลังกำแพงวัด
ตอนนั้นสัก 3ทุ่มกว่าๆได้
พอปิดไฟฉายหลบอยู่หลังกำแพงได้สักพัก
ก็เริ่มได้ยินเสียงคนคุยกัน อยู่ที่หลังกำแพงฝั่งตรงข้าม
เสียงงุง งิ๊ง งูง งิ๊ง กันอยู่ ฟังไม่ได้ศัพท์
สักพัก ผมก็ตัดสินใจ เอาตะกร้าของแม่ออกมาคว่ำไว้กับพื้น
เอามุ้งคลุมไปที่ตะกร้า แล้วก็เอาลำไม้ไผ่แห้งที่เตรียมไว้แล้ว
สอดเข้าไปในตะกร้า แล้วก็ช่วยกันยกไม้ไผ่ตั้งขึ้นตรง
ตะกร้าที่ถูกมุ้งคลุมอยู่ก็ ลอยสูงลิ่วขึ้นไปตามยอดไม้ไผ่
ท่ามกลางความมืด
ตะกร้านั้นดูเหมือนหัวอะไรใหญ่ๆ เป็นเงาดำตะคุ่มตะคุ่ม
มุ้งปลิวไปมาในอากาศ มันดูเหมือนร่างอะไรสูงใหญ่แต่ผอมเพียว กำลังลอยไปมา
ผมกับเพื่อนพากันโบกไม้ไปมาอยู่พักหนึ่ง
แล้วไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องออกมาจากฝั่งกำแพงด้านหลังนั้น
เห้ย..
แล้วก็เงียบเลย
ผมกับเพื่อนรีบเอาไม้ลง แล้วก็รอฟังเสียงพวกนั้น จะว่ายังไงกันต่อ
แต่ทุกอย่างก็เงียบมาก
พอสักพักพวกผมก็เลยพากันออกไปดู
ปรากฏว่า ไม่มีใครอยู่ตรงหลังกำแพงตรงนั้นเลย
ผมก็คิดในใจ
ได้ผล
สรุปผมก็ได้จิ้งหรีดไปขายเหมือนตามเคย
ตื่นเช้ามา
วันนี้เป็นวันหยุด ผมไม่ได้ไปโรงเรียน และก็เป็นวันพระด้วย
ยายต้องไปวัด เห็นผมไม่ได้ไปโรงเรียน ก็เลยพาผมไปวัดด้วย
ทุกอย่างก็ปกติ เหมือนทุกครั้งที่ไปวัด
แต่หลังจาก พระฉันเสร็จ
กำลังจะแยกย้ายกลับ
อยู่ๆก็มีกลุ่มคน กลุ่มหนึ่ง หามใครคนหนึ่งมาวัด
ทุกคนหันไปมองด้วยความสงสัย
พอเอาขึ้นมาที่ศาลาได้
ปรากฏว่าเป็น เสี่ยเพ็ง พ่อของไอ้ตี๋ลักษณ์
สภาพคือ ตัวสั่น ปากซีด หัวฟูตั้ง
หลวงพ่อก็ถามว่า เป็นอะไรถึงได้หามกันมาแบบนี้
คนที่หามมาเขาก็เล่าว่า
เมื่อคืน เสี่ยเพ็งมาจับจิ้งหรีดที่หลังวัด แล้วเจอผีเปรตที่ท้ายวัดเล่นงานเอาอะสิ
พอผมได้ฟัง ผมก็ตกใจ
อ้าว เมื่อคืนไม่ใช่พวกไอ้ตี๋ลักษณ์หรือ
แล้วคนนั้นเขาก็เล่าต่ออีก
สรุปใจความ คือ พวกไอ้ตี๋ลักษณ์มันมาจับจิ้งหรีดไปให้พวกเสี่ยเพ็งกินแกล้มเหล้า
แล้วเสี่ยเพ็งก็เกิดติดใจในรสชาติ
วันนั้นเสี่ยเพ็งอยากมาจับเอง ก็เลยไม่ได้บอกลูกๆ แล้วก็พาเพื่อนในวงเหล้าด้วยกันนั้นแหละไปจับจิ้งหรีด
ที่สุดเลยโดนดีเข้าให้
ต้องมาทำพิธีขอขมาเป็นการใหญ่
กว่าอาการแกจะดีขึ้น ก็หลายเดือนอยู่เหมือนกัน
จากเหตุการณ์วันนั้นชาวบ้านก็ลือกันไปว่า นั่นเป็นเปรตยายหอม
ที่เป็นคนดูแลวัดคนก่อน แกชอบยักยอกของวัดไปใช้ส่วนตัว